ทุกคน ณ ที่นั้นพากันถอนใจด้วยความโล่งอกลู่เหิงจือหันไปพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด : "ข้าขอพาภรรยาออกไปก่อน หวังว่าคงไม่รบกวนความเพลิดเพลินของใต้เท้าทุกท่าน เชิญทุกท่านต่อ ต่อกันได้เลย"นี่จะยังต่ออะไรอีกทุกคนทำหน้าตัดพ้อ แต่กลับไม่กล้าบ่นออกมา เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งพักเหนื่อย ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องทิ่มหูของหญิงสาวดังขึ้นมา : "ผู้ใดคือคนของผู้ตรวจการมณฑล ไสหัวออกมาตรงหน้าข้า แล้วพูดให้ข้าฟังอีกรอบ !"สีหน้าของหวังเหลียงฮั่นพลันซีดเผือก ตกใจจนรีบโค้งตัวเข้าไปรับ : "ฮูหยินเหตุใดถึงได้มาไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ ร่างกายเจ้าไม่ดี ดึกเช่นนี้แล้วยังออกมาอีก..."ตรงหน้ามีหญิงสาวอายุราวสี่สิบเดินเข้ามา หน้าตาดุดัน สายตาโหดเหี้ยมเพี้ยะนางฟาดฝ่ามือลงไปบนหน้าหวังเหลียงฮั่นหวังเหลียงฮั่นกุมหน้าตัวเองด้วยความโศกเศร้าสุดขีด แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาไหนบอกว่าจะตบให้นางหาทิศไม่เจอเล่าเหล่าขุนนางที่อยู่ ณ ตรงนั้นพากันก้มหน้า ในใจได้แต่คิดว่านี่เป็นวันอะไรกันแน่ถึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ร้อยปีจะเห็นได้สักทีเช่นนี้ แต่อีกใจก็อดความอยากรู้อยากเห็นไมไหวแอบเงยหน้าขึ้นมามองสถานการณ์ตรงหน้าหญิงสาวนางนั้นฟ
เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ หอหว่างชุนกลายเป็นเรื่องที่ชาวเมืองหังโจวพูดถึงกันปากต่อปากในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านน้ำชาหรือตามตรอกซอกซอยอัครมหาเสนาบดีลู่เหิงจือและผู้ตรวจการมณฑลหวังเหลียงฮั่นล้วนกลัวภรรยาเพียงนี้ ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งทว่าเสียงวิจารณ์ของทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง“ท่านไม่รู้หรือว่าฮูหยินของผู้ว่าราชการหวังนั้น......จุๆ ! กล้าตบหน้าผู้ตรวจการมณฑลหวังต่อหน้าใต้เท้าทั้งหลายจนดูไม่ได้เลย”“หวังเหลียงฮั่นยังคุมเหล่าสตรีในจวนไม่ได้ แล้วจะคุมกองทัพและการปกครองท้องถิ่นได้อย่างไรกัน ถุย ช่างน่าขันสิ้นดี”“คนไม่มีน้ำยาเยี่ยงนี้ จึงรังแกราษฎรทั่วไป”“……”“ดูความเด็ดขาดของท่านอัครมหาเสนาบดีที่สั่งประหารชีวิตลี่หลุนสิ เขาจะกลัวสตรีได้อย่างไร ท่านอัครมหาเสนาบนั่นเรียกว่าเคารพและรักฮูหยินต่างหาก”“ฮูหยินอัครมหาเสนาบดีทั้งจิตใจดีและมีเหตุผล การทะเลาะกันบ้างเป็นเรื่องปกติ และยังให้เกียรติท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นอย่างมาก แม้แต่ขนหนึ่งเส้นของท่านอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ได้รับอันตรายเลย"“แม้ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเจ้าชู้อยู่บ้าง แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีก็รักฮูหยินมาก ถึงขั้น
หวังซูไม่เคยถูกพ่อดุด่ามาก่อนเลยสักครั้ง จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งหวังเหลียงฮั่นตะคอกว่า “ยังไม่ไสหัวไปอีก!”หวังซูน้ำตาไหลพราก ร้องไห้วิ่งออกไป*อีกไม่กี่วันก็คงจะถึงเวลาที่เหยาชั่วจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ลู่เหิงจือจึงเขียนจดหมายด้วยลายมือของตนเองส่งให้ซ่งเหวินไปยังก้านโจวเพื่อมอบให้แก่ผู้ตรวจการมณฑลก้านโจวเนื่องด้วยหวังเหลียงฮั่นมีทหารอยู่ในมือ และเขาก็ได้สืบเรื่องภาษีจนกระจ่างแล้ว จึงจำเป็นต้องส่งทหารจากที่อื่นมาปราบปรามหวังเหลียงฮั่นทันทีที่ซ่งเหวินจากไป ลู่เหิงจือก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ซูชิงลั่วจึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาเล็กน้อย มือถือกาน้ำชา และสีหน้าที่ดูผิดปกติเล็กน้อย“เข้ามา” ลู่เหิงจือพูดโดยไม่เงยหน้าเขากำลังจุ่มพู่กันลงในหมึกบนถ้วยลายครามสีเขียวมรกตซูชิงลั่วเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มพลางมองเขาที่จับปลายพู่กันไว้ในมือ นิ้วเรียวบางขยับเบาๆ ปลายพู่กันที่อ่อนนุ่มก็ค่อยๆ กระจายออกในน้ำราวกับดอกไม้บานปลายพู่กันทั้งนุ่มและเบาซูชิงลั่วรินชาให้เขาเขาใช้ปลายนิ้วลูบขนแปรงให้เรียบอย่างนุ่มนวล แล้วแขวนไว้บนที่แขวนแปรง น้ำใสๆ หนึ่งหยดก็ตกลงมาจากปลายแปรงลงบนโต๊ะลู่เหิงจือ
