ซูชิงลั่วรู้สึกมือและเท้าเย็นยะเยือก แต่ด้วยความที่ถูกอบรมมาดี นางจึงไม่สามารถกระทืบเท้าได้ เพียงแต่ยัดมือลงในแขนเสื้อจื๋อหยวนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน เรือนของท่านชายสาม ฮูหยินก็เข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ ฮูหยิน หรือเรากลับไปกันก่อน.."ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของฉางเฟิงและฉางเหอที่อยู่ด้านหน้าตะโกนเรียกพร้อมกันว่า “ใต้เท้า”ซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมาลู่เหิงจือเดินตรงเข้ามาหา เหมือนกับสายลมที่พัดมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง“มาที่นี่ได้อย่างไร” ในความมืดมิดนั้น ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่เสียงของเขามีน้ำเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาก็รู้สึกดีใจอยู่บ้างไม่รังเกียจก็ดีแล้วต่อหน้าบ่าวรับใช้ ซูชิงลั่วจึงพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบายใจนักว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะยุ่งจนลืมทานอาหาร ข้าเลยอยากจะนำอาหารมาให้ท่าน แต่ว่า...ดูเหมือนจะเย็นแล้ว”ลู่เหิงจือเหลือบมองกล่องอาหารในมือของจื๋อหยวน แล้วจับมือของซูชิงลั่วทันที ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบ “ทำไมมือถึงเย็นขนาดนี้ รอมานานแล้วหรือ”“ไม่นาน...”จื๋อหยวนพูดว่า “ฮูหยินรอมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว และมีลมพั
ซูชิงลั่วใจเต้นถี่ขึ้นมาทันที - นางจะไปรู้จักการหวีผมให้ผู้ชายได้อย่างไรจึงต้องหาข้ออ้างปฏิเสธก่อน “ท่านต้องทำงานราชการต่อใช่หรือไม่ หรือว่า...พรุ่งนี้?”ประเดี๋ยวกลับไปลองฝึกกับจื๋อหยวนก่อนไม่รู้ว่าลู่เหิงจือจะดูออกหรือไม่ว่านางโกหกลู่เหิงจือเพียงตอบรับเสียงเบา แล้วเก็บหวีหยกใส่กล่องไม้ และวางไว้บนโต๊ะหนังสือฉางกุ้ยถือกล่องอาหารเข้ามา วางกล่องอาหารลงก็รีบถอยออกไปซูชิงลั่วถอดเสื้อคลุมลุกขึ้น ยื่นมือเปิดกล่องอาหาร “พี่สามลองชิมดู หากชอบ ข้าจะสั่งให้ครัวทำน้ำแกงให้พี่อีก”ลู่เหิงจือเหลือบมองซุปไก่ที่ลอยมันอยู่ด้านบน โรยหน้าด้วยต้นหอมหั่นไม่เท่ากัน ดูแล้วไม่ใช่ฝีมือพ่อครัวเลยนางฉลาดขึ้นแล้ว ไม่กล้าบอกว่าเป็นฝีมือตัวเองอีกแล้วลู่เหิงจือยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มานั่งกินด้วยกันหน่อยได้หรือไม้”ซูชิงลั่วตอบเสียงเบาว่า “ได้”เมื่อครู่นางไม่มีอารมณ์อยากอาหาร แต่ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว จึงนั่งลงหยิบขนมมาทาน มองลู่เหิงจือเป็นระยะๆขาค่อยๆ ดื่มน้ำแกงไก่จนหมดชามแล้วพูดว่า “ชอบมาก”ซูชิงลั่วโล่งอก ตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่งนั้นก็ดีแล้ว”ลู่เหิงจือวางน้ำแกงไก่ไว้ในกล่องอาห
ลมด้านนอกพัดแรงขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงลมร้องโหยหวนดังลั่น ทำให้หน้าต่างสั่นสะเทือนราวกับฝนจะตกซูชิงลั่วลุกขึ้นเตรียมตัวกลับหากอีกสักครู่ฝนตกขึ้นมาคงลำบาก และยามนี้ก็ดึกมากแล้วนางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดเสียงนิ่วเฉยว่า “คืนนี้พักที่นี่เถิด ลมแรงฝนตกหนัก กลับไปคงลำบาก”เขาเงยหน้าขึ้น มองมาที่ดวงตาของนางราวกับมีมนต์สะกด “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ยังส่งเจ้ากลับ บ่าวทั้งหลายจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าไม่รักเจ้า”ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก “แต่หากข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ สาวใช้…”ลู่เหิงจือตอบ “ต่อไปนี้ จื๋อหยวนกับอวี้จู๋สามารถเข้ามาในบริเวณนี้ได้ตลอดเวลา”"แล้วเตียงนั่น..."ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้น “ดึกแล้วและฝนกำลังจะตกด้วย อาจไม่ค่อยสะดวก ฮูหยินฝืนทนสักหน่อย คืนนี้ใช้ของข้าไปก่อนได้หรือไม่”ซูชิงลั่วกอดหนังสือและตอบรับเสียงเบาลู่เหิงจือกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “หากเมื่อใดง่วงไปนอนที่ห้องข้างๆ ก่อนก็ได้”ซูชิงลั่วเหลือบมองเขา แล้วรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เมื่อครู่เขาขอให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขาสักครู่ ที่แท้เขาตั้งใจจะให้นางค้างคืนอยู่แล้วแม้ฝนไม่ตก ลมไม่แรง เขาก็ต้อง
เช้าวันต่อมา ทั้งคู่ตื่นขึ้นมาแล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว ทั้งสองรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก บรรยากาศจึงไม่ผ่อนคลายเหมือนเคยขณะที่กำลังผูกเข็มขัดให้ลู่เหิงจือ ซูชิงลั่วก็แอบสติหลุดเล็กน้อย ผูกไม่ติดหลายครั้งลู่เหิงจือจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าผูกเอง”เขาเอื้อมมือไปจับเข็มขัดโดยไม่มองนาง แล้วผูกเอง ซูชิงลั่วรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรจึงยืนนิ่งอยู่กับที่สักครู่ จึงหันไปที่โต๊ะเมื่อเห็นอวี้จู๋นำกล่องอาหารมาให้ในใจรู้สึกหดหู่เล็กน้อยหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็กินข้าวเงียบๆ ลู่เหิงจือเดินออกจากห้องไปยังห้องหนังสือข้างๆ ทันทีอวี้จู๋สังเกตเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ จึงถามด้วยความระมัดระวังว่า “ฮูหยิน ท่านทะเลาะกับนายท่านหรือเจ้าคะ”การทะเลาะกันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำซูชิงลั่วรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เมื่อวานได้พูดถึงเรื่องการแต่งงานหลอกๆ เพราะกลัวว่าจะไปทำให้เขาคิดว่าความรักที่แสดงออกมาก็เป็นเรื่องหลอกลวงด้วย จนทำให้เขากลับไปเป็นคนเย็นชาเหมือนเดิมนางจึงส่ายหัวแล้วตอบว่า “ไปหาท่านยายกันเถอะ”อวี้จู๋ขานรับเสียงเบา แต่ในใจกลับค่อนข้างรู้สึกแปลกๆตั้งสติแล้วไปน้อมทักอรุณสวั
เถ้าแก่เฉียนยิ้ม “คุณหนูไม่ทราบหรอกว่า คุณชายทผู้นี้ชื่ออวี๋ซื่อชิง เป็นบัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวง แม้ว่าฝีมือการวาดภาพจะพอใช้ได้ แต่ก็ยากจนมาก ให้แค่ไม่กี่ตำลึงก็ยอมขายแล้ว”บัณฑิตที่กำลังจะไปสอบเข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ...ซูชิงลั่วหลับตาลง แล้วนึกถึงท่านพ่อซูจุ่นขึ้นมาทันทีท่านพ่อของนางเป็นที่รู้จักในนามท่านซูผู้ใจบุญแห่งเมืองจินหลิง เพราะท่านมักจะช่วยเหลือคนยากจน โดยเฉพาะบัณฑิตผู้ยากไร้ครั้นที่นางยังเด็ก ท่านต้องออกไปค้าขายทางทะเลเพื่อเลี้ยงครอบครัว สร้างฐานะมั่นคง แต่สิ่งที่ท่านเสียใจตลอดชีวิตคือ ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่เคยสอบจนได้ชื่อเสียงโด่งดัง จึงเอ็นดูบัณฑิตเป็นพิเศษตลอดชีวิตของท่าน ไม่รู้ว่าช่วยเหลือบัณฑิตในเมืองจินหลิงไปกี่คนแล้ว เป็นที่ยกย่องของคนในท้องถิ่นซูชิงลั่วครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เฉียน เขาเป็นคนใฝ่เรียน อนาคตอาจสอบได้เป็นขุนนางก็ได้ ลองทำบุญให้เขาสักสิบนึงสิบตำลึงก็แล้วกัน”เถ้าแก่เฉียนมองมาที่คุณหนูผู้เป็นฮูหยินน้อยคนใหม่ด้วยความประหลาดใจ และรีบตอบว่า “ขอครับ”แล้วรีบเดินออกไป พูดชมเชยเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยรอยยิ้มว่าอนาคตสดใส
รถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้มลงทันที และมีกระแสลมพัดผ่าน ราวกับว่าฝนกำลังจะตกอีกครั้งในพื้นที่แคบๆ รอบตัวลู่เหิงจือดูเหมือนจะมีความโกรธแค้นปกคลุมอยู่ซูชิงลั่วไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน กระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายของนางเจ็บเล็กน้อยเพราะเพิ่งถูกเขากด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรรถม้าทั้งคันตกอยู่ในความเงียบงันซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองลู่เหิงจือ เขานั่งหลับตาลงครึ่งหนึ่งและนั่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้เหลือบมองนางเลยแม้แต่น้อยผ่านพักใหญ่ เขาถึงพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าออกมาทำไม”หรือว่าเขาจะโกรธเพราะนางออกจากจวนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า?ไม่น่าจะใช่ นางใช้คนของเขาเอง น่าจะรายงานเขาไปแล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานเขาบอกว่าเวลาของนางสามารถจัดการได้ตามอำเภอใจซูชิงลั่วคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดเขาถึงโกรธ จึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “ข้าออกมาเพื่อไปรับด้ายที่ร้านขายด้าย แล้วก็คิดว่าท่านยุ่งอยู่ จึงไปดูร้านขายภาพวาดที่ขายไม่ค่อยดีสักหน่อย คุณชายเมื่อครู่เป็นคนมาขายภาพวาด อาจเป็นเพราะข้าให้เเถ้าแก่ซื้อภาพวาดของเขาในราคาสิบตำลึง เขาจึงมาขอบคุณข้าน่ะ...”แน่นอนว
ซูชิงลั่วรู้สึกเจ็บมือจากการถูกเขาบีบ จึงอดกระซิบเสียงเบาไม่ได้ว่า "ท่านชายสาม..."เขาไม่สนใจ พานางเดินกลับห้องไป แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้หวายยาวแต่กลายเป็นว่าแรงที่โยนไม่แรงมาก ซูชิงลั่วแค่ถูกแรงผลักให้ไปนั่งบนเก้าอี้หวายเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรจื๋อหยวนที่ตามมาด้วย ตกใจจนถามขึ้นมาว่า "นายท่าน เกิดอะไรขึ้น...""ออกไป" ลู่เหิงจือตะคอกเสียงทุ้มต่ำซูชิงลั่วตกใจจนเนื้อตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวจื๋อหยวนก็ตกใจเช่นกัน ไม่ต้องการออกไป แต่ถูกซ่งเหวินส่งสายตาและลากออกไปประตูถูกปิดลง และมีฟ้าแลบส่องสว่างห้องมืดมิด สาดส่องไปยังใบหน้าที่เย็นชาของลู่เหิงจือในยามนี้ซูชิงลั่วรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยจึงถอยหลังไปการกระทำนี้กลับทำให้ลู่เหิงจือโกรธขึ้นมา"เจ้ากลัวอะไร" ลู่เหิงจือถามเสียงราบเรียบความสงบเงียบนี้ช่างน่ากลัว ราวกับพายุฝนกำลังก่อตัวเขาไม่ได้ถามนางอีกว่ากลัวหรือไม่ แต่ถามนางอย่างแน่วแน่ว่ากลัวอะไรกันแน่ลู่เหิงจือยืนอยู่ตรงหน้านาง ร่างสูงของเขาปกคลุมนางจนมิด...ตกลงกลัวอะไรกันแน่? ข้ายังไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือความมืดมนในดวงตาของเขาทำให้ซูชิงลั่วถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวนางไม่ได
ท่ามกลางแสงสลัว ริมฝีปากของนางถูกจูบ รู้สึกถึงลมหายใจเย็นชื่นที่โอบล้อมเข้ามาซูชิงลั่วรู้สึกตั้งตัวไม่ทันคางของนางถูกจับขลึงไว้ ขณะที่รับจูบที่เต็มไปด้วยความโกรธและความตื่นเต้นอย่างไม่เต็มใจน้ำตายังคงไหลอยู่บนใบหน้า แต่นางก็ยังไม่เข้าใจ...เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงพูดกับนางเช่นนั้น แล้วจู่ๆ ก็มาจูบนางนางเผลอตัวผลักอกเขา แต่แรงเพียงน้อยนิด กลับทำให้เขาตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกมือที่จับคางของนางคลายออก พยุงตัวอยู่บนเก้าอี้หวาย ขาขวายัดเข้าไประหว่างเข่าของนางอย่างก้าวร้าว เข่าคุกเข่าอยู่ที่ขอบเก้าอี้หวาย แล้วผลักนางจนนางล้มลงไปด้านหลังโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ร่างกายท่อนบนนอนเอนอยู่บนเก้าอี้หวาย และขาของนางห้อยอยู่กลางอากาศ หาจุดยึดไม่ได้ลู่เหิงจือประคองเอวของนางไว้ และจูบนางไปพร้อมกับดึงร่างกายของนางเข้ามา ทำให้ขาของนางวางอยู่บนเก้าอี้ยาวร่างกายของนางเหมือนถูกกอดรัด ขยับตัวไม่ได้ มีเพียงมือทั้งสองข้างที่ยังวางอยู่บนอกของเขาแต่ในวินาทีต่อมา ลู่เหิงจือใช้มือข้างเดียวรวบแขนทั้งสองข้างของนางขึ้นเหนือศีรษะ แล้วกดไว้บนที่วางแขนของเก้าอี้หวายเสียงหายใจหอบของเขาเล็ดลอดเข้าไปในห