ซูชิงลั่วพาจื๋อหยวนออกไปข้างนอก มุ่งตรงไปยังร้านเครื่องประดับจินจี้นางต้องการไปซื้อปิ่นปักผมหยกขาวที่เคยเล็งไว้เนื่องจากเคยเลือกไว้แล้วมาก่อน การซื้อปิ่นปักผมจึงไม่ยากลำบากอะไรถึงแม้ว่าลู่เหิงจือจะบอกว่านางสามารถออกไปข้างนอกได้ แต่นางก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าอยู่นานนัก หลังจากซื้อเสร็จ เตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็ได้ยินหญิงสองคนกำลังกระซิบกัน“เจ้าได้ยินข่าวลือนี้หรือไม่ กุ้ยเฟยเหมือนจะไปขอพรที่วัดว่านโซ่ว ตะกูลหนิงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสู้ดี คุณชายหนิงไปยุ่งกับสาวใช้คนอื่นแล้วถูกคนมาตามล่าล้างแค้นฆ่าจนตัวตาย หนิงกั๋วกงก็ป่วยหนัก พระชายาหนิงกั่วกงก็ป่วยล้มลงเพราะความเหนื่อยล้า...”“แล้วก็องค์หญิงอวี้หยาง ถูกกล่าวหาว่าเลี้ยงสนมชายไว้ ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง ในช่วงนี้คงไม่กล้าออกมา และมีข่าวลือว่าถูกสนมชายทำร้ายจนเสียโฉม...”“เปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องดีๆ ดีกว่า เมื่อคืนเห็นดอกไม้ไฟที่สวยงามนั้นหรือไม่ ได้ยินมาว่าเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีที่จุดให้อูหยินคนใหม่โดยเฉพาะ...”ซูชิงลั่วฟังการพูดคุยนั้น ก็พอเข้าใจสถานการณ์ได้คร่าวๆบ้านตระกูลหนิงและองค์หญิงอวี้หยางที่เกิดเรื่องขึ้นมาแบบ
ในห้องหนังสือ ลู่เหิงจือมองจดจ้องจดหมายในมือด้วยใบหน้าเย็นชาข้างกายมีชายชุดดำยืนอยู่ซ่งเหวินก้มหน้ายืนอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวเสียงของลู่เหิงจือเย็นชาและเรียบเฉย "ข้าเพิ่งส่งเสนาบดีกรมขุนนางไป นายของเจ้าช่างหาเรื่องให้ข้าเสียจริงๆ เพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ"ชายชุดดำตอบว่า "นายท่านคาดการณ์ได้ว่าท่านจะพูดเช่นนี้ ท่านกล่าวว่า เมื่อก่อนท่านมีสิทธิ์พูดประโยคนี้ แต่ยามนี้ไม่มีแล้ว"ลู่เหิงจือยิ้มเยาะ แล้วเผาจดหมายในมือ ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายเขียนไปแถวหนึ่ง แล้วหันไปสั่งซ่งเหวินว่า "เจ้าให้คนไปบอกฮูหยินว่า คืนนี้ข้าจะไม่ไปแล้ว และสั่งให้ทุกคนอย่ามารบกวน"เขาต้องครุ่นคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ*ซูชิงลั่วถือกล่องอาหารมาพร้อมกับจื๋อหยวน มาถึงประตูเรือนของลู่เหิงจือประตูใหญ่ของเรือนที่เพิ่งได้รับการตกแต่งใหม่ยังคงมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ และมีตัวอักษรมงคลติดอ เพียงแต่ชายชุดดำสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูดูไม่เข้ากับฉากตรงหน้าเลยฉางเฟิง ฉางเหอไม่เคยไปที่สวนหลังบ้าน ทำให้ไม่รู้จักซูชิงลั่ว เมื่อเห็นผู้หญิงมา ปฏิกริยาแรกของพวกเขาคือรีบยื่นมือออกไปขวางไว้ซูชิงล
ซูชิงลั่วรู้สึกมือและเท้าเย็นยะเยือก แต่ด้วยความที่ถูกอบรมมาดี นางจึงไม่สามารถกระทืบเท้าได้ เพียงแต่ยัดมือลงในแขนเสื้อจื๋อหยวนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน เรือนของท่านชายสาม ฮูหยินก็เข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ฮูหยิน หรือเรากลับไปกันก่อน.."ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของฉางเฟิงและฉางเหอที่อยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกพร้อมกันว่า “ใต้เท้า”ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาลู่เหิงจือเดินตรงเข้ามาหา เหมือนกับสายลมที่พัดมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง“มาที่นี่ได้อย่างไร” ในความมืดมิดนั้น ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่เสียงของเขามีน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้สึกดีใจอยู่บ้างไม่รังเกียจก็ดีแล้วต่อหน้าบ่าวรับใช้ ซูชิงลั่วจึงพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนักว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะยุ่งจนลืมทานอาหาร ข้าเลยอยากจะนำอาหารมาให้ท่าน แต่ว่า...ดูเหมือนจะเย็นแล้ว”ลู่เหิงจือเหลือบมองกล่องอาหารในมือของจื๋อหยวน แล้วจับมือของซูชิงลั่วทันที ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบ “ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้ รอมานานแล้วหรือ”“ไม่นาน...”จื๋อหยวนพูดว่า “ฮูหยินรอมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว และมีลมพั