ซูชิงลั่วร่างกายอ่อนนุ่มราวกับน้ำขังเนื่องด้วยห้องหนังสือนี้ไม่มีเก้าอี้ยาว นางจึงได้ปล่อยตัวอยู่ในอ้อมอกของลู่เหิงจือ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหาผ้าคลุมมาห่มให้ และพานางกลับไปยังห้องนอนโฉวกว่างรู้จังหวะจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แต่ซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายมาก จึงซุกหน้าลงกับอกของลู่เหิงจือตลอดทาง ราวกับอยากจะหายตัวไปเมื่อกลับถึงห้อง ลู่เหิงจือก็ยังคงแกล้งนาง โดยบอกว่านางต้องชดใช้พู่กันให้กับเขา ซึ่งเป็นพู่กันขนหงส์คุณภาพดีเยี่ยมซูชิงลั่วไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้เถียง นางจึงนอนลงบนเตียง ห่อตัวด้วยผ้าห่มแน่น และไม่ต้องการพูดอะไรอีกสภาพเช่นนี้ นางรู้สึกว่าวันนี้ไม่มีหน้าไปพบใครแล้วลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาดึงผ้าห่มออกเล็กน้อยซูชิงลั่วตกใจ รีบถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ท่านจะทำอะไรอีก"ลู่เหิงจือมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบบนริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ข้าจะไปทำซาลาเปาไส้ไก่ให้เจ้ากิน ดีหรือไม่"เอิ่มซาลาเปาไส้ไก่หลังจากชายชั่วรังแกนางแล้ว สุดท้ายก็ยังมีมนุษยธรรมอยู่บ้างนางพยักหน้าเบาๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าว “ข้าอยากดื่ม
ใต้แสงจันทรา ชายหนุ่มหลับตาลง แต่มุมปากของเขาอดยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้*เช้าวันรุ่งขึ้น ซูชิงลั่วไปที่บ้านตระกูลหลี่ว์พร้อมกับลู่เหิงจือนางจำเรื่องราวที่จื๋อหยวนเล่าให้ฟังไม่ได้เลย ยามนั้นนางยังเด็กมากและไร้กังวล ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ รู้เพียงว่าหลี่ว์เผิงเทียนอายุมากกว่านางสิบกว่าปีเท่านั้นบัดนี้อยากพบเขาก็เพราะอยากฟังเรื่องราวเก่าๆ ของพ่อเมื่อเข้าใกล้บ้านตระกูลหลี่ว์มากเท่าใด นางก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเท่านั้นไม่รู้ว่าลู่เหิงจือสังเกตเห็นหรือไม่ แต่เขาก็ค่อยๆ จับมือนางไว้ไม่นาน รถม้าก็ค่อยๆ หยุดที่หน้าประตูบ้านตระกูลหลี่ว์หลี่ว์เผิงเทียนได้รับจดหมายแล้วจึงรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นรถม้าก็รีบโค้งตัวลงเล็กน้อย – เพราะเขาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี จึงต้องแสดงกิริยาอาการที่เหมาะสมลู่เหิงจือเปิดม่านรถ ได้กวาดมองหลี่ว์เผิงเทียนแวบเดียวหลี่ว์เผิงเทียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อเห็นนางจึงรู้สึกขนลุก – เขาไม่ได้ล่วงเกินท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ใช่หรือไม่ หรือว่าจะเป็นเพราะของกำนัลที่ส่งไปครั้งก่อนเบาเกินไป?หลี่ว์เผิงเทียนยังคงครุ่นคิด แต่จู่ๆ ก็เห็นร่างบางก้าวลงมาจากรถม้าก
