หลังจากแต่งงานยามนี้ ทันทีที่ซูชิงลั่วได้ยินสี่พยางค์นี้ก็รู้สึกชาไปทั้งตัวนางเกือบลืมไปแล้วว่าบนเตียงนี่มีผ้าห่มเพียงผืนเดียวแผนแกล้งหลับล้มเหลว นางจึงจำต้องหันมาหาลู่เหิงจือ แล้วถามเบาๆ : "เช่นนั้น...หรือ"ในใจกลับสงสัยนางจำได้ลางๆ ว่าท่านแม่ของนางชอบเตะผ้าห่ม หน้าหนาวท่านพ่อกับท่านแม่ห่มผ้าห่มสองผืนแต่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว นางจำได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเป็นเพราะนางสวมเพียงแต่เสื้อซับในตัวเดียว ตอนที่หมุนตัวเผยให้ลำคอเพียงเล็กน้อย ราวกับกระต่ายน้อยโผล่หัวออกมาจากรูก็ไม่ปาน แก้มยังแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ ชวนให้คนเอ็นดูยิ่งนักลู่เหิงจือยืนยัน : "ใช่"สีหน้าของเขาเรียบเฉยแต่ซูชิงลั่วมักรู้สึกว่าสีหน้าที่เรียบเฉยของเขาแฝงไว้ด้วยความไม่เต็มใจอยู่จางๆราวกับกำลังหมายความว่าหากมีทางเลือก เขาก็ไม่อยากห่มผ้าห่มผืนเดียวกับผู้อื่นเช่นกันนางมองดูผ้านวมสีแดงที่พันอยู่บนตัวของตน แล้วดึงออกมาครึ่งหนึ่งให้กับลู่เหิงจือเขาไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปถอดเสื้อคลุมออกแขนของเขาน่าจะยังไม่หายดี เพราะระหว่างที่ถอดเสื้อท่าทางของแขนซ้ายยังดูเกร็งอยู่บ้างความรู้สึกผิดพลันผุดขึ้นในใจของซูชิงลั่ว
ซูชิงลั่วหลับสนิทตลอดทั้งคืน กลางดึกมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกหนาวอยู่บ้าง แต่ก็กลับมาอุ่นอย่างรวดเร็ว ราวกับอยู่ติดกับโถน้ำร้อนให้ความอุ่นก็ไม่ปานแต่โถน้ำร้อนนี่ดูเหมือนจะใหญ่ไปหน่อยบางส่วนก็ดูเหมือนจะมีตำหนิเล็กน้อยด้วยนางเอื้อมมือออกไปคลำ ทันใดนั้นเองก็ลูบโดนสิ่งยาวๆ...เส้นผม ?ซูชิงลั่วรีบลืมตาทันทีท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วใบหน้าที่ทั้งสะอาดสะอ้านและเครื่องหน้าชัดเจนของลู่เหิงจืออยู่ตรงหน้าดูเหมือนเขาจะยังไม่ตื่น ดวงตาคู่นั้นปิดอยู่ เส้นริ้วบางๆ เส้นหนึ่งติดทับอยู่บนเปลือกตา ด้านล่างเป็นแพขนตาที่ดกดำราวกับขนอีกาแขนของนางโอบเอวของเขาอยู่ ร่างทั้งร่างแทบจะซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ขาก็พันเกี่ยวอยู่บนตัวของเขานี่มันเรื่องอะไรกัน ซูชิงลั่วดึงแขนและขาออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจท่าทางกระโตกกระตากเกินไป ทำให้ลู่เหิงจือค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปที่นางซูชิงลั่วผละถอยหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตนตามสัญชาตญาณนางกำลังบังอะไรอยู่นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ลู่เหิงจือไม่ได้กอดนางด้วยซ้ำคงเป็นเพราะท่าทางเช่นนี้ของนางแสดงออกถึงการป้องกันตัวเองชัดเจนเกินไป ลู่เหิงจือหยุดนิ่งไปเล็กน้อย
ระหว่างแต่งตัว ซูชิงลั่วมีท่าทางเหม่อลอย เอาแต่คิดว่าเหตุใดตนจึงได้พูดว่า "หลังจากแต่งงาน" ออกไปคิดไปคิดมารู้สึกว่าคงเพราะแต่งงานวันแรก ลู่เหิงจือก็พูดไปหลายครั้ง ทำให้นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนเพิ่งจะเข้าวันที่สองของการใช้ชีวิตคู่ นางและลู่เหิงจือดูเหมือนจะสนิทสนมกันเกินไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเสียหายระหว่างที่ล้างหน้าล้างตา ไม่รู้ว่าลู่เหิงจือออกไปด้วยเหตุใดฝนกด้านนอกหน้าต่างหยุดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกหนาว ดูเหมือนความอบอุ่นที่คนผู้นั้นมอบให้ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้เวลานี้ฉู่หมัวมัวเข้ามาทำผมให้นางนางเป็นคนที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาอยู่เสมอ วันนี้กลับดูเข้มงวดจริงจังเล็กน้อยหลังจากที่ทำผมให้นางเสร็จแล้ว ฉู่หมัวมัวก็สั่งให้จื๋อหยวนออกไป แล้วถามนางเสียงเบา : "คุณหนูร่างกายเป็นเช่นไร ต้องการใช้ยาหรือไม่"ซูชิงลั่วตอบด้วยความเก้อเขิน : "ไม่ต้องหรอก ข้าสบายดี"เกือบลืมไปเลย ดูเหมือนท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางด้วยการร่วมหอลงเรือนกันน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ ถึงได้ต้องเตรียมยาไว้ด้วยนางเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดเตลิดออกน
เมื่อทางด้านของนางจัดการเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้วก็ไปดูลู่เหิงจือเทียบกันแล้ว เขามีของไม่น้อยที่ต้องนำไปด้วย แค่หนังสือก็สิบกว่าลังแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นซ่งเหวินขยันขันแข็ง ระหว่างเก็บของก็พึมพำไปด้วยอย่างอารมณ์ดี : "พอแต่งงานแล้วก็ไม่เหมือนเดิม ใต้เท้าจะย้ายไปอยู่จวนลู่ยาวๆ แล้วจริงด้วย"ที่นี่อยู่ใกล้กับวัง ไปราชสำนักสะดวก ก่อนหน้านี้ลู่เหิงจืออาศัยอยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่ภายในใจของซูชิงลั่วรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะต้องกาารให้นางได้อยู่ใกล้กับท่านยาย เขาก็ไม่ต้องลำบากตัวเองเช่นนี้นางมองดูลู่เหิงจือที่กำลังจัดหนังสือ ก่อนจะเดินเข้าไปถาม : "มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่"ลู่เหิงจือมองนางปราดหนึ่ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นวางหนังสือลงมาแล้วยื่นให้นาง ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจังเบาๆ : "นำนี่ไปซ่อนไว้ที่เจ้า"หนังสืออะไรเหตุใดถึงต้องซ่อนซูชิงลั่วก้มลงดู เห็นตัวหนังสือบนหน้าปกก็พลันหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันที“……”เช่นนั้นนี่คือหนังสือที่มีคนให้มาหรอกหรือแต่เหตุใดถึงได้วางไว้บนชั้นหนังสืออย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้...เวลานี้จะถามให้ละเอียดก็ไม่สะดวกซูชิงลั่วถือหน
ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ร่างทั้งร่างถูกห้อมล้อมด้วยด้วยอ้อมกอดอบอุ่น แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกของเขา เอวถูกเขาโอบ ฝามือหนาใหญ่ของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของนาง เป็นสัมผัสใกล้ชิดนางหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นจังหวะได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนล้าของเขา : "นอนเถอะ"จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขาเดิมทีนางคิดว่าคงนอนไม่หลับ ทว่าในความเป็นจริง ถูกร่างที่อบอุ่นโอบล้อมอยู่กลางค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่นานนักนางก็รู้สึกง่วง หลับตาลงอย่างสบายใจ และหลับสนิทในที่สุดไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกได้ถึงมือของชายหนุ่มกำลังดันที่บริเวณเอวของนางเบาๆนางยังคงอยากนอนต่อ จึงหลับตาอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ ทั้งยังแกว่งแขวนไปมาด้วยท่าทางรังเกียจ บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่ามารบกวน"ไปกันเถอะ วันนี้ต้องกลับเรือนเจ้าแล้ว"ได้ยินคำว่า "กลับเรือน" ซูชิงลั่วก็ได้สติขึ้นมาทันที เกือบจะคิดว่าตัวเองหลับลืมอีกแล้ว มองดูท้องฟ้า ยังเช้าอยู่ถึงได้โล่งใจไปเปราะหนึ่งความรังเกียจเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความขอบคุณทันที"ขอบคุณพี่สาม"
