บะหมี่ไก่ฉีกนี้อร่อยมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกสั่งสอนมาด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดตั้งแต่เด็ก ซูชิงลั่วคงอดไม่ได้ที่จะยกชามขึ้นมาซดน้ำซุปให้หมดเกลี้ยงนางอดไม่ได้ที่จะชมว่า "นี่เป็นฝีมือของซ่งเหวินใช่ไหม? ข้าเคยกินที่วัดเซิ่งอัน ใช้ได้เลย"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเลื่อนชามบะหมี่ที่ยังไม่ได้แตะของตัวเองชามนั้นมาตรงหน้านางซูชิงลั่วมองเขา "ท่านไม่กินหรือ?""ข้าไม่หิว""ไม่ ไม่เป็นไร"แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลายหนลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก"ทำไมเขาถึงดูเหมือนอ่านใจนางได้เลยนะซูชิงลั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองต้นหอมสีเขียวเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในชาม และสูดดมกลิ่นหอมของเนื้อไก่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินชามที่สองลู่เหิงจือพูดถูกแล้ว ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมาก ไม่เช่นนั้นต้องพบเจอกันทุกวัน ต่อไปจะลำบากเปล่าๆที่จริงแล้วนางไม่ได้เป็นคนกินเยอะ และที่นางกินชามที่สองไม่ใช่เพราะหิว แต่เป็นเพราะรสชาติของบะหมี่นี้ทำให้นางนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ก
และในขณะนั้นเอง ซูชิงลั่วนึกขึ้นมาได้ว่า หากจะพูดกันตามความหมายอย่างเคร่งคัดแล้ว เมื่อคืนไม่ใช่คืนแรกที่นางและลู่เหิงจือได้ผ่านค่ำคืนไปด้วยกัน คืนแรกควรจะเป็นที่เรือนพักในชานเมืองครานั้นถึงจะถูกนางไม่มีความทรงจำเลยสักนิดว่าคืนนั้นผ่านไปเช่นไร เพราะเหนื่อยล้าจนผลอยหลับไปเองสิ่งเดียวที่รู้คือ นางเชื่อใจลู่เหิงจือคิดถึงตรงนี้ นางก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา : "ไม่เช่นนั้น ท่านนอนบนเตียงด้วยกันเถอะ"ลู่เหิงจือหันไปมองนางด้วยสายตาลึกล้ำคล้ายว่ากำลังไตร่ตรองสิ่งใดอยู่ซูชิงลั่วบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะรีบเสริมขึ้นมาอีกประโยค "หากพี่สามไม่รังเกียจ"ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจสตรี แม้แต่สาวรับใช้ก็ไม่มี อาจไม่คุ้นเคยกับการนอนร่วมเตียงกับสตรีก็เป็นได้ในขณะที่นางกำลังคิดว่าลู่เหิงจือคงต้องใช้เวลาไตร่ตรองอีกนานก็ได้ยินเขาตอบขึ้นมานิ่งๆ : "ก็ดี อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว"ซูชิงลั่วตะลังงันไปชั่วขณะเขาตอบตกลงเร็วเกินไป จนนางเองก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดหลังจากนั้นก็เห็นลู่เหิงจือหยิบผ้าห่มที่พับวางไว้บนเก้าอี้หวายใส่ลงไปในตะกร้าอย่างคล่องแคล่ว ก
หลังจากแต่งงานยามนี้ ทันทีที่ซูชิงลั่วได้ยินสี่พยางค์นี้ก็รู้สึกชาไปทั้งตัวนางเกือบลืมไปแล้วว่าบนเตียงนี่มีผ้าห่มเพียงผืนเดียวแผนแกล้งหลับล้มเหลว นางจึงจำต้องหันมาหาลู่เหิงจือ แล้วถามเบาๆ : "เช่นนั้น...หรือ"ในใจกลับสงสัยนางจำได้ลางๆ ว่าท่านแม่ของนางชอบเตะผ้าห่ม หน้าหนาวท่านพ่อกับท่านแม่ห่มผ้าห่มสองผืนแต่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว นางจำได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเป็นเพราะนางสวมเพียงแต่เสื้อซับในตัวเดียว ตอนที่หมุนตัวเผยให้ลำคอเพียงเล็กน้อย ราวกับกระต่ายน้อยโผล่หัวออกมาจากรูก็ไม่ปาน แก้มยังแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ ชวนให้คนเอ็นดูยิ่งนักลู่เหิงจือยืนยัน : "ใช่"สีหน้าของเขาเรียบเฉยแต่ซูชิงลั่วมักรู้สึกว่าสีหน้าที่เรียบเฉยของเขาแฝงไว้ด้วยความไม่เต็มใจอยู่จางๆราวกับกำลังหมายความว่าหากมีทางเลือก เขาก็ไม่อยากห่มผ้าห่มผืนเดียวกับผู้อื่นเช่นกันนางมองดูผ้านวมสีแดงที่พันอยู่บนตัวของตน แล้วดึงออกมาครึ่งหนึ่งให้กับลู่เหิงจือเขาไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปถอดเสื้อคลุมออกแขนของเขาน่าจะยังไม่หายดี เพราะระหว่างที่ถอดเสื้อท่าทางของแขนซ้ายยังดูเกร็งอยู่บ้างความรู้สึกผิดพลันผุดขึ้นในใจของซูชิงลั่ว
