เข้าไปในห้องครัวแล้ว ซูชิงลั่วก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี นางไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลยแม้แต่น้อยเมื่อครั้งยังเด็ก ท่านแม่สอนนางเพียงแค่เรื่องเย็บปักถักร้อย ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้หลังจากมาอยู่ที่จินหลิง หญิงชราก็รักใคร่เอ็นดูนาง ไม่ยอมให้นางเข้าครัวขอให้แม่ครัวมาช่วยสอน ก็ถูกลวกจนเป็นตุ่มน้ำ พิรี้พิไรอยู่ครึ่งค่อนวันทำได้เพียงแค่ไข่ตุ๋นง่ายๆ หนึ่งอย่าง หน้าตาก็ดูไม่ดี ผิวหน้าของไข่เป็นริ้วรอยยับยู่ยี่เหมือนผ้าที่ถูกทับอยู่ก้นหีบมานานน้ำมันต้นหอม เพราะใช้ไฟแรงเกินไป พอราดลงไปต้นหอมซอยก็กลายเป็นสีดำซูชิงลั่วลังเลอยู่นานจนไข่ตุ๋นเย็นชืด สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะนำของสิ่งนี้ไปให้ลู่เหิงจือกินถือเสียว่าตนไม่เคยเข้ามาที่นี่มาก่อนตั้งแต่ที่ลู่เหิงจือเคยบอกว่าอย่ากินทิ้งกินขว้าง นางก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ จึงมองไปทางจื๋อหยวน : "เจ้ากินไหม"จื๋อหยวนมองมันราวกับกำลังมองอาหารที่มีพิษ เงียบอยู่พักใหญ่ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความกล้าหาญ : "กินเจ้าค่ะ !"“……”ก็แค่เหมือนให้นางดื่มยาพิษนั่นแหละซูชิงลั่วเองก็ไม่อยากฝืนใจนาง เงียบอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใ
"เจ็บหรือไม่""ไม่เจ็บเจ้าค่ะ" ซูชิงลั่วตอบด้วยรอยยิ้ม "แผลแค่นี้ ที่จริงแล้วไม่ต้องทายาแค่เป่าก็พอแล้ว""เป่าหรือ" ลู่เหิงจือขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือนางขึ้นมาวางที่ริมฝีปาก แล้วเป่าเบาๆ ความเย็นแผ่ซ่านไปบนมือในชั่วพริบตา"เช่นนี้หรือ"ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วหลังมือของซูชิงลั่ว : "...เจ้าค่ะ""ดีขึ้นหรือไม่""ดีขึ้นแล้ว" ซูชิงลั่วพลันดึงมือกลับไป พยายามหักห้ามไม่ให้หัวใจของตนเต้นแรงลู่เหิงจือกระตุกมุมปากเบาๆ ระหว่างที่กำลังจะดึงมือกลับมา ทันใดนั้นเองซูชิงลั่วก็เห็นรอยแผลเป็นกลมๆ สีแดงอ่อนจุดหนึ่งกลางฝ่ามือของเขานางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ : "นี่มาจากตอนที่ท่านขวางข้าที่วัดเซิ่งอัน..."ลู่เหิงจือพยักหน้า : "ไม่ใช่เรื่องใหญ่"จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร แม้แผลจะเล็ก แต่นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆปลายนิ้วของนางทั้งเย็นและนุ่ม วินาทีที่สัมผัสลงไป ลู่เหิงจือพลันสั่นสะท้านเบาๆซูชิงลั่วนึกถึงแผลที่แขนของเขา จึงเลิกแขนเสื้อเขาดูเป็นรอยแผลทรงกลมแบบเดียวกัน เพียงแต่ใหญ่กว่ารอยนี้มาก แล้วก็ยังไม่หายดี ด้านบนเป็นสะเก็ดหนาๆ หนึ่งชั้นคิดว่าคงเ
ลู่เหิงจือยื่นมือไปถึงริมปาก ซูชิงลั่วจึงไม่มีเวลาคิดมากนัก เพียงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็อ้าปากออกมาไข่ตุ๋นที่เข้าปากไปนั้น ไม่ได้ลื่นเท่าไรนัก มีรสฝาดเล็กน้อย รสชาติก็ไม่ได้แย่จนเกินไป เป็นรสเค็มจืดๆ แต่ก็ไม่อร่อยอะไรมากนักอย่างน้อยก็ทำได้แย่กว่าแม่ครัวเสียอีกซูชิงลั่วพูดว่า “ไม่ต้องกินแล้ว กินอาหารเช้าเถิด”นางจัดวางอาหารเช้าในกล่อง ยื่นมือเก็บถ้วยไข่ตุ๋นออกไป“จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร” ลู่เหิงจือจับแขนนางไว้ อีกมือหนึ่งก็ย้ายไข่ตุ๋นมาไว้ข้างหน้า “ฮูหยินทำให้น่ะ จะต้องกินให้หมด”ใบหน้าของซูชิงลั่วแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย คำว่าสามีนางยังเรียกไม่ออก แต่เขากลับเรียกคำว่าฮูหยินได้คล่องปากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็รู้สึกว่าการกินไข่ตุ๋นเช่นนี้ ดูเหมือนจะทำให้อัครมหาเสนาบดีเสียเวลาอยู่มาก"ท่าน..."“ข้าชอบมาก” เขายกสายตามองนาง แล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ทำให้อีกได้หรือไม่”น้ำเสียงอันอ่อนโยนของเขาดูเหมือนจะมีเสน่ห์บางอย่างซูชิงลั่วก็ตอบตกลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็แอบมุ่งมั่นในใจว่าจะฝึกฝนฝีมือการทำอาหารให้ดีขึ้นไข่ตุ๋นถูกกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ซากลู่เหิงจือดูเหมือนจะเลี้ยงง่