ลู่เหิงจือขานรับเบาๆ ก่อนจะลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถม้าออกแล้วเอื้อมมือไปประครองนางลงมาหน้าจวนลู่ เหล่าคนใช้สองแถวที่ยืนรอต่างก็ก้มหน้าไม่กล้ามองมากนักโชคดีที่ซูชิงลั่วพอจะมีประสบการณ์กับเรื่องที่เขาพยุงตนลงจากรถม้าแล้ว จึงจับมือเขาลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่นับว่าเป็นธรรมชาติได้อยู่ทั้งสองคนเดินเข้าประตูใหญ่พร้อมกัน ซูชิงลั่วก้มหน้าพลางดึงมือกลับมา ลู่เหิงจือเพียงแค่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งๆ ที่เป็นที่ที่อยู่มานานแล้ว แต่เพราะกับมาพร้อมกับลู่เหิงจือ ทำให้ดูเหมือนมีอย่างบางเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมมาถึงห้องของหญิงชรา คนในบ้านต่างก็แต่งตัวมารอแต่แรกแล้วซูชิงลั่วเห็นหญิงชรา อดรู้สึกแสบจมูกจะร้องไห้ไม่ได้ โชคดีที่อดกลั้นไว้ได้ด้วยการเตือนของเยว่เออร์ นางจึงคุกเข่าลงคาราวะน้ำชาให้กับหญิงชราพร้อมกับลู่เหิงจือ หญิงชราขานรับด้วยความยินดีไม่หยุด ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะไปคาราวะนางเฉียนนางเฉียนดื่มชาจนหมดด้วยความปลื้มปริ่ม แล้วมอบกำไลหยกหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ ทั้งยังกำชับให้ลู่เหิงจือดีกับนางจากนั้นก็คาราวะนางเหอ แล้วเปลี่ยนมาเรียกนางว่าอาสะใภ้เหมือ
ซูชิงลั่วเดินหน้าแดงไปตลอดทางกลับเรือน สั่งให้จื๋อหยวนนำสินเดิมทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังทีละชิ้นจนครบ แล้วสั่งให้อวี้จู๋จัดห้องใหม่ ถึงอย่างไรต่อไปลู่เหิงจือก็จะต้องย้ายเข้ามาอยู่แล้วเวลานี้ในจวนลู่ไม่มีที่ว่าง เรือนของลู่เหิงจือแม้จะใหญ่กว่าเรือนของนาง แต่เขาต้องต้อนรับข้าราชการอยู่เป็นประจำ คุยเรื่องการบ้านการเมือง หากนางไปอยู่จะไม่สะดวกเท่าไหร่นักทั้งสองคนก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่ทนไปก่อน รอหนึ่งปีหลังจากนี้ที่พักหลังข้างๆ ซ่อมแซมเสร็จก็จะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันทีซูชิงลั่วเพิ่มโต๊ะเก้าอี้อีกชุดโดยเฉพาะ เพื่อจะได้สะดวกต่อลู่เหิงจือยามอ่านหนังสือ นึกขึ้นได้ว่ายามว่างลู่เหิงจือชอบนั่งเอนตัวบนเก้าอี้หวายอ่านหนังสือ นางก็สั่งให้คนหามาเพิ่มอีกตัวยุ่งวุ่นตลอดทั้งเช้า กระทั่งใกล้เที่ยง ซ่งเหวินก็มารายงานว่าลู่เหิงจือกำลังจะมารับนางไปกินมื้อเที่ยงกับนางเฉียนเวลานี้ทั้งสองเรือนต่างก็รกยุ่งเหยิงจนไม่สามารถกินข้าวได้ ที่นางเฉียนจึงเป็นทางเลือกที่ดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องแวะมารับนางโดยเฉพาะเรือนของนางและลู่เหิงจือกั้นด้วยสวนดอกไม้หนึ่งสวน หากเขามาก็ต้องเดินอ้อมสวนมาคงเพราะลู่เหิง
ลู่เหิงจือพูดนิ่งๆ : "ท่านแม่เกรงใจไปแล้ว"ซูชิงลั่วรีบตอบ : "กับข้าวเยอะเช่นนี้ขอไปทีที่ใดกัน ขอบคุณท่านแม่ที่ลำบากเตรียมอาหารให้พวกเรา"แม้ลู่เหิงจือจะเฉยชา แต่โชคดีที่ซูชิงลั่วเอาใจใส่และกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่าต่อไปความกระอักกระอ่วนระหว่างการกินอาหารร่วมกับลู่เหิงจือจะหายไปแล้ว นางเฉียนก็ยิ่งรู้สึกชอบในตัวซูชิงลั่วยิ่งขึ้น : "ยุ่งมาทั้งเช้า คงจะหิวแล้ว รีบชิมดูสิ"ซูชิงลั่วตอบตกลงทั้งสองคนนั่งลง แต่เดิมลู่เหิงจือไม่ค่อยพูดคุยกับนางเฉียนมากนัก ก่อนหน้าตอนที่มากินข้าวด้วยกันก็มักจะนางถามคำเขาตอบคำเสมอเขาเฉยชาจนเป็นนิสัย ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่กลับมองออกว่านางเฉียนไม่ค่อยเป็นตัวเอง ทั้งเกรงและกลัวเขา ทั้งยังคอยเอาอกเอาใจอีกเวลานี้มีซูชิงลั่ว ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับว่านางเข้ากับคนได้ง่ายมาตั้งแต่เกิด พูดจาอ่อนโยนและนุ่มนวล คอยรับส่งกับนางเฉียนคนละประโยค ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นกันเองโดยทั่วไปแล้วลู่เหิงจือไม่ชอบความวุ่นวายเสียงดัง ครั้งนี้กลับรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย เพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยไม่รู้ว่าเพราะทั้งสองคนคุยกันถูกคอมากไปหรือไม่ นางเฉียนจึงอดไม่ได้ที่