ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ร่างทั้งร่างถูกห้อมล้อมด้วยด้วยอ้อมกอดอบอุ่น แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกของเขา เอวถูกเขาโอบ ฝามือหนาใหญ่ของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของนาง เป็นสัมผัสใกล้ชิดนางหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นจังหวะได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนล้าของเขา : "นอนเถอะ"จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขาเดิมทีนางคิดว่าคงนอนไม่หลับ ทว่าในความเป็นจริง ถูกร่างที่อบอุ่นโอบล้อมอยู่กลางค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่นานนักนางก็รู้สึกง่วง หลับตาลงอย่างสบายใจ และหลับสนิทในที่สุดไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกได้ถึงมือของชายหนุ่มกำลังดันที่บริเวณเอวของนางเบาๆนางยังคงอยากนอนต่อ จึงหลับตาอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ ทั้งยังแกว่งแขวนไปมาด้วยท่าทางรังเกียจ บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่ามารบกวน"ไปกันเถอะ วันนี้ต้องกลับเรือนเจ้าแล้ว"ได้ยินคำว่า "กลับเรือน" ซูชิงลั่วก็ได้สติขึ้นมาทันที เกือบจะคิดว่าตัวเองหลับลืมอีกแล้ว มองดูท้องฟ้า ยังเช้าอยู่ถึงได้โล่งใจไปเปราะหนึ่งความรังเกียจเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความขอบคุณทันที"ขอบคุณพี่สาม"
ลู่เหิงจือขานรับเบาๆ ก่อนจะลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถม้าออกแล้วเอื้อมมือไปประครองนางลงมาหน้าจวนลู่ เหล่าคนใช้สองแถวที่ยืนรอต่างก็ก้มหน้าไม่กล้ามองมากนักโชคดีที่ซูชิงลั่วพอจะมีประสบการณ์กับเรื่องที่เขาพยุงตนลงจากรถม้าแล้ว จึงจับมือเขาลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่นับว่าเป็นธรรมชาติได้อยู่ทั้งสองคนเดินเข้าประตูใหญ่พร้อมกัน ซูชิงลั่วก้มหน้าพลางดึงมือกลับมา ลู่เหิงจือเพียงแค่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งๆ ที่เป็นที่ที่อยู่มานานแล้ว แต่เพราะกับมาพร้อมกับลู่เหิงจือ ทำให้ดูเหมือนมีอย่างบางเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมมาถึงห้องของหญิงชรา คนในบ้านต่างก็แต่งตัวมารอแต่แรกแล้วซูชิงลั่วเห็นหญิงชรา อดรู้สึกแสบจมูกจะร้องไห้ไม่ได้ โชคดีที่อดกลั้นไว้ได้ด้วยการเตือนของเยว่เออร์ นางจึงคุกเข่าลงคาราวะน้ำชาให้กับหญิงชราพร้อมกับลู่เหิงจือ หญิงชราขานรับด้วยความยินดีไม่หยุด ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะไปคาราวะนางเฉียนนางเฉียนดื่มชาจนหมดด้วยความปลื้มปริ่ม แล้วมอบกำไลหยกหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ ทั้งยังกำชับให้ลู่เหิงจือดีกับนางจากนั้นก็คาราวะนางเหอ แล้วเปลี่ยนมาเรียกนางว่าอาสะใภ้เหมือ
ซูชิงลั่วเดินหน้าแดงไปตลอดทางกลับเรือน สั่งให้จื๋อหยวนนำสินเดิมทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังทีละชิ้นจนครบ แล้วสั่งให้อวี้จู๋จัดห้องใหม่ ถึงอย่างไรต่อไปลู่เหิงจือก็จะต้องย้ายเข้ามาอยู่แล้วเวลานี้ในจวนลู่ไม่มีที่ว่าง เรือนของลู่เหิงจือแม้จะใหญ่กว่าเรือนของนาง แต่เขาต้องต้อนรับข้าราชการอยู่เป็นประจำ คุยเรื่องการบ้านการเมือง หากนางไปอยู่จะไม่สะดวกเท่าไหร่นักทั้งสองคนก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่ทนไปก่อน รอหนึ่งปีหลังจากนี้ที่พักหลังข้างๆ ซ่อมแซมเสร็จก็จะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันทีซูชิงลั่วเพิ่มโต๊ะเก้าอี้อีกชุดโดยเฉพาะ เพื่อจะได้สะดวกต่อลู่เหิงจือยามอ่านหนังสือ นึกขึ้นได้ว่ายามว่างลู่เหิงจือชอบนั่งเอนตัวบนเก้าอี้หวายอ่านหนังสือ นางก็สั่งให้คนหามาเพิ่มอีกตัวยุ่งวุ่นตลอดทั้งเช้า กระทั่งใกล้เที่ยง ซ่งเหวินก็มารายงานว่าลู่เหิงจือกำลังจะมารับนางไปกินมื้อเที่ยงกับนางเฉียนเวลานี้ทั้งสองเรือนต่างก็รกยุ่งเหยิงจนไม่สามารถกินข้าวได้ ที่นางเฉียนจึงเป็นทางเลือกที่ดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องแวะมารับนางโดยเฉพาะเรือนของนางและลู่เหิงจือกั้นด้วยสวนดอกไม้หนึ่งสวน หากเขามาก็ต้องเดินอ้อมสวนมาคงเพราะลู่เหิง
