เมฆครึ้มดำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลังลงโทษประหารลี่หลุน สำนักราชการเมืองหังโจวพลันดูจริงจังหนักแน่นขึ้นทันทีทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือบรรยากศภายในเมืองหังโจวกลับคึกคักกว่าเดิมมาก การค้าขายทำได้ง่าย ไม่มีการฉ้อโกงหลอกลวงเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายวันนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันชื่นชมอัครมหาเสนาบดีที่มาใหม่ผู้นี้กันปากต่อปากว่าเอาใจใส่ราษฎร มีสง่าราศีและห้าวหาญแม้แต่คำว่า "ผู้มักมากในกาม" ที่ตอนแรกใครๆ ก็เรียกกัน กลับเปลี่ยนเป็น "ใต้เท้าก็แค่เที่ยวเล่นสนุก ไม่มีสิ่งใดผิด ผู้ชายก็ต้องสนใจเรื่องเล่นสนุกทั้งนั้น"นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่แอบวิจารณ์กันว่าลี่หลูผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มังกรมิอาจสยบงูเจ้าถิ่นได้ ดีไม่ดีอัครมหาเสนาบดีผู้นี้อาจมีอันตรายถึงชีวิตข่าวลือรู้ไปถึงหูซูชิงลั่ว นางจึงเริ่มอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงอย่างไรลี่หลูก็มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาตกดึก ลู่เหิงจือกลับมา นางก็อดถามไม่ได้ว่าเขาจะมีอัตรายหรือไม่ เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่าไม่เป็นไร นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกวันรุ่งขึ้น เหยาชั่วมาหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเรือนที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในหังโจวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังเป็นกลาง
ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว : "ประโยคนี้เจ้ากลับได้ยินชัดเจนยิ่งนัก""ท่านพูดเสียงดังเองต่างหาก" สีหน้าของนางดูน้อยใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือยื่นมือออกไปเกี่ยวปลายคางนาง บังคับให้นางหันมาสบตาเขา ก่อนจะขำออกมาเบาๆ : "ข้าแค่พูดให้เหยาชั่วโมโหเท่านั้น เจ้าเขื่อจริงหรือ ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปแต่งกับผู้อื่นได้เช่นไร"ซูชิงลั่วกัดริมฝีปากเบาๆ มองเขาด้วยความจริงจัง : "ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีก พูดเล่นก็ไม่ได้"ลู่เหิงจือพยักหน้า : "ข้าฟังน้องหญิง"ซูชิงลั่วซบอกเขา พลางพูดเสียงเบา : "ท่านจะไม่ตาย ข้าก็จะไม่แต่งกับผู้อื่น พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต"ประโยคนี้มีพลังเย้ายวนสูงมากหัวใจที่นิ่งสงบเข้าลู่เหิงจือสั่นรัว อุ้มนางขึ้นมาแล้วกดลงไปบนเตียงก่อนจะบรรจงจูบเบาๆ"ชิงลั่ว...""อืม"จูบกระหน่ำลงไปบนเรือนร่าง ทำให้นางสติกระเจิงความคิดฟุ้งซ่านอีกทั้งน้ำเสียงของเขาในเวลานี้"มีลูกให้ข้าสักคนเถอะนะ ได้ไหม"หลังจากที่พูดออกมา แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยังประหลาดใจเล็กน้อยความรักทำให้คนตาบอดเช่นนั้นหรือ แม้แต่เขาเองก็พูดประโยคเช่นนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัวเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าจะทำให้นางตกใจหรือ
ลู่เหิงจืออมยิ้มพลางชี้ไปยังแก้วชาของตน ซึ่งหมายความว่าให้ซูชิงลั่วเข้ามาเติมน้ำอยู่ต่อหน้าคนนอกถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาซูชิงลั่วเข้าไปเติมชาให้เขา ก่อนจะหันไปเตรียมจะรินน้ำชาให้เหยาชั่ว ทว่ากลับได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นมานิ่งๆ : "ของเขาไม่ต้อง"เหยาชั่วชะงัก : "เหตุใดข้าจึงไม่ต้อง"ลู่เหิงจือค่อยๆ จิบน้ำชา : "เวลาครึ่งวันคิด ได้แค่ความคิดเช่นนั้นความคิดเดียว เปลืองน้ำชา ข้าไม่เลี้ยงคนว่างงาน"เหยาชั่ว : "..."