ซูชิงลั่วหลับสนิทตลอดทั้งคืน กลางดึกมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกหนาวอยู่บ้าง แต่ก็กลับมาอุ่นอย่างรวดเร็ว ราวกับอยู่ติดกับโถน้ำร้อนให้ความอุ่นก็ไม่ปานแต่โถน้ำร้อนนี่ดูเหมือนจะใหญ่ไปหน่อยบางส่วนก็ดูเหมือนจะมีตำหนิเล็กน้อยด้วยนางเอื้อมมือออกไปคลำ ทันใดนั้นเองก็ลูบโดนสิ่งยาวๆ...เส้นผม ?ซูชิงลั่วรีบลืมตาทันทีท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วใบหน้าที่ทั้งสะอาดสะอ้านและเครื่องหน้าชัดเจนของลู่เหิงจืออยู่ตรงหน้าดูเหมือนเขาจะยังไม่ตื่น ดวงตาคู่นั้นปิดอยู่ เส้นริ้วบางๆ เส้นหนึ่งติดทับอยู่บนเปลือกตา ด้านล่างเป็นแพขนตาที่ดกดำราวกับขนอีกาแขนของนางโอบเอวของเขาอยู่ ร่างทั้งร่างแทบจะซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ขาก็พันเกี่ยวอยู่บนตัวของเขานี่มันเรื่องอะไรกัน ซูชิงลั่วดึงแขนและขาออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจท่าทางกระโตกกระตากเกินไป ทำให้ลู่เหิงจือค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปที่นางซูชิงลั่วผละถอยหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตนตามสัญชาตญาณนางกำลังบังอะไรอยู่นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ลู่เหิงจือไม่ได้กอดนางด้วยซ้ำคงเป็นเพราะท่าทางเช่นนี้ของนางแสดงออกถึงการป้องกันตัวเองชัดเจนเกินไป ลู่เหิงจือหยุดนิ่งไปเล็กน้อย
ระหว่างแต่งตัว ซูชิงลั่วมีท่าทางเหม่อลอย เอาแต่คิดว่าเหตุใดตนจึงได้พูดว่า "หลังจากแต่งงาน" ออกไปคิดไปคิดมารู้สึกว่าคงเพราะแต่งงานวันแรก ลู่เหิงจือก็พูดไปหลายครั้ง ทำให้นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนเพิ่งจะเข้าวันที่สองของการใช้ชีวิตคู่ นางและลู่เหิงจือดูเหมือนจะสนิทสนมกันเกินไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเสียหายระหว่างที่ล้างหน้าล้างตา ไม่รู้ว่าลู่เหิงจือออกไปด้วยเหตุใดฝนกด้านนอกหน้าต่างหยุดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกหนาว ดูเหมือนความอบอุ่นที่คนผู้นั้นมอบให้ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้เวลานี้ฉู่หมัวมัวเข้ามาทำผมให้นางนางเป็นคนที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาอยู่เสมอ วันนี้กลับดูเข้มงวดจริงจังเล็กน้อยหลังจากที่ทำผมให้นางเสร็จแล้ว ฉู่หมัวมัวก็สั่งให้จื๋อหยวนออกไป แล้วถามนางเสียงเบา : "คุณหนูร่างกายเป็นเช่นไร ต้องการใช้ยาหรือไม่"ซูชิงลั่วตอบด้วยความเก้อเขิน : "ไม่ต้องหรอก ข้าสบายดี"เกือบลืมไปเลย ดูเหมือนท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางด้วยการร่วมหอลงเรือนกันน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ ถึงได้ต้องเตรียมยาไว้ด้วยนางเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดเตลิดออกน
เมื่อทางด้านของนางจัดการเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้วก็ไปดูลู่เหิงจือเทียบกันแล้ว เขามีของไม่น้อยที่ต้องนำไปด้วย แค่หนังสือก็สิบกว่าลังแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นซ่งเหวินขยันขันแข็ง ระหว่างเก็บของก็พึมพำไปด้วยอย่างอารมณ์ดี : "พอแต่งงานแล้วก็ไม่เหมือนเดิม ใต้เท้าจะย้ายไปอยู่จวนลู่ยาวๆ แล้วจริงด้วย"ที่นี่อยู่ใกล้กับวัง ไปราชสำนักสะดวก ก่อนหน้านี้ลู่เหิงจืออาศัยอยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่ภายในใจของซูชิงลั่วรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะต้องกาารให้นางได้อยู่ใกล้กับท่านยาย