ลู่เหิงจือพูดนิ่งๆ : "ท่านแม่เกรงใจไปแล้ว"ซูชิงลั่วรีบตอบ : "กับข้าวเยอะเช่นนี้ขอไปทีที่ใดกัน ขอบคุณท่านแม่ที่ลำบากเตรียมอาหารให้พวกเรา"แม้ลู่เหิงจือจะเฉยชา แต่โชคดีที่ซูชิงลั่วเอาใจใส่และกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่าต่อไปความกระอักกระอ่วนระหว่างการกินอาหารร่วมกับลู่เหิงจือจะหายไปแล้ว นางเฉียนก็ยิ่งรู้สึกชอบในตัวซูชิงลั่วยิ่งขึ้น : "ยุ่งมาทั้งเช้า คงจะหิวแล้ว รีบชิมดูสิ"ซูชิงลั่วตอบตกลงทั้งสองคนนั่งลง แต่เดิมลู่เหิงจือไม่ค่อยพูดคุยกับนางเฉียนมากนัก ก่อนหน้าตอนที่มากินข้าวด้วยกันก็มักจะนางถามคำเขาตอบคำเสมอเขาเฉยชาจนเป็นนิสัย ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่กลับมองออกว่านางเฉียนไม่ค่อยเป็นตัวเอง ทั้งเกรงและกลัวเขา ทั้งยังคอยเอาอกเอาใจอีกเวลานี้มีซูชิงลั่ว ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับว่านางเข้ากับคนได้ง่ายมาตั้งแต่เกิด พูดจาอ่อนโยนและนุ่มนวล คอยรับส่งกับนางเฉียนคนละประโยค ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นกันเองโดยทั่วไปแล้วลู่เหิงจือไม่ชอบความวุ่นวายเสียงดัง ครั้งนี้กลับรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย เพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยไม่รู้ว่าเพราะทั้งสองคนคุยกันถูกคอมากไปหรือไม่ นางเฉียนจึงอดไม่ได้ที่
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหิงจือคีบอาหารให้นางซูชิงลั่วมองดูเนื้อแกะชุ่มฉ่ำที่วางอยู่ในถ้วยชิ้นนั้น ขานรับเบาๆ แล้วหยิบตะเกียวค่อยๆ คีบใส่ปากอย่างช้าๆกลิ่นหอมของเนื้อแกะอบอวลอยู่ที่ปลายจมูกเหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเนื้อแกะชิ้นนี้อร่อยกว่าที่ผ่านมานางเฉียนพลันยิ้มร่า ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างไม่บอกไม่ถูกลู่เหิงจือเคยพูดจาแสดงออกถึงความในใจที่แท้จริงของตนกับนางเมื่อใดกัน อีกทั้งในคำพูดก็ยังแฝงไว้ด้วยความปลอบใจระหว่างที่นางรู้สึกขอบคุณที่ได้สะใภ้ที่คู่ควรอย่างซูชิงลั่ว อีกด้านก็คีบเนื้อไก่ใส่ในถ้วยของซูชิลั่ว บอกให้นางกินเยอะๆ บำรุงร่รางกายให้ดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซูชิงลั่วมักรู้สึกตลอดว่ารอยยิ้มของนางเฉียนดูเหมือนจะมีนัยยะอื่นอยู่ด้วยหลังมื้ออาหารทั้งสองคนรีบไปจัดเก็บห้อง นางเฉียนก็ไม่ได้รั้งพวกเขาไว้เมื่อเดินออกไป ลู่เหิงจือก็จูงมือซูชิงลั่วพาเดินไปด้านนอกอย่างช้าๆแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิไม่แรงนัก ส่องลงมาบนตัวทำให้รู้สึกสบายซูชิงลั่วไม่กล้าเงยหน้า เพียงแต่ในใจเอาแต่คิดถึงประโยคที่เขาพูดเมื่อกี้ "ยามนี้ต่างไปจากที่ผ่านมา" ให้ความรู้สึกคลุมเครือไม่น้อยรู้สึกได้ว่าลู่เหิงจือใช้ปลายนิ
จื๋อหยวนประครองซูชิงลั่วไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนอวี้จู๋ส่งผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนให้กับลู่เหิงจือลู่เหิงจือพูดนิ่งๆ : "ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า ไปดูแลนายของเจ้าเถอะ"อวี้จู๋ขานรับด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะรีบไปช่วยจื๋อหยวนทั้งสองคนช่วยกันถอดปิ่นปักผมให้ซูชิงลั่ว ล้างหน้าและถอดเสื้อผ้า หลังจากนั้นซุปแก้เมาก็ยกเข้ามาพอดีลู่เหิงจือเองก็ถอดชุดออกจนเหลือเพียงแค่เสื้อซับชั้นใน เดินมาประครองซูชิงลั่วไปที่เตียง