ซูชิงลั่วกระพริบตาปริบๆ มองไปยังลู่เหิงจือ : "แต่ข้าคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว"พูดจบก็หันไปรินน้ำชาให้เหยาชั่วเหยาชั่วอดไม่ไหว หลุดหัวเราะดังลั่น : "นายหญิงสายตาแหลมคมเสียจริง"ลู่เหิงจือหรี่ตาทั้งสองข้างพร้อมกับวางแก้วน้ำชาลง แล้วมองไปที่ซูชิงลั่วแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า "คอยดูว่าเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร"ซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ วางแก้วน้ำชาลงแล้วเดินออกไปทันทีที่นางออกไป ลู่เหิงจือก็เริ่มมีท่าทีเหม่อลอย ในมือลูบแหวนหยกเล่นไปมา ได้ยินเหยาชั่วพูดน้ำไหลไฟดับเรื่องแผนการตรวจสอบภาษีในขั้นตอนต่อไป เขาก็ไม่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวากระทั่งเหยาชั่วเอ่ยถ
นางสั่นไปทั้งตัว ทว่าขาทั้งสองข้างกลับถูกเขากดไว้แน่น"ต้องการให้ข้าขอร้องเช่นไร""เช่นนี้พอหรือไม่"“……”ซูชิงลั่วพูดติดๆ ขัดๆ ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกนางกัดฟันกรอด : "เช่นนี้ เช่นนี้คือการขอร้องหรือเจ้าคะ""จะไม่ใช่ได้อย่างไร" ดวงตาของลู่เหิงจือลุ่มลึก ส่วนมือก็ยื่นเข้าไป จงใจเคลื่อนไหวไปมาเบาๆ "ข้าชอบขอร้องคนเช่นนี้"“……”ค่ำคืนนี้ ซูชิงลั่วได้สัมผัสจากหลายๆ ด้านแล้วว่าสิ่งใดคือการขอร้องกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นเสียงแมวร้องอีก นางจึงไม่กล้าส่งเสียงนัก สุดท้ายก็ซุกหน้าของตนไว้ในผ้าห่ม จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนของลู่เหิงจือ"ขอร้องเจ้าล่ะ ร้องออกมาสิ"นางสาบานว่าจะไม่มีทางอยากรู้อีกแล้วว่าเขาขอร้องเช่นไรเช้าวันรุ่งขึ้น สีหน้าของนางดูหมดอาลัยตายอยากลู่เหิงจือตื่นขึ้นมาด้วยความกระชุ่มกระชวย หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอื้อมมือมาตีแก้มนางเบาๆ : "น้องหญิงอย่าลืมลดราคา"ซูชิงลั่วถลึงตาใส่เขา...ผู้ชายต่ำช้า ร้ายกาจเสียจริงลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "หรือน้องหญิงต้องการให้ข้าขอร้องเจ้าอีกครั้งคืนนี้"แทงใจดำเหลือเกินซูชิงลั่วพลันหลับตาปี๋ :
"อย่า" ซูชิงลั่วขัดดวงตาใสสว่างของนางมองไปยังลู่เหิงจือ "พี่สาม พ่อข้า..."เวลาที่พ่อแม่จากไปผ่านไปนานขึ้นเรื่อยๆ นานจนนางเหมือนจะไม่มีความผูกพันกับบ้านเดิมของนางแล้วอาศัยแค่ความทรงจำค่อยๆ หวนนึกขึ้นมาทีละครั้ง แต่กลับถูกเวลาลบเลือนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะบอกเล่าความรู้สึกที่ซับซ้อนเช่นนี้ให้กับลู่เหิงจือฟังเช่นไรลู่เหิงจือสบตานาง ราวกับเข้าใจความรู้สึกภายในใจนางแล้ว"รับไว้เถอะ" น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบถ่านที่อยู่บนใบหน้าของนางด้วยความเอ็นดูซูชิงลั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาขอบคุณพลางเอ่ย : "คำพูดล้อเล่นของพ่อข้า ท่านก็เชื่อจริงจัง ข้าก็แต่งกับท่านแล้วนี่อย่างไร"ลู่เหิงจือไม่ได้ปฏิเสธ สีหน้าบ่งบอกว่า "ไม่สนว่าใคร แต่ต้องอยู่ให้ห่างจากภรรยาข้าทั้งสิ้น ทว่าครั้งนี้ต้องฝืนไปก่อน"สิ่งที่หลี่ว์เผิงเทียนมอบให้ไม่ใช่สิ่งของมีค่าอะไร สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือเป็ดตัวเป็นๆ หลายตัวที่จับมาจากจินหลิงลู่เหิงจือแสดงฝีมือเพื่อเอาใจภรรยา ให้ซูชิงลั่วได้ลิ้มรสชาติเป็ดตัวอวบอ้วนจากบ้านเกิดของตน เป็ดในเมืองหลวงผอมแห้งเกินไป