ซูชิงลั่วใจเต้นถี่ขึ้นมาทันที - นางจะไปรู้จักการหวีผมให้ผู้ชายได้อย่างไรจึงต้องหาข้ออ้างปฏิเสธก่อน “ท่านต้องทำงานราชการต่อใช่หรือไม่ หรือว่า...พรุ่งนี้?”ประเดี๋ยวกลับไปลองฝึกกับจื๋อหยวนก่อนไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะดูออกหรือไม่ว่านางโกหกลู่เหิงจือเพียงตอบรับเสียงเบา แล้วเก็บหวีหยกใส่กล่องไม้ และวางไว้บนโต๊ะหนังสือฉางกุ้ยถือกล่องอาหารเข้ามา วางกล่องอาหารลงก็รีบถอยออกไปซูชิงลั่วถอดเสื้อคลุมลุกขึ้น ยื่นมือเปิดกล่องอาหาร “พี่สามลองชิมดู หากชอบ ข้าจะสั่งให้ครัวทำน้ำแกงให้พี่อีก”ลู่เหิงจือเหลือบมองซุปไก่ที่ลอยมันอยู่ด้านบน โรยหน้าด้วยต้นหอมหั่นไม่เท่ากัน ดูแล้วไม่ใช่ฝีมือพ่อครัวเลยนางฉลาดขึ้นแล้ว ไม่กล้าบอกว่าเป็นฝีมือตัวเองอีกแล้วลู่เหิงจือยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มานั่งกินด้วยกันหน่อยได้หรือไม้”ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า “ได้”เมื่อครู่นางไม่มีอารมณ์อยากอาหาร แต่ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว จึงนั่งลงหยิบขนมมาทาน มองลู่เหิงจือเป็นระยะๆขาค่อยๆ ดื่มน้ำแกงไก่จนหมดชามแล้วพูดว่า “ชอบมาก”ซูชิงลั่วโล่งอก ตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่งนั้นก็ดีแล้ว”ลู่เหิงจือวางน้ำแกงไก่ไว้ในกล่องอาห
ลมด้านนอกพัดแรงขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงลมร้องโหยหวนดังลั่น ทำให้หน้าต่างสั่นสะเทือนราวกับฝนจะตกซูชิงลั่วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับหากอีกสักครู่ฝนตกขึ้นมาคงลำบาก และยามนี้ก็ดึกมากแล้วนางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดเสียงนิ่วเฉยว่า “คืนนี้พักที่นี่เถิด ลมแรงฝนตกหนัก กลับไปคงลำบาก”เขาเงยหน้าขึ้น มองมาที่ดวงตาของนางราวกับมีมนต์สะกด “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ยังส่งเจ้ากลับ บ่าวทั้งหลายจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่รักเจ้า”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก “แต่หากข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ สาวใช้…”ลู่เหิงจือตอบ “ต่อไปนี้ จื๋อหยวนกับอวี้จู๋สามารถเข้ามาในบริเวณนี้ได้ตลอดเวลา”"แล้วเตียงนั่น..."ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้น “ดึกแล้วและฝนกำลังจะตกด้วย อาจไม่ค่อยสะดวก ฮูหยินฝืนทนสักหน่อย คืนนี้ใช้ของข้าไปก่อนได้หรือไม่”ซูชิงลั่วกอดหนังสือและตอบรับเสียงเบาลู่เหิงจือกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “หากเมื่อใดง่วงไปนอนที่ห้องข้างๆ ก่อนก็ได้”ซูชิงลั่วเหลือบมองเขา แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เมื่อครู่เขาขอให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาสักครู่ ที่แท้เขาตั้งใจจะให้นางค้างคืนอยู่แล้วแม้ฝนไม่ตก ลมไม่แรง เขาก็ต้อง