เขาก็ไม่ต้องลำบากตัวเองเช่นนี้นางมองดูลู่เหิงจือที่กำลังจัดหนังสือ ก่อนจะเดินเข้าไปถาม : "มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่"ลู่เหิงจือมองนางปราดหนึ่ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นวางหนังสือลงมาแล้วยื่นให้นาง ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจังเบาๆ : "นำนี่ไปซ่อนไว้ที่เจ้า"หนังสืออะไรเหตุใดถึงต้องซ่อนซูชิงลั่วก้มลงดู เห็นตัวหนังสือบนหน้าปกก็พลันหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันที“……”เช่นนั้นนี่คือหนังสือที่มีคนให้มาหรอกหรือแต่เหตุใดถึงได้วางไว้บนชั้นหนังสืออย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้...เวลานี้จะถามให้ละเอียดก็ไม่สะดวกซูชิงลั่วถือหน
ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ร่างทั้งร่างถูกห้อมล้อมด้วยด้วยอ้อมกอดอบอุ่น แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกของเขา เอวถูกเขาโอบ ฝามือหนาใหญ่ของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของนาง เป็นสัมผัสใกล้ชิดนางหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นจังหวะได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนล้าของเขา : "นอนเถอะ"จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขาเดิมทีนางคิดว่าคงนอนไม่หลับ ทว่าในความเป็นจริง ถูกร่างที่อบอุ่นโอบล้อมอยู่กลางค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่นานนักนางก็รู้สึกง่วง หลับตาลงอย่างสบายใจ และหลับสนิทในที่สุดไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกได้ถึงมือของชายหนุ่มกำลังดันที่บริเวณเอวของนางเบาๆนางยังคงอยากนอนต่อ จึงหลับตาอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ ทั้งยังแกว่งแขวนไปมาด้วยท่าทางรังเกียจ บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่ามารบกวน"ไปกันเถอะ วันนี้ต้องกลับเรือนเจ้าแล้ว"ได้ยินคำว่า "กลับเรือน" ซูชิงลั่วก็ได้สติขึ้นมาทันที เกือบจะคิดว่าตัวเองหลับลืมอีกแล้ว มองดูท้องฟ้า ยังเช้าอยู่ถึงได้โล่งใจไปเปราะหนึ่งความรังเกียจเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความขอบคุณทันที"ขอบคุณพี่สาม"
ลู่เหิงจือขานรับเบาๆ ก่อนจะลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถม้าออกแล้วเอื้อมมือไปประครองนางลงมาหน้าจวนลู่ เหล่าคนใช้สองแถวที่ยืนรอต่างก็ก้มหน้าไม่กล้ามองมากนักโชคดีที่ซูชิงลั่วพอจะมีประสบการณ์กับเรื่องที่เขาพยุงตนลงจากรถม้าแล้ว จึงจับมือเขาลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่นับว่าเป็นธรรมชาติได้อยู่ทั้งสองคนเดินเข้าประตูใหญ่พร้อมกัน ซูชิงลั่วก้มหน้าพลางดึงมือกลับมา ลู่เหิงจือเพียงแค่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งๆ ที่เป็นที่ที่อยู่มานานแล้ว แต่เพราะกับมาพร้อมกับลู่เหิงจือ ทำให้ดูเหมือนมีอย่างบางเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมมาถึงห้องของหญิงชรา คนในบ้านต่างก็แต่งตัวมารอแต่แรกแล้วซูชิงลั่วเห็นหญิงชรา อดรู้สึกแสบจมูกจะร้องไห้ไม่ได้ โชคดีที่อดกลั้นไว้ได้ด้วยการเตือนของเยว่เออร์ นางจึงคุกเข่าลงคาราวะน้ำชาให้กับหญิงชราพร้อมกับลู่เหิงจือ หญิงชราขานรับด้วยความยินดีไม่หยุด ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะไปคาราวะนางเฉียนนางเฉียนดื่มชาจนหมดด้วยความปลื้มปริ่ม แล้วมอบกำไลหยกหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ ทั้งยังกำชับให้ลู่เหิงจือดีกับนางจากนั้นก็คาราวะนางเหอ แล้วเปลี่ยนมาเรียกนางว่าอาสะใภ้เหมือ