เถ้าแก่เฉียนยิ้ม “คุณหนูไม่ทราบหรอกว่า คุณชายทผู้นี้ชื่ออวี๋ซื่อชิง เป็นบัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวง แม้ว่าฝีมือการวาดภาพจะพอใช้ได้ แต่ก็ยากจนมาก ให้แค่ไม่กี่ตำลึงก็ยอมขายแล้ว”บัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ...ซูชิงลั่วหลับตาลง แล้วนึกถึงท่านพ่อซูจุ่นขึ้นมาทันทีท่านพ่อของนางเป็นที่รู้จักในนามท่านซูผู้ใจบุญแห่งเมืองจินหลิง เพราะท่านมักจะช่วยเหลือคนยากจน โดยเฉพาะบัณฑิตผู้ยากไร้ครั้นที่นางยังเด็ก ท่านต้องออกไปค้าขายทางทะเลเพื่อเลี้ยงครอบครัว สร้างฐานะมั่นคง แต่สิ่งที่ท่านเสียใจตลอดชีวิตคือ ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่เคยสอบจนได้ชื่อเสียงโด่งดัง จึงเอ็นดูบัณฑิตเป็นพิเศษตลอดชีวิตของท่าน ไม่รู้ว่าช่วยเหลือบัณฑิตในเมืองจินหลิงไปกี่คนแล้ว เป็นที่ยกย่องของคนในท้องถิ่นซูชิงลั่วครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เฉียน เขาเป็นคนใฝ่เรียน อนาคตอาจสอบได้เป็นขุนนางก็ได้ ลองทำบุญให้เขาสักสิบนึงสิบตำลึงก็แล้วกัน”เถ้าแก่เฉียนมองมาที่คุณหนูผู้เป็นฮูหยินน้อยคนใหม่ด้วยความประหลาดใจ และรีบตอบว่า “ขอครับ”แล้วรีบเดินออกไป พูดชมเชยเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยรอยยิ้มว่าอนาคตสดใส
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้มลงทันที และมีกระแสลมพัดผ่าน ราวกับว่าฝนกำลังจะตกอีกครั้งในพื้นที่แคบๆ รอบตัวลู่เหิงจือดูเหมือนจะมีความโกรธแค้นปกคลุมอยู่ซูชิงลั่วไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายของนางเจ็บเล็กน้อยเพราะเพิ่งถูกเขากด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรรถม้าทั้งคันตกอยู่ในความเงียบงันซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองลู่เหิงจือ เขานั่งหลับตาลงครึ่งหนึ่งและนั่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้เหลือบมองนางเลยแม้แต่น้อยผ่านพักใหญ่ เขาถึงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าออกมาทำไม”หรือว่าเขาจะโกรธเพราะนางออกจากจวนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า?ไม่น่าจะใช่ นางใช้คนของเขาเอง น่าจะรายงานเขาไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานเขาบอกว่าเวลาของนางสามารถจัดการได้ตามอำเภอใจซูชิงลั่วคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดเขาถึงโกรธ จึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าออกมาเพื่อไปรับด้ายที่ร้านขายด้าย แล้วก็คิดว่าท่านยุ่งอยู่ จึงไปดูร้านขายภาพวาดที่ขายไม่ค่อยดีสักหน่อย คุณชายเมื่อครู่เป็นคนมาขายภาพวาด อาจเป็นเพราะข้าให้เเถ้าแก่ซื้อภาพวาดของเขาในราคาสิบตำลึง เขาจึงมาขอบคุณข้าน่ะ...”แน่นอนว
ซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บมือจากการถูกเขาบีบ จึงอดกระซิบเสียงเบาไม่ได้ว่า "ท่านชายสาม..."เขาไม่สนใจ พานางเดินกลับห้องไป แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้หวายยาวแต่กลายเป็นว่าแรงที่โยนไม่แรงมาก ซูชิงลั่วแค่ถูกแรงผลักให้ไปนั่งบนเก้าอี้หวายเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรจื๋อหยวนที่ตามมาด้วย ตกใจจนถามขึ้นมาว่า "นายท่าน เกิดอะไรขึ้น...""ออกไป" ลู่เหิงจือตะคอกเสียงทุ้มต่ำซูชิงลั่วตกใจจนเนื้อตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวจื๋อหยวนก็ตกใจเช่นกัน ไม่ต้องการออกไป แต่ถูกซ่งเหวินส่งสายตาและลากออกไปประตูถูกปิดลง และมีฟ้าแลบส่องสว่างห้องมืดมิด สาดส่องไปยังใบหน้าที่เย็นชาของลู่เหิงจือในยามนี้ซูชิงลั่วรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยจึงถอยหลังไปการกระทำนี้กลับทำให้ลู่เหิงจือโกรธขึ้นมา"เจ้ากลัวอะไร" ลู่เหิงจือถามเสียงราบเรียบความสงบเงียบนี้ช่างน่ากลัว ราวกับพายุฝนกำลังก่อตัวเขาไม่ได้ถามนางอีกว่ากลัวหรือไม่ แต่ถามนางอย่างแน่วแน่ว่ากลัวอะไรกันแน่ลู่เหิงจือยืนอยู่ตรงหน้านาง ร่างสูงของเขาปกคลุมนางจนมิด...ตกลงกลัวอะไรกันแน่? ข้ายังไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือความมืดมนในดวงตาของเขาทำให้ซูชิงลั่วถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวนางไม่ได
ท่ามกลางแสงสลัว ริมฝีปากของนางถูกจูบ รู้สึกถึงลมหายใจเย็นชื่นที่โอบล้อมเข้ามาซูชิงลั่วรู้สึกตั้งตัวไม่ทันคางของนางถูกจับขลึงไว้ ขณะที่รับจูบที่เต็มไปด้วยความโกรธและความตื่นเต้นอย่างไม่เต็มใจน้ำตายังคงไหลอยู่บนใบหน้า แต่นางก็ยังไม่เข้าใจ...เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงพูดกับนางเช่นนั้น แล้วจู่ๆ ก็มาจูบนางนางเผลอตัวผลักอกเขา แต่แรงเพียงน้อยนิด กลับทำให้เขาตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกมือที่จับคางของนางคลายออก พยุงตัวอยู่บนเก้าอี้หวาย ขาขวายัดเข้าไประหว่างเข่าของนางอย่างก้าวร้าว เข่าคุกเข่าอยู่ที่ขอบเก้าอี้หวาย แล้วผลักนางจนนางล้มลงไปด้านหลังโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ร่างกายท่อนบนนอนเอนอยู่บนเก้าอี้หวาย และขาของนางห้อยอยู่กลางอากาศ หาจุดยึดไม่ได้ลู่เหิงจือประคองเอวของนางไว้ และจูบนางไปพร้อมกับดึงร่างกายของนางเข้ามา ทำให้ขาของนางวางอยู่บนเก้าอี้ยาวร่างกายของนางเหมือนถูกกอดรัด ขยับตัวไม่ได้ มีเพียงมือทั้งสองข้างที่ยังวางอยู่บนอกของเขาแต่ในวินาทีต่อมา ลู่เหิงจือใช้มือข้างเดียวรวบแขนทั้งสองข้างของนางขึ้นเหนือศีรษะ แล้วกดไว้บนที่วางแขนของเก้าอี้หวายเสียงหายใจหอบของเขาเล็ดลอดเข้าไปในห
