ชิงซวงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่งอย่างน้อยลู่เหิงจือก็จำนางได้แล้ว และยังชี้แนะถึงปิ่นปักผมของนางอีกด้วยหางเต๋อโย่วรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่า เขารู้สึกว่าค่ำคืนนี้เขาจะเอาอกเอาใจอัครมหาเสนาบดีผู้มีอำนาจคับฟ้าของราชสำนักได้สำเร็จ จึงส่งสายตาให้ชิงซวงยืนรออยู่ข้างๆลู่เหิงจือก็ไม่ได้พูดอะไรนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธหลังจากดื่มอีกหลายรอบ ลู่เหิงจือก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับหางเต๋อโย่วรีบตามไปถามว่า "ยามนี้ดึกมากแล้ว ใต้เท้าพักที่จวนข้าก่อนก็ได้"สายตาของเขาฉายแววฉลาดและเจ้าเล่ห์ลู่เหิงจือลุกขึ้นตอบว่า "ไม่แล้ว"หากอยากให้พวกเขาลดความระแวงลงบ้าง เขาคงไม่ถึงขั้นต้องอยู่ที่นี่นานเพียงนี้เขาลุกขึ้น ขยี้ตาเบาๆ หางเต๋อโย่วเดินตามหลังเข่า "ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยขออาสาไปส่งท่าน""ไม่จำเป็น""อย่างนั้นจะได้อย่างไร" หางเต๋อโย่วพูดด้วยความเคารพอย่างยิ่ง "ถ้าอย่างนั้น ให้แม่นางชิงซวงไปส่งใต้เท้าดีหรือไม่"ลู่เหิงจือรีบร้อนที่จะสลัดเขาทิ้ง จึงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปชิงซวงรีบเดินตามเขาออกไปข้างนอกเขาตัวหอมมาก ราวกับกลิ่นของกิ่งสนที่แผดเผาในหิมะ*บนฟากฟ้ามีพ
แม้แววตาของเขาจะดูนิ่งเฉย แต่สายตาที่มองนางกลับแฝงความหมายว่า "เจ้าเป็นนางโลมก็ยังคิดว่าเป็นสตรีธรรมดาอีกหรือ"ชิงซวงชักสีหน้าตอบว่า "ครอบครัวข้ายากจน ข้าจึงถูกบังคับให้มาอยู่ในที่เช่นนี้ ข้าไม่เคยคิดว่าตนต่ำต้อย"เมืองหางโจวแห่งนี้ บรรดาขุนนางผู้มีอำนาจจำนวนมากล้วนหลงเชื่อนางลู่เหิงจือจ้องมองนางอย่างทะลุทะลวง"ถูกบังคับให้มาอยู่ในที่เช่นนี้มิใช่เรื่องน่าอับอาย แต่สิ่งที่น่าอับอายคือการกระทำของเจ้าในยามนี้""กลิ่นหอมจากถุงหอมของเจ้า ข้าได้กลิ่นมานานแล้ว เจ้าคิดว่ากลิ่นหอมของเมืองหางโจวจะเทียบกับกลิ่นหอมจากวังหลวงได้อย่างนั้นหรือ""ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอย่าได้คิดว่าตนจะงดงามกว่าฮูหยินของข้า เพราะสิ่งที่เจ้าภาคภูมิใจอยู่นั้น เทียบไม่ติดแม้แต่เศษเสี้ยวของฮูหยินข้า"สีหน้าของชิงซวงซีดเผือกเขาพูดเสียงเย็นชาด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า "อย่างเจ้าก็เทียบกับฮูหยินข้าได้อย่างนั้นหรือ"ลู่เหิงจือไม่ใช่คนพูดมาก แต่ค่ำคืนนี้ดื่มสุราไปมากพอสมควร และเขาอดฟังคนอื่นหยามเกียรติซูชิงลั่วไม่ได้ จึงพูดต่ออีกหลายประโยคหลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่คู่ควรที่จะได้รับการตำหนิจากเขา จึงหั
ค่ำคืนนี้ลมไม่แรง นั่งบนหลังม้าซบอยู่ในอ้อมกอดของลู่เหิงจือก็ไม่รู้สึกหนาว เพราะพ้นจากตรอกหน้าประตูจวนไปแล้ว เขาก็ขี่ช้าลงราวกับจะพานางมารับชมแสงจันทราของเมืองหางโจวซูชิงลั่วพิงอยู่บนอกของเขา มุมปากของนางยิ้มไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นางคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็อดถามไม่ได้ว่า "ทำไมท่านถึงพูดว่าปิ่นปักผมอันนั้นไม่คู่ควรกับนางเล่า ท่านยังมีอารมณ์ที่จะมาวิจารณ์ปิ่นปักผมของหญิงอื่นอีกหรือ"นี่เป็นเพียงจุดเดียวที่น่าจับผิดของค่ำคืนนี้นางคิดว่าบางทีคนอย่างลู่เหิงจือที่อยู่ในตำแหน่งสูง คงต้องทำเป็นสนิทสนมกับคนอื่นบ้างเป็นธรรมดาลู่เหิงจือวางมือบนเอวอันอ่อนนุ่มนิ่มของนาง และเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา "นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากเห็นคนอื่นใส่ปิ่นปักผมไข่มุก"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที - ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองนางอดใบหน้าแดงก่ำไม่ได้ แล้วก็เอ่ยถามความในใจด้วยความหวานปานน้ำผึังว่า "แล้วที่ท่านพูดเมื่อครู่ว่าสิ่งที่นางภาคภูมิใจก็เทียบข้า ไม่ได้ หมายความอะไรหรือ"ลู่เหิงจือเสียงแหบแห้ง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”ซูชิงลั่วเมื่อครู่ไม่ได้คิดไปทางนั้น พอเขาพูด นางก็รู้ตัวทันที ทั้ง