สวนของตระกูลหลี่ว์นั้นกว้างใหญ่ มีทั้งภูเขาและน้ำ แต่ค่อนข้างดูทรุดโทรม ดอกไม้และพืชพันธุ์ในสวนรกทึบ ดูเขียวชอุ่มกลับไร้ระเบียบในสวนมีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่ทั่วไปที่มีบ่าวรับใช้เป็นร้อยคนแล้ว ถือว่าน้อยมากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วเดินนำหน้าพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ฉากนี้ย่อมเข้าตาของหลี่ว์เผิงเทียนเป็นธรรมดาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้ไม่เลวเลย?หลี่ว์เผิงเทียนเดินตามหลังทั้งสองเข้าไปในห้องโถงด้านหน้าบนพื้นมีเตาถ่านตั้งอยู่ เตาถ่านกำลังต้มน้ำเดือดจนฝาหม้อกระเด็นไปมาบ่าวชราคนหนึ่งกำลังจะเติมถ่านลงไป หลี่ว์เผิงเทียนร้องเสียงดังขึ้นมาทันทีว่า "เหอป๋อ ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าต้องประหยัดถ่าน ต้องเผาไฟแรงขนาดนี้เลยหรือ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกครั้งที่ซื้อถ่านมาจะเหลือน้อยลงอย่างรวดเร็ว"เหอป๋อโน้มตัวลงไปพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ข้าก็คิดว่าวันนี้จะมีแขกมา"หลี่ว์เผิงเทียนรับถ่านจากมือเขาไป "พอแล้ว ไปเตรียมอาหารเถอะ ตรงนี้ไม่มีอะไรให้เจ้าทำแล้ว"เหอป๋อขานตอบแล้วรีบจากไปหลี่ว์เผิงเทียนมองดูกองไฟในเตา แล้วหันไปมองลู่เหิงจือและซูชิงลั่วที่อยู่ตรงหน
นางหันมองลู่เหิงจือด้วยความซาบซึ้งลู่เหิงจือพยักหน้าให้นางเบาๆ แล้วหันหลังออกจากห้องโถงด้านหน้าเมื่อเขาจากไปแล้ว หลี่ว์เผิงเทียนถึงกับโล่งอกทันทีขณะที่พูดคุยกับซูชิงลั่ว เขารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาพบว่าบุตรสาวของผู้มีพระคุณไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นไปอีกเขาเล่าเรื่องราวของนายท่านซูที่ช่วยเหลือเขาในอดีตให้นางฟังอย่างละเอียดความทรงจำที่เลือนลางเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นทีละน้อย“ท่านยังจำสิงโตหินคู่หน้าประตูบ้านของเจ้าได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นจมูกหักไปครึ่งหนึ่ง ก็เพราะครั้งหนึ่งข้าขับรถชนเข้าไปเอง นายท่านซูก็ไม่ได้ให้ข้าชดใช้”"พ่อของท่านชอบดื่มใบไผ่เขียวมาก ข้าไม่เข้าใจเลยว่ากลิ่นยาจีนอร่อยตรงไหน ข้าดื่มครั้งแรกแทบจะอ้วกออกมา แต่ก็โกหกพ่อของท่านว่าอร่อยมาก ข้าไม่เคยดื่มสุราที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน”“พ่อของท่านเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาจริงๆ ส่วนแม่ของท่าน - ก็แค่ด้อยกว่าพ่อของท่านไปนิดเดียวเอง”“……”ซูชิงลั่วค้นพบว่าหลี่ว์เผิงเทียนมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ทุกครั้งที่พูดถึงจุดที่นางอยากจะร้องไห้ เขามักพูดจาติดตลก ทำให้นางกลั้นน้ำตาไว้ และอดหัวเ
"กระแอมๆ ๆ......"หลี่ว์เผิงเทียนถูกเหวี่ยงลงกับพื้น คอแทบขาดเพราะถูกหลู่เหิงจือบีบคนผอมบางอย่างเขา เหตุใดถึงมีแรงมากเพียงนี้เขาผู้ชายตัวสูงใหญ่กลับถูกอีกฝ่ายจับยกขึ้นและโยนลงบนพื้นด้วยมือเดียวหากมิใช่เพราะซูชิงลั่วขอร้อง เขาคงตายไปแล้วแน่ๆซูชิงลั่วจึงรีบปลอบหลู่เหิงจือให้นั่งลง "เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น เขาแค่เป็นห่วงข้าน่ะ"หลี่ว์เผิงเทียนจับคอแล้วไอออกมาอีกหลายที ในใจกลัวจนตัวสั่น แต่ปากกลับพูดว่า "แล้วคนที่นอนกับนางโลมจนรู้ไปทั้งเมืองหังโจวไม่ใช่ท่านหรอกหรือ ดูจากภายนอกเหมือนท่านดูแลน้องสาวอย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วท่านปฏิบัติต่อนางเช่นไร"ลู่เหิงจือถลึงตาจ้องเขาอย่างเย็นชาเขาตัวสั่นและถอยหลังเล็กน้อย ลูบคอเบาๆ ด้วยความหวาดกลัวซูชิงลั่วรีบพูดว่า "สามีข้าดีกับข้ามาก เรื่องที่นอน นอนกับนางโลมเป็นเรื่องเข้าใจผิด อย่าไปใส่ใจเลย"หลี่ว์เผิงเทียนถามว่า "จริงหรือ"ซูชิงลั่วพยักหน้าให้เขา "จริง""ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว" หลี่ว์เผิงเทียนลุกขึ้นอย่างช้าๆ ตกตะลึงกับท่าทางอันน่าเกรงขามของลู่เหิงจือ จนไม่กล้านั่งลง แล้วพูดต่อว่า "น้องสาว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องลดราคาหรอก ข้า