"หากเราจะทำทุกอย่างที่คู่สามีภรรยาทำกัน เหตุใดคืนวันแต่งงานท่านถึงไปนอนบนเก้าอี้ยาวเล่า"“……”นางโกรธจัดจนพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่คิดภายในห้องเงียบสงัดลงทันที เหลือเพียงเสียงฝนฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายเบาๆ ดังมาจากนอกหน้าต่างอึดอัดคำพูดนี้ราวกับถามเขาว่าในคืนวันแต่งงานเหตุใดถึงไม่นอนกับตนซูชิงลั่วกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นแล้วถอยหลังอีกนิด แม้ว่าจะไม่มีที่ให้ถอยแล้วก็ตามลู่เหิงจือยืนนิ่งมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าเป็นคนเจ้าชู้เลย”เขาแสดงสีหน้าจริงจังเกินไป ซูชิงลั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมาก"แล้วเหตุใดท่านถึง...ถึงมาจูบข้าล่ะ?" นางหันหน้าหนีไปแล้วพูดว่า "ไม่ได้โดนวางยารักสักหน่อย"ลู่เหิงจือแทบหัวเราะเสียงแหบแห่งออกมา "ใครบอกว่าต้องโดนวางยารักถึงจูบเจ้าได้เล่า"เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างช้าๆ มองด้วยแววตาลุ่มลึก "เจ้าไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นบ้างเลยหรือ"ซูชิงลั่วรู้สึกงุนงง "ความเป็นไปได้อะไร?"ลู่เหิงจือเพียงแต่ก้มศีรษะลง ไม่ตอบ“ทำไมเงียบไป” ซูชิงลั่วเงยหน้าเหลือมองเขา “ที่นี่ก็ไม่มีบาวรับใช้ ไม่จำเป็นต้องแสดงความรักให้ใครเห็นหรอก……” ในใจเริ่มตัด
เรื่องที่ซูชิงลั่วทะเลาะกับลู่เหิงจือและไล่เขาออกจากห้องเมื่อค่ำคืนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วจวนลู่ภายในคืนเดียวเช้าวันรุ่งขึ้น จื๋อหยวนช่วยซูชิงลั่วแต่งตัวอย่างระมัดระวังตนก็รู้สึกหนาวสั่นหลังจากนอนมาทั้งคืนในกระจกทองแดง ซูชิงลั่วกอดอกไว้ ใบหน้าขาวซีดเผือดและเผยความสับสนเล็กน้อยเมื่อคืนนี้นางฝันแปลกมาก ในความฝันราวกับเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากภพชาติที่แล้วนางกับลู่เหยียนแต่งงานกันและเสียชีวิตทั้งคู่หลังจากนั้น ลู่เหิงจือก็ออกมาเปิดโปงความผิดของลู่เหยียน ทั้งเรื่องซื้อตำแหน่ง ติดสินบน หนีทหาร และลงมือประหารชีวิตเขาด้วยตัวเองส่วนหลิ่วเยียนหรานก็แอบหนีออกจากจวนลู่เรือนสาม พร้อมกับขโมยเงินทองไปและทิ้งเด็กๆ ไว้ต่อมา ลู่เหิงจือก็มาที่หลุมศพของนาง นำอาหารจากจินหลิงมาให้จำนวนมาก ทั้งซาลาเปาไก่ตุ๋น นมพิราบต้มเค็ม บะหมี่ไก่ฉีก ต้มเนื้อวัว และยังคารวะสุราและเผากระดาษเงินให้ด้วยใบหน้าของเขาดูเย็นชาและเศร้าสร้อย ขณะที่ลูบสัมผัสสุสานของนาง ก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าเห็นด้วยใช่หรือไม่ เขาไม่เคยทำดีกับเจ้าเลย”เห็นด้วยที่เขาฆ่าลู่เหยียนหรือ? แน่นอนว่าเห็นด้วยในความฝัน นางพยักหน้า แล้วทันใดน