สั่งให้คนวางซุปไว้บนโต๊ะ : "พอแค่นี้แหละ ออกไปให้หมด ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเจ้าแล้ว"อวี้จู๋เพิ่งจะเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาเป็นครั้งแรกก็พลันหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนจื๋อหยวนแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้ง แต่ก็ทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่ สาวใช้สองคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบออกไปหลังจากออกไป จื๋อหยวนก็พูดปลอบอวี้จู๋ : "ทำใจให้ชินเข้าไว้ก็พอ"อวี้จู๋พยักหน้า : "หลายวันมานี้ท่านพี่อยู่ปรนนิบัติช่วงกลางคืนที่นู่นลำบากแล้ว วันนี้ข้าจะอยู่เฝ้าตอนดึกเอง"จื๋อหยวนอดนอนมาสองวันก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย จึงพยักหน้าแล้วตบบ่านางเบาๆ : "เช่นนั้นก็ตั้งใจทำงาน"คืนนี้ลู่เหิงจือเองก
ครึ่งแรกของค่ำคืนนี้จึงผ่านไปด้วยการเรียกของน้ำแบบถี่ๆ ของซูชิงลั่วโกลาหลวุ่นวายกันอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็เหนื่อยและผลอยหลับไปลู่เหิงจือจ้องมองอ่างน้ำทั้งสามใบพร้อมกับครุ่นคิดไม่นานนัก ก็เรียกคนมายกออกไปในท้ายที่สุด เพื่อเลี่ยงไม่ให้นางตื่นมาพรุ่งนี้แล้วจะรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าใครไม่รู้ว่าเพราะอวี้จู๋ตื่นเต้นหรืออย่างไร ระหว่างที่ยกอ่างสุดท้ายออกไป น้ำหกกระเซ็นออกมา พลันรีบคุกเข่าอ้อนวอนลู่เหิงจือเหนื่อยล้ามากแล้ว ไม่ได้มองนางเพียงแค่โบกมือบอกไปให้นางออกไปอวี้จู๋เงยหน้าขึ้นมามองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆลู่เหิงจือดึงม่านเตียงขึ้น ทันทีที่เข้าไปในผ้าห่ม ซูชิงลั่วก็หันมากอดเขาเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ร่างกายเกิดปฏิกิริยาตอบสนองโดยไม่รู้ตัวแต่ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นเอาไว้ ขืนขอน้ำเข้ามาอีกรอบ เกรงว่าวันพรุ่งจะกลายเป็นเรื่องขบขันไปได้ อีกทั้งเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แม้จะต้องการแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแล้วจริงๆยื่นแขนออกไปโอบซูชิงลั่วเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหลับตาลงแล้วหลับใหลไปอย่างรวดเร็วซูชิงลั่วฝันประหลาด ในฝันนางดื่มจนเมา แล้วยังถามลู่เหิงจืออย่าง
ถูกชี้ตัวขนาดนี้แล้ว ซูชิงลั่วทำได้เพียงแค่เผยตัวออกมาป้าคนใช้ทั้งสองคนไม่รู้ว่ามีคนอยู่ ทั้งยังเป็นคนที่กำลังเอ่ยถึง ทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วนทั้งเสียใจกับสิ่งที่ทำไป รีบคุกเข่าอ้อนวอนซูชิงลั่วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ บอกเป็นนัยๆ กับพวกนางว่าไม่เป็นไร ก่อนจะคลุมผ้าคลุมแล้วเดินตรงเข้าไปในครัวป้าทั้งสองมองดูแผ่นหลังของนางจากไป ก่อนจะหันมามองหน้ากัน หนึ่งในนั้นอดกระซิบขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ : "คุณหนูของพวกเราใจดีจริงๆ โชคดีที่เป็นนางมาเจอเข้า หากเป็นคนอื่นคงโดนด่าเป็นชุดแน่"อีกคนพูดเสริม : "นั่นสิ เพียงแต่คุณหนูของพวกเราดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใด""ทักษะของท่านสามยอดเยี่ยมไปเลย""เจ้ารีบหุบปากเถอะ..."ซูชิงลั่วไม่ได้ยินพวกนางทั้งสองคนคุยกัน แต่ก็อดถามจื๋อหยวนไม่ได้ : "เมื่อวานข้าเมาแล้วกลับมาได้อย่างไร"จื๋อหยวน : "ใต้เท้าประครองนายหญิงกลับมา"ซูชิงลั่วเดาออกแต่แรกอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ถามต่อ : "ข้าเมาแล้วไม่ได้ทำเรื่องประหลาดใช่หรือไม่"จื๋อหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยความลังเล : "ดูเหมือนจะไม่ได้ประหลาดมากนัก"ซูชิงลั่วพลันชะงักฝีเท้า : "สิ่งใดไม่ประหลาดมา