ซูชิงลั่วพาจื๋อหยวนออกไปข้างนอก มุ่งตรงไปยังร้านเครื่องประดับจินจี้นางต้องการไปซื้อปิ่นปักผมหยกขาวที่เคยเล็งไว้เนื่องจากเคยเลือกไว้แล้วมาก่อน การซื้อปิ่นปักผมจึงไม่ยากลำบากอะไรถึงแม้ว่าลู่เหิงจือจะบอกว่านางสามารถออกไปข้างนอกได้ แต่นางก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่นานนัก หลังจากซื้อเสร็จ เตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็ได้ยินหญิงสองคนกำลังกระซิบกัน“เจ้าได้ยินข่าวลือนี้หรือไม่ กุ้ยเฟยเหมือนจะไปขอพรที่วัดว่านโซ่ว ตะกูลหนิงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสู้ดี คุณชายหนิงไปยุ่งกับสาวใช้คนอื่นแล้วถูกคนมาตามล่าล้างแค้นฆ่าจนตัวตาย หนิงกั๋วกงก็ป่วยหนัก พระชายาหนิงกั่วกงก็ป่วยล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า...”“แล้วก็องค์หญิงอวี้หยาง ถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงสนมชายไว้ ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง ในช่วงนี้คงไม่กล้าออกมา และมีข่าวลือว่าถูกสนมชายทำร้ายจนเสียโฉม...”“เปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องดีๆ ดีกว่า เมื่อคืนเห็นดอกไม้ไฟที่สวยงามนั้นหรือไม่ ได้ยินมาว่าเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีที่จุดให้อูหยินคนใหม่โดยเฉพาะ...”ซูชิงลั่วฟังการพูดคุยนั้น ก็พอเข้าใจสถานการณ์ได้คร่าวๆบ้านตระกูลหนิงและองค์หญิงอวี้หยางที่เกิดเรื่องขึ้นมาแบบ
ในห้องหนังสือ ลู่เหิงจือมองจดจ้องจดหมายในมือด้วยใบหน้าเย็นชาข้างกายมีชายชุดดำยืนอยู่ซ่งเหวินก้มหน้ายืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวเสียงของลู่เหิงจือเย็นชาและเรียบเฉย "ข้าเพิ่งส่งเสนาบดีกรมขุนนางไป นายของเจ้าช่างหาเรื่องให้ข้าเสียจริงๆ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ"ชายชุดดำตอบว่า "นายท่านคาดการณ์ได้ว่าท่านจะพูดเช่นนี้ ท่านกล่าวว่า เมื่อก่อนท่านมีสิทธิ์พูดประโยคนี้ แต่ยามนี้ไม่มีแล้ว"ลู่เหิงจือยิ้มเยาะ แล้วเผาจดหมายในมือ ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายเขียนไปแถวหนึ่ง แล้วหันไปสั่งซ่งเหวินว่า "เจ้าให้คนไปบอกฮูหยินว่า คืนนี้ข้าจะไม่ไปแล้ว และสั่งให้ทุกคนอย่ามารบกวน"เขาต้องครุ่นคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ*ซูชิงลั่วถือกล่องอาหารมาพร้อมกับจื๋อหยวน มาถึงประตูเรือนของลู่เหิงจือประตูใหญ่ของเรือนที่เพิ่งได้รับการตกแต่งใหม่ยังคงมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ และมีตัวอักษรมงคลติดอ เพียงแต่ชายชุดดำสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูดูไม่เข้ากับฉากตรงหน้าเลยฉางเฟิง ฉางเหอไม่เคยไปที่สวนหลังบ้าน ทำให้ไม่รู้จักซูชิงลั่ว เมื่อเห็นผู้หญิงมา ปฏิกริยาแรกของพวกเขาคือรีบยื่นมือออกไปขวางไว้ซูชิงล
ซูชิงลั่วรู้สึกมือและเท้าเย็นยะเยือก แต่ด้วยความที่ถูกอบรมมาดี นางจึงไม่สามารถกระทืบเท้าได้ เพียงแต่ยัดมือลงในแขนเสื้อจื๋อหยวนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน เรือนของท่านชายสาม ฮูหยินก็เข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ฮูหยิน หรือเรากลับไปกันก่อน.."ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของฉางเฟิงและฉางเหอที่อยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกพร้อมกันว่า “ใต้เท้า”ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาลู่เหิงจือเดินตรงเข้ามาหา เหมือนกับสายลมที่พัดมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง“มาที่นี่ได้อย่างไร” ในความมืดมิดนั้น ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่เสียงของเขามีน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้สึกดีใจอยู่บ้างไม่รังเกียจก็ดีแล้วต่อหน้าบ่าวรับใช้ ซูชิงลั่วจึงพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนักว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะยุ่งจนลืมทานอาหาร ข้าเลยอยากจะนำอาหารมาให้ท่าน แต่ว่า...ดูเหมือนจะเย็นแล้ว”ลู่เหิงจือเหลือบมองกล่องอาหารในมือของจื๋อหยวน แล้วจับมือของซูชิงลั่วทันที ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบ “ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้ รอมานานแล้วหรือ”“ไม่นาน...”จื๋อหยวนพูดว่า “ฮูหยินรอมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว และมีลมพั
ซูชิงลั่วใจเต้นถี่ขึ้นมาทันที - นางจะไปรู้จักการหวีผมให้ผู้ชายได้อย่างไรจึงต้องหาข้ออ้างปฏิเสธก่อน “ท่านต้องทำงานราชการต่อใช่หรือไม่ หรือว่า...พรุ่งนี้?”ประเดี๋ยวกลับไปลองฝึกกับจื๋อหยวนก่อนไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะดูออกหรือไม่ว่านางโกหกลู่เหิงจือเพียงตอบรับเสียงเบา แล้วเก็บหวีหยกใส่กล่องไม้ และวางไว้บนโต๊ะหนังสือฉางกุ้ยถือกล่องอาหารเข้ามา วางกล่องอาหารลงก็รีบถอยออกไปซูชิงลั่วถอดเสื้อคลุมลุกขึ้น ยื่นมือเปิดกล่องอาหาร “พี่สามลองชิมดู หากชอบ ข้าจะสั่งให้ครัวทำน้ำแกงให้พี่อีก”ลู่เหิงจือเหลือบมองซุปไก่ที่ลอยมันอยู่ด้านบน โรยหน้าด้วยต้นหอมหั่นไม่เท่ากัน ดูแล้วไม่ใช่ฝีมือพ่อครัวเลยนางฉลาดขึ้นแล้ว ไม่กล้าบอกว่าเป็นฝีมือตัวเองอีกแล้วลู่เหิงจือยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มานั่งกินด้วยกันหน่อยได้หรือไม้”ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า “ได้”เมื่อครู่นางไม่มีอารมณ์อยากอาหาร แต่ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว จึงนั่งลงหยิบขนมมาทาน มองลู่เหิงจือเป็นระยะๆขาค่อยๆ ดื่มน้ำแกงไก่จนหมดชามแล้วพูดว่า “ชอบมาก”ซูชิงลั่วโล่งอก ตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่งนั้นก็ดีแล้ว”ลู่เหิงจือวางน้ำแกงไก่ไว้ในกล่องอาห
ลมด้านนอกพัดแรงขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงลมร้องโหยหวนดังลั่น ทำให้หน้าต่างสั่นสะเทือนราวกับฝนจะตกซูชิงลั่วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับหากอีกสักครู่ฝนตกขึ้นมาคงลำบาก และยามนี้ก็ดึกมากแล้วนางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดเสียงนิ่วเฉยว่า “คืนนี้พักที่นี่เถิด ลมแรงฝนตกหนัก กลับไปคงลำบาก”เขาเงยหน้าขึ้น มองมาที่ดวงตาของนางราวกับมีมนต์สะกด “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ยังส่งเจ้ากลับ บ่าวทั้งหลายจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่รักเจ้า”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก “แต่หากข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ สาวใช้…”ลู่เหิงจือตอบ “ต่อไปนี้ จื๋อหยวนกับอวี้จู๋สามารถเข้ามาในบริเวณนี้ได้ตลอดเวลา”"แล้วเตียงนั่น..."ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้น “ดึกแล้วและฝนกำลังจะตกด้วย อาจไม่ค่อยสะดวก ฮูหยินฝืนทนสักหน่อย คืนนี้ใช้ของข้าไปก่อนได้หรือไม่”ซูชิงลั่วกอดหนังสือและตอบรับเสียงเบาลู่เหิงจือกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “หากเมื่อใดง่วงไปนอนที่ห้องข้างๆ ก่อนก็ได้”ซูชิงลั่วเหลือบมองเขา แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เมื่อครู่เขาขอให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาสักครู่ ที่แท้เขาตั้งใจจะให้นางค้างคืนอยู่แล้วแม้ฝนไม่ตก ลมไม่แรง เขาก็ต้อง