ค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าเขาเอ่ยคำพูดน่าอับอายกับนางไปเท่าใด ถูกเขาพาขึ้นสวรรค์ ถูกเขาดึงให้จมลงไปในกองเมฆอันอ่อนนุ่ม ราวกับกำลังจมน้ำ หายใจไม่ออก......สุดท้ายก็กอดแขนเขาหลับสนิท แม้แต่ในฝันก็ยังถูกเขาข่มเหงทว่าในฝันดูเหมือนนางจะยินยอมให้ข่มเหงวันรุ่งขึ้น นางถูกเสียงและการเคลื่อนไหวของลู่เหิงจือที่ลุกขึ้นทำให้ตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นลู่เหิงจือสวมเสื้อผ้าผูกเข็มขัด เดินกลับมาที่เตียง ก้มลงมาจูบนางเบาๆ แล้วพูดว่า "จื๋อหยวนรออยู่ข้างนอก เจ้านอนต่อได้เลย"ซูชิงลั่วรู้สึกง่วงจึงหลับตาลงและพยักหน้าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงบ่าวถามด้วยความกระตือรือร้นอยู่หน้าประตูว่า “แม่นางชอบกินอะไร ทางร้านทำเสร็จแล้วจะยกมาส่งโดยไม่คิดเงิน”จื๋อหยวนตอบเสียงเรียบว่าไม่เป็นไรบ่าวหัวเราะคิกคักและถามว่า "แม่นางท่านนี้เป็นคนของที่ใดหรือ"ซูชิงลั่วมึนงงไปชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพอสมควร นางถึงรู้ว่าบ่าวเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นนางโลมของหอใดสักแห่งก็จริง ใครจะพาฮูหยินของตนเองมาที่โรงเตี๊ยมยามวิกาลกันเล่ายิ่งไปกว่านั้น ในเมืองหางโจวก็รู้กันทั่วว่าฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีใบหน้าอัปลักษ
เมฆครึ้มดำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลังลงโทษประหารลี่หลุน สำนักราชการเมืองหังโจวพลันดูจริงจังหนักแน่นขึ้นทันทีทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือบรรยากศภายในเมืองหังโจวกลับคึกคักกว่าเดิมมาก การค้าขายทำได้ง่าย ไม่มีการฉ้อโกงหลอกลวงเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายวันนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันชื่นชมอัครมหาเสนาบดีที่มาใหม่ผู้นี้กันปากต่อปากว่าเอาใจใส่ราษฎร มีสง่าราศีและห้าวหาญแม้แต่คำว่า "ผู้มักมากในกาม" ที่ตอนแรกใครๆ ก็เรียกกัน กลับเปลี่ยนเป็น "ใต้เท้าก็แค่เที่ยวเล่นสนุก ไม่มีสิ่งใดผิด ผู้ชายก็ต้องสนใจเรื่องเล่นสนุกทั้งนั้น"นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่แอบวิจารณ์กันว่าลี่หลูผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มังกรมิอาจสยบงูเจ้าถิ่นได้ ดีไม่ดีอัครมหาเสนาบดีผู้นี้อาจมีอันตรายถึงชีวิตข่าวลือรู้ไปถึงหูซูชิงลั่ว นางจึงเริ่มอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงอย่างไรลี่หลูก็มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาตกดึก ลู่เหิงจือกลับมา นางก็อดถามไม่ได้ว่าเขาจะมีอัตรายหรือไม่ เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่าไม่เป็นไร นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกวันรุ่งขึ้น เหยาชั่วมาหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเรือนที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในหังโจวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังเป็นกลาง
ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว : "ประโยคนี้เจ้ากลับได้ยินชัดเจนยิ่งนัก""ท่านพูดเสียงดังเองต่างหาก" สีหน้าของนางดูน้อยใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือยื่นมือออกไปเกี่ยวปลายคางนาง บังคับให้นางหันมาสบตาเขา ก่อนจะขำออกมาเบาๆ : "ข้าแค่พูดให้เหยาชั่วโมโหเท่านั้น เจ้าเขื่อจริงหรือ ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปแต่งกับผู้อื่นได้เช่นไร"ซูชิงลั่วกัดริมฝีปากเบาๆ มองเขาด้วยความจริงจัง : "ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีก พูดเล่นก็ไม่ได้"ลู่เหิงจือพยักหน้า : "ข้าฟังน้องหญิง"ซูชิงลั่วซบอกเขา พลางพูดเสียงเบา : "ท่านจะไม่ตาย ข้าก็จะไม่แต่งกับผู้อื่น พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต"ประโยคนี้มีพลังเย้ายวนสูงมากหัวใจที่นิ่งสงบเข้าลู่เหิงจือสั่นรัว อุ้มนางขึ้นมาแล้วกดลงไปบนเตียงก่อนจะบรรจงจูบเบาๆ"ชิงลั่ว...""อืม"จูบกระหน่ำลงไปบนเรือนร่าง ทำให้นางสติกระเจิงความคิดฟุ้งซ่านอีกทั้งน้ำเสียงของเขาในเวลานี้"มีลูกให้ข้าสักคนเถอะนะ ได้ไหม"หลังจากที่พูดออกมา แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยังประหลาดใจเล็กน้อยความรักทำให้คนตาบอดเช่นนั้นหรือ แม้แต่เขาเองก็พูดประโยคเช่นนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัวเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าจะทำให้นางตกใจหรือ
ลู่เหิงจืออมยิ้มพลางชี้ไปยังแก้วชาของตน ซึ่งหมายความว่าให้ซูชิงลั่วเข้ามาเติมน้ำอยู่ต่อหน้าคนนอกถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาซูชิงลั่วเข้าไปเติมชาให้เขา ก่อนจะหันไปเตรียมจะรินน้ำชาให้เหยาชั่ว ทว่ากลับได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นมานิ่งๆ : "ของเขาไม่ต้อง"เหยาชั่วชะงัก : "เหตุใดข้าจึงไม่ต้อง"ลู่เหิงจือค่อยๆ จิบน้ำชา : "เวลาครึ่งวันคิด ได้แค่ความคิดเช่นนั้นความคิดเดียว เปลืองน้ำชา ข้าไม่เลี้ยงคนว่างงาน"เหยาชั่ว : "..."ซูชิงลั่วกระพริบตาปริบๆ มองไปยังลู่เหิงจือ : "แต่ข้าคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว"พูดจบก็หันไปรินน้ำชาให้เหยาชั่วเหยาชั่วอดไม่ไหว หลุดหัวเราะดังลั่น : "นายหญิงสายตาแหลมคมเสียจริง"ลู่เหิงจือหรี่ตาทั้งสองข้างพร้อมกับวางแก้วน้ำชาลง แล้วมองไปที่ซูชิงลั่วแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า "คอยดูว่าเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร"ซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ วางแก้วน้ำชาลงแล้วเดินออกไปทันทีที่นางออกไป ลู่เหิงจือก็เริ่มมีท่าทีเหม่อลอย ในมือลูบแหวนหยกเล่นไปมา ได้ยินเหยาชั่วพูดน้ำไหลไฟดับเรื่องแผนการตรวจสอบภาษีในขั้นตอนต่อไป เขาก็ไม่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวากระทั่งเหยาชั่วเอ่ยถ
นางสั่นไปทั้งตัว ทว่าขาทั้งสองข้างกลับถูกเขากดไว้แน่น"ต้องการให้ข้าขอร้องเช่นไร""เช่นนี้พอหรือไม่"“……”ซูชิงลั่วพูดติดๆ ขัดๆ ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกนางกัดฟันกรอด : "เช่นนี้ เช่นนี้คือการขอร้องหรือเจ้าคะ""จะไม่ใช่ได้อย่างไร" ดวงตาของลู่เหิงจือลุ่มลึก ส่วนมือก็ยื่นเข้าไป จงใจเคลื่อนไหวไปมาเบาๆ "ข้าชอบขอร้องคนเช่นนี้"“……”ค่ำคืนนี้ ซูชิงลั่วได้สัมผัสจากหลายๆ ด้านแล้วว่าสิ่งใดคือการขอร้องกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นเสียงแมวร้องอีก นางจึงไม่กล้าส่งเสียงนัก สุดท้ายก็ซุกหน้าของตนไว้ในผ้าห่ม จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนของลู่เหิงจือ"ขอร้องเจ้าล่ะ ร้องออกมาสิ"นางสาบานว่าจะไม่มีทางอยากรู้อีกแล้วว่าเขาขอร้องเช่นไรเช้าวันรุ่งขึ้น สีหน้าของนางดูหมดอาลัยตายอยากลู่เหิงจือตื่นขึ้นมาด้วยความกระชุ่มกระชวย หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอื้อมมือมาตีแก้มนางเบาๆ : "น้องหญิงอย่าลืมลดราคา"ซูชิงลั่วถลึงตาใส่เขา...ผู้ชายต่ำช้า ร้ายกาจเสียจริงลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "หรือน้องหญิงต้องการให้ข้าขอร้องเจ้าอีกครั้งคืนนี้"แทงใจดำเหลือเกินซูชิงลั่วพลันหลับตาปี๋ :