ซูชิงลั่วรับประทานอาหารเช้าอย่างสงบเสงี่ยม แล้วไปน้อมทักอรุณสวัสดิ์ท่านยาย ท่าทางดูสดใสกว่าปกติเสียอีกท่านยายเองก็รู้ข่าวที่พวกเขาสองสามีภรรยาทะเลาะ คิดว่าหลานสาวผู้นี้พยายามฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้นางเป็นห่วง จึงรู้สึกสงสารหลานสาวมากขึ้นไปอีก และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหลานพอนางออกไปแล้ว หญิงชราก็หันไปสั่งนางเฉียนว่า “คงต้องลำบากเจ้าที่เป็นแม่สามีแล้ว ไปพูดเกลี่ยกล่อมพวกเขาสองสามีภรรยาหน่อย มีที่ไหนเพิ่งแต่งงานก็ทะเลาะกันแล้ว”ให้นางไปเกลี่ยกล่อมอีกแล้วหรือ?นางเฉียนไม่รู้ว่าตัวเองทำกรรมอะไรไว้ เมื่อสองวันก่อนก็เพิ่งเตือนทั้งคู่ให้ดูแลสุขภาพและแยกห้องนอน แต่บัดนี้กลับต้องมาช่วยพูดคืนดีอีก ทำให้รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง จึงได้แต่พยักหน้ารับคำว่า "เจ้าค่ะ"*ลู่หมิงซือก็รู้เรื่องนี้ผ่านทางสาวใช้เยว่เสี่ยวนางยิ้มเยาะ "สมควรแล้ว หยิ่งผยองได้ไม่กี่วัน"นางนั่งอยู่หน้ากระจกแต่งตัว แล้วโยนปิ่นปักผมทองที่ถืออยู่ในมือลงอย่างแรง “นับตั้งแต่ท่านแม่ไปอยู่ในเรือน ข้าก็มีปิ่นปักผมให้หมุนเวียนใส่อยู่ไม่กี่อันแล้ว ครึ่งปีมานี้ไม่ได้ซื้ออันใหม่เลย”เยว่เสี่ยวก้มศีรษะ ไม่กล้าออกเสียงลู่หมิง
ซูชิงลั่วกินอาหารเช้าเสร็จ ก็รู้สึกใจลอยด้านหนึ่งรู้สึกว่าลู่เหิงจือเพิ่งจะหยุดพักไม่กี่วัน ไม่ให้เขาเข้าห้องเหมือนจะเสียของไปเปล่าๆด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าควรให้เขาได้รับบทเรียนบ้าง ใครใช้ให้เขาพูดจาไม่ดี ถหากพูดกันตรงๆ ว่าชอบนาง นางจะไม่ให้เขาจูบได้อย่างไรนางกอดเสื้อทรงยาวที่เย็บให้ลู่เหิงจือไว้ มองออกไปนอกหน้าต่างไม่หยุด รู้สึกว่าค่ำคืนนี้เขาต้องมาแน่ๆแน่นอนว่าไม่นานนัก ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกหน้าต่างอีกครั้งจื๋อหยวนบอกว่าซ่งเหวินมาอีกแล้วซูชิงลั่วสั่งให้คนเข้ามา ขณะเดียวกันก็ก้มศีรษะทำเป็นเย็บเสื้ออย่างตั้งใจซ่งเหวินสีหน้าเคร่งเครียดและพูดว่า “ฮุหยิน ขอร้องท่านให้ไปดูหน่อยเถิด ใต้เท้าข้ากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่สวนบุปผาหลังบ้าน ข้าน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง ใต้เท้าไม่ได้ดื่มสุราหนักเช่นนี้มานานแล้ว”กลยุทธ์ทุกข์กายล่ะสิ ยังเป็นสวนบุปผาหลังบ้านที่พวกเขาเคยพบหน้ากันอีก ช่างเยี่ยมจริงๆเสียดายที่นางมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านพ่อก็เคยใช้วิธีนี้ท่านแม่ทำเช่นไรนะ ปล่อยให้เขาแสดงไปก่อนซูชิงลั่วพูดเสียงราบเรียบ "ใต้เท้าอยากดื่มเป็นเรื่องดี จะไปห้ามทำไม เจ้าไปเ