ทันทีที่นางพูดจบก็เห็นสายตาของลู่เหิงจือดูดุร้ายขึ้นมากะทันหัน ทำให้นางตกใจจนผงะถอยหลังไปลู่เหิงจือยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินชายที่ขายโคมไฟอยู่ข้างทางพูดขึ้นมา : "เป็นถึงลูกสาวผู้ตรวจการมณฑล พูดจาอย่างผู้ไม่ได้รับการอบรมเช่นนี้น่ะหรือ นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีจิตใจดี ลดราคาข้าวแล้วขายให้พวกเรา ใครกล้าว่านางน่าเกลียดก็คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาวบ้านเมืองหังโจวที่สุด""ใช่แล้ว อีกอย่าง นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีน่าเกลียดอย่างไร นางยิ่งมองก็ยิ่งงาม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น..."“……”ซูชิงลั่วมองดูพ่อค้าที่กำลังพูดประโยคนี้อยู่ด้วยสายตาสับสน ตัดสินใจหันไปบอกให้จื๋อหยวนไปซื้อโคมไฟมาสองสามโคม ประโยคที่ขัดต่อความในใจเช่นนี้ลำบากเขาแล้วที่ต้องพูดออกมาแต่นางคิดไม่ถึงว่า แค่ทำเรื่องเล็กเรื่องเดียว ชาวบ้านเมืองหังโจวจะชื่นชมนางเช่นนี้ ทั้งยังกล้าที่จะออกมามีเรื่องกับลูกสาวผู้ตรวจการมณฑลเสียอีก นางซาบซึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกลู่เหิงจือเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เห็นผู้คนมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากจะให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต จึงเอ่ยปากออกไป : "ไว้ข้าจะเขียนจดหมายไปถึงผู้ตรวจการมณฑลหวัง ให้เขาอบรม
ซูชิงลั่วขอร้องลู่เหิงจือสารพัดรูปแบบอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดเขาก็ตอบตกลงให้นางไปพบหลี่ว์เผิงเทียนด้วยความจำยอม แน่นอนว่าเขาต้องไปด้วยที่จริงแล้วนางสังสัยว่าเดิมทีเขาไม่ได้คิดจะขัดขวางนาง ความหึงหวงก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแค่แสร้งทำเท่านั้น เพียงแค่ต้องการให้นางปล่อยตัวปล่อยใจขอร้องเขาแต่ชายร้ายกาจผู้นี้แสร้งทำได้เหมือนเกินไป นางไม่มีหลักฐาน จึงทำได้เพียงแค่พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมกอดลู่เหิงจือก็ได้ยินเสียงซ่งเหวินเคาะประตูอยู่ลางๆนางง่วงมากจึงเพียงแค่พลิกตัว ไม่ได้สนใจลู่เหิงจือ ส่วนนางก็นอนต่อตั้งแต่ลู่เหิงจือมาอยู่หังโจว นานๆ ทีจะได้มีโอกาสนอนตื่นสายเขาสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปถาม : "มีเรื่องอันใด"ซ่งเหวินตอบ : "ผู้ตรวจการมณฑลเจ้อเจียง หวังเหลียงฮั่นให้คนนำจดหมายมาส่งให้ใต้เท้า"ลู่เหิงจือเปิดจดหมายอ่านปราดหนึ่ง ก่อนจะปิดแล้วโยนลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วออกคำสั่งซ่งเหวิน : "ตอบกลับไป ข้าจะไปถึงงานเลี้ยงตรงเวลาอย่างแน่นอน"ซ่งเหวิน : "ขอรับ"ซูชิงลั่วเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เดิมทีกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียงเพื่อค่อยๆ ฟื้นตัวจ
ลู่เหิงจือตอบเสียงนิ่ง : "หากท่านไม่มา เซี่ยถิงอวี่จะวางใจได้อย่างไร"เหยาชั่วชี้ไปยังลู่เหิงจือพลางเอ่ย : "ท่าน...เจ้าเล่ห์เพทุบาย ยากแท้หยั่งถึง !"ลู่เหิงจือไม่ใส่ใจ ตอบเบาๆ : "ซ่งเหวิน เรือที่ไปยังเมืองหลวงออกกี่ยาม"เหยาชั่วชะงักงัน รีบยัดสมุดบัญชีไว้ในแขนเสื้อ แล้วหันหลังเดินออกไป แต่กลับถามขึ้นมาราวกับคิดอะไรขึ้นได้ : "ครั้งนี้ที่ท่านมาเจียงหนานตั้งใจว่าจะอยู่อย่างน้อยครึ่งปีไม่ใช่หรือ ตรวจสอบภาษีเสร็จก็จะกลับไปรายงานฝ่าบาทเร็วเช่นนี้จะไม่เกิดความสงสัยหรือ""ใครบอกว่าข้าจะกลับเมืองหลวง""เช่นนั้นท่านอยู่ต่อเพื่อสิ่งใด จะเป็นซูตงพอหรืออย่างไร"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "กลับบ้านภรรยาเป็นเพื่อนนาง"เหยาชั่ว : "..."ถูกความงามคลอบงำจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วเสียจริงซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "ท่านหมายถึงจินหลิงน่ะหรือ"ลู่เหิงจือพยักหน้าโค้งที่มุมปากของซูชิงลั่วยกสูงเหยาชั่วทนดูสามีภรรยาคู่นี้พลอดรักหวานเลี่ยนกันไม่ไหว รีบเปิดประตูเดินออกไปทันทีซูชิงลั่วนั่งมองดูว่าลู่เหิงจือได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยวิธีใดตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ข้างๆ เวลานี้สายตาที่มองไปยังลู่เหิงจือเต็มไปด้วยค
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป