ทันทีที่นางพูดจบก็เห็นสายตาของลู่เหิงจือดูดุร้ายขึ้นมากะทันหัน ทำให้นางตกใจจนผงะถอยหลังไปลู่เหิงจือยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินชายที่ขายโคมไฟอยู่ข้างทางพูดขึ้นมา : "เป็นถึงลูกสาวผู้ตรวจการมณฑล พูดจาอย่างผู้ไม่ได้รับการอบรมเช่นนี้น่ะหรือ นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีจิตใจดี ลดราคาข้าวแล้วขายให้พวกเรา ใครกล้าว่านางน่าเกลียดก็คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาวบ้านเมืองหังโจวที่สุด""ใช่แล้ว อีกอย่าง นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีน่าเกลียดอย่างไร นางยิ่งมองก็ยิ่งงาม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น..."“……”ซูชิงลั่วมองดูพ่อค้าที่กำลังพูดประโยคนี้อยู่ด้วยสายตาสับสน ตัดสินใจหันไปบอกให้จื๋อหยวนไปซื้อโคมไฟมาสองสามโคม ประโยคที่ขัดต่อความในใจเช่นนี้ลำบากเขาแล้วที่ต้องพูดออกมาแต่นางคิดไม่ถึงว่า แค่ทำเรื่องเล็กเรื่องเดียว ชาวบ้านเมืองหังโจวจะชื่นชมนางเช่นนี้ ทั้งยังกล้าที่จะออกมามีเรื่องกับลูกสาวผู้ตรวจการมณฑลเสียอีก นางซาบซึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกลู่เหิงจือเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เห็นผู้คนมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากจะให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต จึงเอ่ยปากออกไป : "ไว้ข้าจะเขียนจดหมายไปถึงผู้ตรวจการมณฑลหวัง ให้เขาอบรม
ซูชิงลั่วขอร้องลู่เหิงจือสารพัดรูปแบบอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดเขาก็ตอบตกลงให้นางไปพบหลี่ว์เผิงเทียนด้วยความจำยอม แน่นอนว่าเขาต้องไปด้วยที่จริงแล้วนางสังสัยว่าเดิมทีเขาไม่ได้คิดจะขัดขวางนาง ความหึงหวงก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแค่แสร้งทำเท่านั้น เพียงแค่ต้องการให้นางปล่อยตัวปล่อยใจขอร้องเขาแต่ชายร้ายกาจผู้นี้แสร้งทำได้เหมือนเกินไป นางไม่มีหลักฐาน จึงทำได้เพียงแค่พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเช้าวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมกอดลู่เหิงจือก็ได้ยินเสียงซ่งเหวินเคาะประตูอยู่ลางๆนางง่วงมากจึงเพียงแค่พลิกตัว ไม่ได้สนใจลู่เหิงจือ ส่วนนางก็นอนต่อตั้งแต่ลู่เหิงจือมาอยู่หังโจว นานๆ ทีจะได้มีโอกาสนอนตื่นสายเขาสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นเดินออกไปถาม : "มีเรื่องอันใด"ซ่งเหวินตอบ : "ผู้ตรวจการมณฑลเจ้อเจียง หวังเหลียงฮั่นให้คนนำจดหมายมาส่งให้ใต้เท้า"ลู่เหิงจือเปิดจดหมายอ่านปราดหนึ่ง ก่อนจะปิดแล้วโยนลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ แล้วออกคำสั่งซ่งเหวิน : "ตอบกลับไป ข้าจะไปถึงงานเลี้ยงตรงเวลาอย่างแน่นอน"ซ่งเหวิน : "ขอรับ"ซูชิงลั่วเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เดิมทีกำลังพักผ่อนอยู่บนเตียงเพื่อค่อยๆ ฟื้นตัวจ
ลู่เหิงจือตอบเสียงนิ่ง : "หากท่านไม่มา เซี่ยถิงอวี่จะวางใจได้อย่างไร"เหยาชั่วชี้ไปยังลู่เหิงจือพลางเอ่ย : "ท่าน...เจ้าเล่ห์เพทุบาย ยากแท้หยั่งถึง !"ลู่เหิงจือไม่ใส่ใจ ตอบเบาๆ : "ซ่งเหวิน เรือที่ไปยังเมืองหลวงออกกี่ยาม"เหยาชั่วชะงักงัน รีบยัดสมุดบัญชีไว้ในแขนเสื้อ แล้วหันหลังเดินออกไป แต่กลับถามขึ้นมาราวกับคิดอะไรขึ้นได้ : "ครั้งนี้ที่ท่านมาเจียงหนานตั้งใจว่าจะอยู่อย่างน้อยครึ่งปีไม่ใช่หรือ ตรวจสอบภาษีเสร็จก็จะกลับไปรายงานฝ่าบาทเร็วเช่นนี้จะไม่เกิดความสงสัยหรือ""ใครบอกว่าข้าจะกลับเมืองหลวง""เช่นนั้นท่านอยู่ต่อเพื่อสิ่งใด จะเป็นซูตงพอหรืออย่างไร"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "กลับบ้านภรรยาเป็นเพื่อนนาง"เหยาชั่ว : "..."ถูกความงามคลอบงำจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วเสียจริงซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "ท่านหมายถึงจินหลิงน่ะหรือ"ลู่เหิงจือพยักหน้าโค้งที่มุมปากของซูชิงลั่วยกสูงเหยาชั่วทนดูสามีภรรยาคู่นี้พลอดรักหวานเลี่ยนกันไม่ไหว รีบเปิดประตูเดินออกไปทันทีซูชิงลั่วนั่งมองดูว่าลู่เหิงจือได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยวิธีใดตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ข้างๆ เวลานี้สายตาที่มองไปยังลู่เหิงจือเต็มไปด้วยค
สายตาของหวังเหลียงฮั่นแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเหยียดหยามโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจืออัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ ดูท่าทางสูงส่งแล้วก็ดูเย่อหยิ่งทะนงตน แต่กลับขี้ขลาดถึงเพียงนี้กับแค่ภรรยาคนเดียวก็ตกใจกลัวเช่นนี้ ยังกล้ามาตรวจสอบภาษีที่เจียงหนานได้เช่นไรช่างเถอะ เขาจะจำใจช่วยลู่เหิงจือสักครั้งหวังเหลียงฮั่นกระแอมเบาๆ : "ฮูหยินลู่ สตรีแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี เจ้า..."ยังไม่ทันพูดจบ ดาบเล่มนั้นในมือซูชิงลั่วก็ฟาดลงมาแก้วชามบนโต๊ะตรงหน้าหวังเหลียงฮั่นแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ผักกาดขาวที่อยู่ในจานลอยเข้าหน้าเขา ทั้งยังมีน้ำแกงหยดลงมาอีกด้วยซูชิงลั่วมองเขาด้วยสายตาเย็นชา : "ท่านใช่ไหมที่บังคับให้สามีข้านอนกับหญิงสาว"นางชี้ดาบไปตรงหน้าหวังเหลียงฮั่นหวังเหลียงฮั่นไม่เคยเจอหญิงสาวที่ดุร้ายเช่นนี้มาก่อน แม้แต่ภรรยาของเขาก็เทียบไม่ติด พลันตะโกนเสียงดังลั่น : "เจ้าบังอาจมาก ใครก็ได้ เข้ามา"ดาบพลันฟาดเข้าไป หมวกของหวังเหลียงฮั่นร่วงลงมาหางเต๋อโย่ววิ่งเข้ามาพยายามจะห้าม : "ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ ฮูหยินลู่วางดาบลงเถอะ พวกเราก็เพียงแค่..."ซูชิงลั่วยื่นดาบเข้าไปอีกครั้ง ตัดเข็มขัดของหา
ทุกคน ณ ที่นั้นพากันถอนใจด้วยความโล่งอกลู่เหิงจือหันไปพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด : "ข้าขอพาภรรยาออกไปก่อน หวังว่าคงไม่รบกวนความเพลิดเพลินของใต้เท้าทุกท่าน เชิญทุกท่านต่อ ต่อกันได้เลย"นี่จะยังต่ออะไรอีกทุกคนทำหน้าตัดพ้อ แต่กลับไม่กล้าบ่นออกมา เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งพักเหนื่อย ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทิ่มหูของหญิงสาวดังขึ้นมา : "ผู้ใดคือคนของผู้ตรวจการมณฑล ไสหัวออกมาตรงหน้าข้า แล้วพูดให้ข้าฟังอีกรอบ !"สีหน้าของหวังเหลียงฮั่นพลันซีดเผือก ตกใจจนรีบโค้งตัวเข้าไปรับ : "ฮูหยินเหตุใดถึงได้มาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ ร่างกายเจ้าไม่ดี ดึกเช่นนี้แล้วยังออกมาอีก..."ตรงหน้ามีหญิงสาวอายุราวสี่สิบเดินเข้ามา หน้าตาดุดัน สายตาโหดเหี้ยมเพี้ยะนางฟาดฝ่ามือลงไปบนหน้าหวังเหลียงฮั่นหวังเหลียงฮั่นกุมหน้าตัวเองด้วยความโศกเศร้าสุดขีด แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาไหนบอกว่าจะตบให้นางหาทิศไม่เจอเล่าเหล่าขุนนางที่อยู่ ณ ตรงนั้นพากันก้มหน้า ในใจได้แต่คิดว่านี่เป็นวันอะไรกันแน่ถึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ร้อยปีจะเห็นได้สักทีเช่นนี้ แต่อีกใจก็อดความอยากรู้อยากเห็นไมไหวแอบเงยหน้าขึ้นมามองสถานการณ์ตรงหน้าหญิงสาวนางนั้นฟ
เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ หอหว่างชุนกลายเป็นเรื่องที่ชาวเมืองหังโจวพูดถึงกันปากต่อปากในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านน้ำชาหรือตามตรอกซอกซอยอัครมหาเสนาบดีลู่เหิงจือและผู้ตรวจการมณฑลหวังเหลียงฮั่นล้วนกลัวภรรยาเพียงนี้ ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งทว่าเสียงวิจารณ์ของทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง“ท่านไม่รู้หรือว่าฮูหยินของผู้ว่าราชการหวังนั้น......จุๆ ! กล้าตบหน้าผู้ตรวจการมณฑลหวังต่อหน้าใต้เท้าทั้งหลายจนดูไม่ได้เลย”“หวังเหลียงฮั่นยังคุมเหล่าสตรีในจวนไม่ได้ แล้วจะคุมกองทัพและการปกครองท้องถิ่นได้อย่างไรกัน ถุย ช่างน่าขันสิ้นดี”“คนไม่มีน้ำยาเยี่ยงนี้ จึงรังแกราษฎรทั่วไป”“……”“ดูความเด็ดขาดของท่านอัครมหาเสนาบดีที่สั่งประหารชีวิตลี่หลุนสิ เขาจะกลัวสตรีได้อย่างไร ท่านอัครมหาเสนาบนั่นเรียกว่าเคารพและรักฮูหยินต่างหาก”“ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีทั้งจิตใจดีและมีเหตุผล การทะเลาะกันบ้างเป็นเรื่องปกติ และยังให้เกียรติท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นอย่างมาก แม้แต่ขนหนึ่งเส้นของท่านอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ได้รับอันตรายเลย"“แม้ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเจ้าชู้อยู่บ้าง แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีก็รักฮูหยินมาก ถึงขั้น
หวังซูไม่เคยถูกพ่อดุด่ามาก่อนเลยสักครั้ง จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งหวังเหลียงฮั่นตะคอกว่า “ยังไม่ไสหัวไปอีก!”หวังซูน้ำตาไหลพราก ร้องไห้วิ่งออกไป*อีกไม่กี่วันก็คงจะถึงเวลาที่เหยาชั่วจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ลู่เหิงจือจึงเขียนจดหมายด้วยลายมือของตนเองส่งให้ซ่งเหวินไปยังก้านโจวเพื่อมอบให้แก่ผู้ตรวจการมณฑลก้านโจวเนื่องด้วยหวังเหลียงฮั่นมีทหารอยู่ในมือ และเขาก็ได้สืบเรื่องภาษีจนกระจ่างแล้ว จึงจำเป็นต้องส่งทหารจากที่อื่นมาปราบปรามหวังเหลียงฮั่นทันทีที่ซ่งเหวินจากไป ลู่เหิงจือก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ซูชิงลั่วจึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาเล็กน้อย มือถือกาน้ำชา และสีหน้าที่ดูผิดปกติเล็กน้อย“เข้ามา” ลู่เหิงจือพูดโดยไม่เงยหน้าเขากำลังจุ่มพู่กันลงในหมึกบนถ้วยลายครามสีเขียวมรกตซูชิงลั่วเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มพลางมองเขาที่จับปลายพู่กันไว้ในมือ นิ้วเรียวบางขยับเบาๆ ปลายพู่กันที่อ่อนนุ่มก็ค่อยๆ กระจายออกในน้ำราวกับดอกไม้บานปลายพู่กันทั้งนุ่มและเบาซูชิงลั่วรินชาให้เขาเขาใช้ปลายนิ้วลูบขนแปรงให้เรียบอย่างนุ่มนวล แล้วแขวนไว้บนที่แขวนแปรง น้ำใสๆ หนึ่งหยดก็ตกลงมาจากปลายแปรงลงบนโต๊ะลู่เหิงจือ
ซูชิงลั่วร่างกายอ่อนนุ่มราวกับน้ำขังเนื่องด้วยห้องหนังสือนี้ไม่มีเก้าอี้ยาว นางจึงได้ปล่อยตัวอยู่ในอ้อมอกของลู่เหิงจือ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหาผ้าคลุมมาห่มให้ และพานางกลับไปยังห้องนอนโฉวกว่างรู้จังหวะจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แต่ซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายมาก จึงซุกหน้าลงกับอกของลู่เหิงจือตลอดทาง ราวกับอยากจะหายตัวไปเมื่อกลับถึงห้อง ลู่เหิงจือก็ยังคงแกล้งนาง โดยบอกว่านางต้องชดใช้พู่กันให้กับเขา ซึ่งเป็นพู่กันขนหงส์คุณภาพดีเยี่ยมซูชิงลั่วไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้เถียง นางจึงนอนลงบนเตียง ห่อตัวด้วยผ้าห่มแน่น และไม่ต้องการพูดอะไรอีกสภาพเช่นนี้ นางรู้สึกว่าวันนี้ไม่มีหน้าไปพบใครแล้วลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาดึงผ้าห่มออกเล็กน้อยซูชิงลั่วตกใจ รีบถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ท่านจะทำอะไรอีก"ลู่เหิงจือมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบบนริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ข้าจะไปทำซาลาเปาไส้ไก่ให้เจ้ากิน ดีหรือไม่"เอิ่มซาลาเปาไส้ไก่หลังจากชายชั่วรังแกนางแล้ว สุดท้ายก็ยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้างนางพยักหน้าเบาๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว “ข้าอยากดื่ม