ครึ่งแรกของค่ำคืนนี้จึงผ่านไปด้วยการเรียกของน้ำแบบถี่ๆ ของซูชิงลั่วโกลาหลวุ่นวายกันอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็เหนื่อยและผลอยหลับไปลู่เหิงจือจ้องมองอ่างน้ำทั้งสามใบพร้อมกับครุ่นคิดไม่นานนัก ก็เรียกคนมายกออกไปในท้ายที่สุด เพื่อเลี่ยงไม่ให้นางตื่นมาพรุ่งนี้แล้วจะรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าใครไม่รู้ว่าเพราะอวี้จู๋ตื่นเต้นหรืออย่างไร ระหว่างที่ยกอ่างสุดท้ายออกไป น้ำหกกระเซ็นออกมา พลันรีบคุกเข่าอ้อนวอนลู่เหิงจือเหนื่อยล้ามากแล้ว ไม่ได้มองนางเพียงแค่โบกมือบอกไปให้นางออกไปอวี้จู๋เงยหน้าขึ้นมามองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆลู่เหิงจือดึงม่านเตียงขึ้น ทันทีที่เข้าไปในผ้าห่ม ซูชิงลั่วก็หันมากอดเขาเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่รู้ตัวแต่ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นเอาไว้ ขืนขอน้ำเข้ามาอีกรอบ เกรงว่าวันพรุ่งจะกลายเป็นเรื่องขบขันไปได้ อีกทั้งเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แม้จะต้องการแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆยื่นแขนออกไปโอบซูชิงลั่วเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับใหลไปอย่างรวดเร็วซูชิงลั่วฝันประหลาด ในฝันนางดื่มจนเมา แล้วยังถามลู่เหิงจืออย่าง
ถูกชี้ตัวขนาดนี้แล้ว ซูชิงลั่วทำได้เพียงแค่เผยตัวออกมาป้าคนใช้ทั้งสองคนไม่รู้ว่ามีคนอยู่ ทั้งยังเป็นคนที่กำลังเอ่ยถึง ทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วนทั้งเสียใจกับสิ่งที่ทำไป รีบคุกเข่าอ้อนวอนซูชิงลั่วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ บอกเป็นนัยๆ กับพวกนางว่าไม่เป็นไร ก่อนจะคลุมผ้าคลุมแล้วเดินตรงเข้าไปในครัวป้าทั้งสองมองดูแผ่นหลังของนางจากไป ก่อนจะหันมามองหน้ากัน หนึ่งในนั้นอดกระซิบขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ : "คุณหนูของพวกเราใจดีจริงๆ โชคดีที่เป็นนางมาเจอเข้า หากเป็นคนอื่นคงโดนด่าเป็นชุดแน่"อีกคนพูดเสริม : "นั่นสิ เพียงแต่คุณหนูของพวกเราดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใด""ทักษะของท่านสามยอดเยี่ยมไปเลย""เจ้ารีบหุบปากเถอะ..."ซูชิงลั่วไม่ได้ยินพวกนางทั้งสองคนคุยกัน แต่ก็อดถามจื๋อหยวนไม่ได้ : "เมื่อวานข้าเมาแล้วกลับมาได้อย่างไร"จื๋อหยวน : "ใต้เท้าประครองนายหญิงกลับมา"ซูชิงลั่วเดาออกแต่แรกอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ถามต่อ : "ข้าเมาแล้วไม่ได้ทำเรื่องประหลาดใช่หรือไม่"จื๋อหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยความลังเล : "ดูเหมือนจะไม่ได้ประหลาดมากนัก"ซูชิงลั่วพลันชะงักฝีเท้า : "สิ่งใดไม่ประหลาดมา
เข้าไปในห้องครัวแล้ว ซูชิงลั่วก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี นางไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลยแม้แต่น้อยเมื่อครั้งยังเด็ก ท่านแม่สอนนางเพียงแค่เรื่องเย็บปักถักร้อย ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้หลังจากมาอยู่ที่จินหลิง หญิงชราก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่ยอมให้นางเข้าครัวขอให้แม่ครัวมาช่วยสอน ก็ถูกลวกจนเป็นตุ่มน้ำ พิรี้พิไรอยู่ครึ่งค่อนวันทำได้เพียงแค่ไข่ตุ๋นง่ายๆ หนึ่งอย่าง หน้าตาก็ดูไม่ดี ผิวหน้าของไข่เป็นริ้วรอยยับยู่ยี่เหมือนผ้าที่ถูกทับอยู่ก้นหีบมานานน้ำมันต้นหอม เพราะใช้ไฟแรงเกินไป พอราดลงไปต้นหอมซอยก็กลายเป็นสีดำซูชิงลั่วลังเลอยู่นานจนไข่ตุ๋นเย็นชืด สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะนำของสิ่งนี้ไปให้ลู่เหิงจือกินถือเสียว่าตนไม่เคยเข้ามาที่นี่มาก่อนตั้งแต่ที่ลู่เหิงจือเคยบอกว่าอย่ากินทิ้งกินขว้าง นางก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ จึงมองไปทางจื๋อหยวน : "เจ้ากินไหม"จื๋อหยวนมองมันราวกับกำลังมองอาหารที่มีพิษ เงียบอยู่พักใหญ่ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความกล้าหาญ : "กินเจ้าค่ะ !"“……”ก็แค่เหมือนให้นางดื่มยาพิษนั่นแหละซูชิงลั่วเองก็ไม่อยากฝืนใจนาง เงียบอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใ
"เจ็บหรือไม่""ไม่เจ็บเจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วตอบด้วยรอยยิ้ม "แผลแค่นี้ ที่จริงแล้วไม่ต้องทายาแค่เป่าก็พอแล้ว""เป่าหรือ" ลู่เหิงจือขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือนางขึ้นมาวางที่ริมฝีปาก แล้วเป่าเบาๆ ความเย็นแผ่ซ่านไปบนมือในชั่วพริบตา"เช่นนี้หรือ"ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วหลังมือของซูชิงลั่ว : "...เจ้าค่ะ""ดีขึ้นหรือไม่""ดีขึ้นแล้ว" ซูชิงลั่วพลันดึงมือกลับไป พยายามหักห้ามไม่ให้หัวใจของตนเต้นแรงลู่เหิงจือกระตุกมุมปากเบาๆ ระหว่างที่กำลังจะดึงมือกลับมา ทันใดนั้นเองซูชิงลั่วก็เห็นรอยแผลเป็นกลมๆ สีแดงอ่อนจุดหนึ่งกลางฝ่ามือของเขานางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ : "นี่มาจากตอนที่ท่านขวางข้าที่วัดเซิ่งอัน..."ลู่เหิงจือพยักหน้า : "ไม่ใช่เรื่องใหญ่"จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร แม้แผลจะเล็ก แต่นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆปลายนิ้วของนางทั้งเย็นและนุ่ม วินาทีที่สัมผัสลงไป ลู่เหิงจือพลันสั่นสะท้านเบาๆซูชิงลั่วนึกถึงแผลที่แขนของเขา จึงเลิกแขนเสื้อเขาดูเป็นรอยแผลทรงกลมแบบเดียวกัน เพียงแต่ใหญ่กว่ารอยนี้มาก แล้วก็ยังไม่หายดี ด้านบนเป็นสะเก็ดหนาๆ หนึ่งชั้นคิดว่าคงเ
ลู่เหิงจือยื่นมือไปถึงริมปาก ซูชิงลั่วจึงไม่มีเวลาคิดมากนัก เพียงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็อ้าปากออกมาไข่ตุ๋นที่เข้าปากไปนั้น ไม่ได้ลื่นเท่าไรนัก มีรสฝาดเล็กน้อย รสชาติก็ไม่ได้แย่จนเกินไป เป็นรสเค็มจืดๆ แต่ก็ไม่อร่อยอะไรมากนักอย่างน้อยก็ทำได้แย่กว่าแม่ครัวเสียอีกซูชิงลั่วพูดว่า “ไม่ต้องกินแล้ว กินอาหารเช้าเถิด”นางจัดวางอาหารเช้าในกล่อง ยื่นมือเก็บถ้วยไข่ตุ๋นออกไป“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร” ลู่เหิงจือจับแขนนางไว้ อีกมือหนึ่งก็ย้ายไข่ตุ๋นมาไว้ข้างหน้า “ฮูหยินทำให้น่ะ จะต้องกินให้หมด”ใบหน้าของซูชิงลั่วแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย คำว่าสามีนางยังเรียกไม่ออก แต่เขากลับเรียกคำว่าฮูหยินได้คล่องปากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็รู้สึกว่าการกินไข่ตุ๋นเช่นนี้ ดูเหมือนจะทำให้อัครมหาเสนาบดีเสียเวลาอยู่มาก"ท่าน..."“ข้าชอบมาก” เขายกสายตามองนาง แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ทำให้อีกได้หรือไม่”น้ำเสียงอันอ่อนโยนของเขาดูเหมือนจะมีเสน่ห์บางอย่างซูชิงลั่วก็ตอบตกลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็แอบมุ่งมั่นในใจว่าจะฝึกฝนฝีมือการทำอาหารให้ดีขึ้นไข่ตุ๋นถูกกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ซากลู่เหิงจือดูเหมือนจะเลี้ยงง่
ซูชิงลั่วพาจื๋อหยวนออกไปข้างนอก มุ่งตรงไปยังร้านเครื่องประดับจินจี้นางต้องการไปซื้อปิ่นปักผมหยกขาวที่เคยเล็งไว้เนื่องจากเคยเลือกไว้แล้วมาก่อน การซื้อปิ่นปักผมจึงไม่ยากลำบากอะไรถึงแม้ว่าลู่เหิงจือจะบอกว่านางสามารถออกไปข้างนอกได้ แต่นางก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่นานนัก หลังจากซื้อเสร็จ เตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็ได้ยินหญิงสองคนกำลังกระซิบกัน“เจ้าได้ยินข่าวลือนี้หรือไม่ กุ้ยเฟยเหมือนจะไปขอพรที่วัดว่านโซ่ว ตะกูลหนิงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสู้ดี คุณชายหนิงไปยุ่งกับสาวใช้คนอื่นแล้วถูกคนมาตามล่าล้างแค้นฆ่าจนตัวตาย หนิงกั๋วกงก็ป่วยหนัก พระชายาหนิงกั่วกงก็ป่วยล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า...”“แล้วก็องค์หญิงอวี้หยาง ถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงสนมชายไว้ ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง ในช่วงนี้คงไม่กล้าออกมา และมีข่าวลือว่าถูกสนมชายทำร้ายจนเสียโฉม...”“เปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องดีๆ ดีกว่า เมื่อคืนเห็นดอกไม้ไฟที่สวยงามนั้นหรือไม่ ได้ยินมาว่าเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีที่จุดให้อูหยินคนใหม่โดยเฉพาะ...”ซูชิงลั่วฟังการพูดคุยนั้น ก็พอเข้าใจสถานการณ์ได้คร่าวๆบ้านตระกูลหนิงและองค์หญิงอวี้หยางที่เกิดเรื่องขึ้นมาแบบ
ในห้องหนังสือ ลู่เหิงจือมองจดจ้องจดหมายในมือด้วยใบหน้าเย็นชาข้างกายมีชายชุดดำยืนอยู่ซ่งเหวินก้มหน้ายืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวเสียงของลู่เหิงจือเย็นชาและเรียบเฉย "ข้าเพิ่งส่งเสนาบดีกรมขุนนางไป นายของเจ้าช่างหาเรื่องให้ข้าเสียจริงๆ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ"ชายชุดดำตอบว่า "นายท่านคาดการณ์ได้ว่าท่านจะพูดเช่นนี้ ท่านกล่าวว่า เมื่อก่อนท่านมีสิทธิ์พูดประโยคนี้ แต่ยามนี้ไม่มีแล้ว"ลู่เหิงจือยิ้มเยาะ แล้วเผาจดหมายในมือ ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายเขียนไปแถวหนึ่ง แล้วหันไปสั่งซ่งเหวินว่า "เจ้าให้คนไปบอกฮูหยินว่า คืนนี้ข้าจะไม่ไปแล้ว และสั่งให้ทุกคนอย่ามารบกวน"เขาต้องครุ่นคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ*ซูชิงลั่วถือกล่องอาหารมาพร้อมกับจื๋อหยวน มาถึงประตูเรือนของลู่เหิงจือประตูใหญ่ของเรือนที่เพิ่งได้รับการตกแต่งใหม่ยังคงมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ และมีตัวอักษรมงคลติดอ เพียงแต่ชายชุดดำสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูดูไม่เข้ากับฉากตรงหน้าเลยฉางเฟิง ฉางเหอไม่เคยไปที่สวนหลังบ้าน ทำให้ไม่รู้จักซูชิงลั่ว เมื่อเห็นผู้หญิงมา ปฏิกริยาแรกของพวกเขาคือรีบยื่นมือออกไปขวางไว้ซูชิงล
ซูชิงลั่วรู้สึกมือและเท้าเย็นยะเยือก แต่ด้วยความที่ถูกอบรมมาดี นางจึงไม่สามารถกระทืบเท้าได้ เพียงแต่ยัดมือลงในแขนเสื้อจื๋อหยวนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน เรือนของท่านชายสาม ฮูหยินก็เข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ฮูหยิน หรือเรากลับไปกันก่อน.."ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของฉางเฟิงและฉางเหอที่อยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกพร้อมกันว่า “ใต้เท้า”ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาลู่เหิงจือเดินตรงเข้ามาหา เหมือนกับสายลมที่พัดมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง“มาที่นี่ได้อย่างไร” ในความมืดมิดนั้น ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่เสียงของเขามีน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้สึกดีใจอยู่บ้างไม่รังเกียจก็ดีแล้วต่อหน้าบ่าวรับใช้ ซูชิงลั่วจึงพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนักว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะยุ่งจนลืมทานอาหาร ข้าเลยอยากจะนำอาหารมาให้ท่าน แต่ว่า...ดูเหมือนจะเย็นแล้ว”ลู่เหิงจือเหลือบมองกล่องอาหารในมือของจื๋อหยวน แล้วจับมือของซูชิงลั่วทันที ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบ “ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้ รอมานานแล้วหรือ”“ไม่นาน...”จื๋อหยวนพูดว่า “ฮูหยินรอมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว และมีลมพั