เช้าวันต่อมา ทั้งคู่ตื่นขึ้นมาแล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว ทั้งสองรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก บรรยากาศจึงไม่ผ่อนคลายเหมือนเคยขณะที่กำลังผูกเข็มขัดให้ลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วก็แอบสติหลุดเล็กน้อย ผูกไม่ติดหลายครั้งลู่เหิงจือจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าผูกเอง”เขาเอื้อมมือไปจับเข็มขัดโดยไม่มองนาง แล้วผูกเอง ซูชิงลั่วรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยืนนิ่งอยู่กับที่สักครู่ จึงหันไปที่โต๊ะเมื่อเห็นอวี้จู๋นำกล่องอาหารมาให้ในใจรู้สึกหดหู่เล็กน้อยหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็กินข้าวเงียบๆ ลู่เหิงจือเดินออกจากห้องไปยังห้องหนังสือข้างๆ ทันทีอวี้จู๋สังเกตเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ จึงถามด้วยความระมัดระวังว่า “ฮูหยิน ท่านทะเลาะกับนายท่านหรือเจ้าคะ”การทะเลาะกันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำซูชิงลั่วรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เมื่อวานได้พูดถึงเรื่องการแต่งงานหลอกๆ เพราะกลัวว่าจะไปทำให้เขาคิดว่าความรักที่แสดงออกมาก็เป็นเรื่องหลอกลวงด้วย จนทำให้เขากลับไปเป็นคนเย็นชาเหมือนเดิมนางจึงส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไปหาท่านยายกันเถอะ”อวี้จู๋ขานรับเสียงเบา แต่ในใจกลับค่อนข้างรู้สึกแปลกๆตั้งสติแล้วไปน้อมทักอรุณสวั
เถ้าแก่เฉียนยิ้ม “คุณหนูไม่ทราบหรอกว่า คุณชายทผู้นี้ชื่ออวี๋ซื่อชิง เป็นบัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวง แม้ว่าฝีมือการวาดภาพจะพอใช้ได้ แต่ก็ยากจนมาก ให้แค่ไม่กี่ตำลึงก็ยอมขายแล้ว”บัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ...ซูชิงลั่วหลับตาลง แล้วนึกถึงท่านพ่อซูจุ่นขึ้นมาทันทีท่านพ่อของนางเป็นที่รู้จักในนามท่านซูผู้ใจบุญแห่งเมืองจินหลิง เพราะท่านมักจะช่วยเหลือคนยากจน โดยเฉพาะบัณฑิตผู้ยากไร้ครั้นที่นางยังเด็ก ท่านต้องออกไปค้าขายทางทะเลเพื่อเลี้ยงครอบครัว สร้างฐานะมั่นคง แต่สิ่งที่ท่านเสียใจตลอดชีวิตคือ ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่เคยสอบจนได้ชื่อเสียงโด่งดัง จึงเอ็นดูบัณฑิตเป็นพิเศษตลอดชีวิตของท่าน ไม่รู้ว่าช่วยเหลือบัณฑิตในเมืองจินหลิงไปกี่คนแล้ว เป็นที่ยกย่องของคนในท้องถิ่นซูชิงลั่วครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เฉียน เขาเป็นคนใฝ่เรียน อนาคตอาจสอบได้เป็นขุนนางก็ได้ ลองทำบุญให้เขาสักสิบนึงสิบตำลึงก็แล้วกัน”เถ้าแก่เฉียนมองมาที่คุณหนูผู้เป็นฮูหยินน้อยคนใหม่ด้วยความประหลาดใจ และรีบตอบว่า “ขอครับ”แล้วรีบเดินออกไป พูดชมเชยเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยรอยยิ้มว่าอนาคตสดใส
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้มลงทันที และมีกระแสลมพัดผ่าน ราวกับว่าฝนกำลังจะตกอีกครั้งในพื้นที่แคบๆ รอบตัวลู่เหิงจือดูเหมือนจะมีความโกรธแค้นปกคลุมอยู่ซูชิงลั่วไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายของนางเจ็บเล็กน้อยเพราะเพิ่งถูกเขากด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรรถม้าทั้งคันตกอยู่ในความเงียบงันซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองลู่เหิงจือ เขานั่งหลับตาลงครึ่งหนึ่งและนั่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้เหลือบมองนางเลยแม้แต่น้อยผ่านพักใหญ่ เขาถึงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าออกมาทำไม”หรือว่าเขาจะโกรธเพราะนางออกจากจวนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า?ไม่น่าจะใช่ นางใช้คนของเขาเอง น่าจะรายงานเขาไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานเขาบอกว่าเวลาของนางสามารถจัดการได้ตามอำเภอใจซูชิงลั่วคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดเขาถึงโกรธ จึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าออกมาเพื่อไปรับด้ายที่ร้านขายด้าย แล้วก็คิดว่าท่านยุ่งอยู่ จึงไปดูร้านขายภาพวาดที่ขายไม่ค่อยดีสักหน่อย คุณชายเมื่อครู่เป็นคนมาขายภาพวาด อาจเป็นเพราะข้าให้เเถ้าแก่ซื้อภาพวาดของเขาในราคาสิบตำลึง เขาจึงมาขอบคุณข้าน่ะ...”แน่นอนว