ค่ำคืนนี้ลมไม่แรง นั่งบนหลังม้าซบอยู่ในอ้อมกอดของลู่เหิงจือก็ไม่รู้สึกหนาว เพราะพ้นจากตรอกหน้าประตูจวนไปแล้ว เขาก็ขี่ช้าลงราวกับจะพานางมารับชมแสงจันทราของเมืองหางโจวซูชิงลั่วพิงอยู่บนอกของเขา มุมปากของนางยิ้มไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นางคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็อดถามไม่ได้ว่า "ทำไมท่านถึงพูดว่าปิ่นปักผมอันนั้นไม่คู่ควรกับนางเล่า ท่านยังมีอารมณ์ที่จะมาวิจารณ์ปิ่นปักผมของหญิงอื่นอีกหรือ"นี่เป็นเพียงจุดเดียวที่น่าจับผิดของค่ำคืนนี้นางคิดว่าบางทีคนอย่างลู่เหิงจือที่อยู่ในตำแหน่งสูง คงต้องทำเป็นสนิทสนมกับคนอื่นบ้างเป็นธรรมดาลู่เหิงจือวางมือบนเอวอันอ่อนนุ่มนิ่มของนาง และเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา "นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากเห็นคนอื่นใส่ปิ่นปักผมไข่มุก"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที - ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองนางอดใบหน้าแดงก่ำไม่ได้ แล้วก็เอ่ยถามความในใจด้วยความหวานปานน้ำผึังว่า "แล้วที่ท่านพูดเมื่อครู่ว่าสิ่งที่นางภาคภูมิใจก็เทียบข้า ไม่ได้ หมายความอะไรหรือ"ลู่เหิงจือเสียงแหบแห้ง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”ซูชิงลั่วเมื่อครู่ไม่ได้คิดไปทางนั้น พอเขาพูด นางก็รู้ตัวทันที ทั้ง
ค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าเขาเอ่ยคำพูดน่าอับอายกับนางไปเท่าใด ถูกเขาพาขึ้นสวรรค์ ถูกเขาดึงให้จมลงไปในกองเมฆอันอ่อนนุ่ม ราวกับกำลังจมน้ำ หายใจไม่ออก......สุดท้ายก็กอดแขนเขาหลับสนิท แม้แต่ในฝันก็ยังถูกเขาข่มเหงทว่าในฝันดูเหมือนนางจะยินยอมให้ข่มเหงวันรุ่งขึ้น นางถูกเสียงและการเคลื่อนไหวของลู่เหิงจือที่ลุกขึ้นทำให้ตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นลู่เหิงจือสวมเสื้อผ้าผูกเข็มขัด เดินกลับมาที่เตียง ก้มลงมาจูบนางเบาๆ แล้วพูดว่า "จื๋อหยวนรออยู่ข้างนอก เจ้านอนต่อได้เลย"ซูชิงลั่วรู้สึกง่วงจึงหลับตาลงและพยักหน้าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงบ่าวถามด้วยความกระตือรือร้นอยู่หน้าประตูว่า “แม่นางชอบกินอะไร ทางร้านทำเสร็จแล้วจะยกมาส่งโดยไม่คิดเงิน”จื๋อหยวนตอบเสียงเรียบว่าไม่เป็นไรบ่าวหัวเราะคิกคักและถามว่า "แม่นางท่านนี้เป็นคนของที่ใดหรือ"ซูชิงลั่วมึนงงไปชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพอสมควร นางถึงรู้ว่าบ่าวเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นนางโลมของหอใดสักแห่งก็จริง ใครจะพาฮูหยินของตนเองมาที่โรงเตี๊ยมยามวิกาลกันเล่ายิ่งไปกว่านั้น ในเมืองหางโจวก็รู้กันทั่วว่าฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีใบหน้าอัปลักษ
เมฆครึ้มดำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลังลงโทษประหารลี่หลุน สำนักราชการเมืองหังโจวพลันดูจริงจังหนักแน่นขึ้นทันทีทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือบรรยากศภายในเมืองหังโจวกลับคึกคักกว่าเดิมมาก การค้าขายทำได้ง่าย ไม่มีการฉ้อโกงหลอกลวงเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายวันนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันชื่นชมอัครมหาเสนาบดีที่มาใหม่ผู้นี้กันปากต่อปากว่าเอาใจใส่ราษฎร มีสง่าราศีและห้าวหาญแม้แต่คำว่า "ผู้มักมากในกาม" ที่ตอนแรกใครๆ ก็เรียกกัน กลับเปลี่ยนเป็น "ใต้เท้าก็แค่เที่ยวเล่นสนุก ไม่มีสิ่งใดผิด ผู้ชายก็ต้องสนใจเรื่องเล่นสนุกทั้งนั้น"นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่แอบวิจารณ์กันว่าลี่หลูผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มังกรมิอาจสยบงูเจ้าถิ่นได้ ดีไม่ดีอัครมหาเสนาบดีผู้นี้อาจมีอันตรายถึงชีวิตข่าวลือรู้ไปถึงหูซูชิงลั่ว นางจึงเริ่มอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงอย่างไรลี่หลูก็มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาตกดึก ลู่เหิงจือกลับมา นางก็อดถามไม่ได้ว่าเขาจะมีอัตรายหรือไม่ เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่าไม่เป็นไร นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกวันรุ่งขึ้น เหยาชั่วมาหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเรือนที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในหังโจวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังเป็นกลาง
ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว : "ประโยคนี้เจ้ากลับได้ยินชัดเจนยิ่งนัก""ท่านพูดเสียงดังเองต่างหาก" สีหน้าของนางดูน้อยใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือยื่นมือออกไปเกี่ยวปลายคางนาง บังคับให้นางหันมาสบตาเขา ก่อนจะขำออกมาเบาๆ : "ข้าแค่พูดให้เหยาชั่วโมโหเท่านั้น เจ้าเขื่อจริงหรือ ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปแต่งกับผู้อื่นได้เช่นไร"ซูชิงลั่วกัดริมฝีปากเบาๆ มองเขาด้วยความจริงจัง : "ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีก พูดเล่นก็ไม่ได้"ลู่เหิงจือพยักหน้า : "ข้าฟังน้องหญิง"ซูชิงลั่วซบอกเขา พลางพูดเสียงเบา : "ท่านจะไม่ตาย ข้าก็จะไม่แต่งกับผู้อื่น พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต"ประโยคนี้มีพลังเย้ายวนสูงมากหัวใจที่นิ่งสงบเข้าลู่เหิงจือสั่นรัว อุ้มนางขึ้นมาแล้วกดลงไปบนเตียงก่อนจะบรรจงจูบเบาๆ"ชิงลั่ว...""อืม"จูบกระหน่ำลงไปบนเรือนร่าง ทำให้นางสติกระเจิงความคิดฟุ้งซ่านอีกทั้งน้ำเสียงของเขาในเวลานี้"มีลูกให้ข้าสักคนเถอะนะ ได้ไหม"หลังจากที่พูดออกมา แม้แต่ลู่เหิงจือเองก็ยังประหลาดใจเล็กน้อยความรักทำให้คนตาบอดเช่นนั้นหรือ แม้แต่เขาเองก็พูดประโยคเช่นนี้ออกไปโดยไม่รู้ตัวเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าจะทำให้นางตกใจหรือ
ลู่เหิงจืออมยิ้มพลางชี้ไปยังแก้วชาของตน ซึ่งหมายความว่าให้ซูชิงลั่วเข้ามาเติมน้ำอยู่ต่อหน้าคนนอกถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาซูชิงลั่วเข้าไปเติมชาให้เขา ก่อนจะหันไปเตรียมจะรินน้ำชาให้เหยาชั่ว ทว่ากลับได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นมานิ่งๆ : "ของเขาไม่ต้อง"เหยาชั่วชะงัก : "เหตุใดข้าจึงไม่ต้อง"ลู่เหิงจือค่อยๆ จิบน้ำชา : "เวลาครึ่งวันคิด ได้แค่ความคิดเช่นนั้นความคิดเดียว เปลืองน้ำชา ข้าไม่เลี้ยงคนว่างงาน"เหยาชั่ว : "..."ซูชิงลั่วกระพริบตาปริบๆ มองไปยังลู่เหิงจือ : "แต่ข้าคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว"พูดจบก็หันไปรินน้ำชาให้เหยาชั่วเหยาชั่วอดไม่ไหว หลุดหัวเราะดังลั่น : "นายหญิงสายตาแหลมคมเสียจริง"ลู่เหิงจือหรี่ตาทั้งสองข้างพร้อมกับวางแก้วน้ำชาลง แล้วมองไปที่ซูชิงลั่วแววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า "คอยดูว่าเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร"ซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ วางแก้วน้ำชาลงแล้วเดินออกไปทันทีที่นางออกไป ลู่เหิงจือก็เริ่มมีท่าทีเหม่อลอย ในมือลูบแหวนหยกเล่นไปมา ได้ยินเหยาชั่วพูดน้ำไหลไฟดับเรื่องแผนการตรวจสอบภาษีในขั้นตอนต่อไป เขาก็ไม่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวากระทั่งเหยาชั่วเอ่ยถ
นางสั่นไปทั้งตัว ทว่าขาทั้งสองข้างกลับถูกเขากดไว้แน่น"ต้องการให้ข้าขอร้องเช่นไร""เช่นนี้พอหรือไม่"“……”ซูชิงลั่วพูดติดๆ ขัดๆ ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียกนางกัดฟันกรอด : "เช่นนี้ เช่นนี้คือการขอร้องหรือเจ้าคะ""จะไม่ใช่ได้อย่างไร" ดวงตาของลู่เหิงจือลุ่มลึก ส่วนมือก็ยื่นเข้าไป จงใจเคลื่อนไหวไปมาเบาๆ "ข้าชอบขอร้องคนเช่นนี้"“……”ค่ำคืนนี้ ซูชิงลั่วได้สัมผัสจากหลายๆ ด้านแล้วว่าสิ่งใดคือการขอร้องกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นเสียงแมวร้องอีก นางจึงไม่กล้าส่งเสียงนัก สุดท้ายก็ซุกหน้าของตนไว้ในผ้าห่ม จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนของลู่เหิงจือ"ขอร้องเจ้าล่ะ ร้องออกมาสิ"นางสาบานว่าจะไม่มีทางอยากรู้อีกแล้วว่าเขาขอร้องเช่นไรเช้าวันรุ่งขึ้น สีหน้าของนางดูหมดอาลัยตายอยากลู่เหิงจือตื่นขึ้นมาด้วยความกระชุ่มกระชวย หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอื้อมมือมาตีแก้มนางเบาๆ : "น้องหญิงอย่าลืมลดราคา"ซูชิงลั่วถลึงตาใส่เขา...ผู้ชายต่ำช้า ร้ายกาจเสียจริงลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "หรือน้องหญิงต้องการให้ข้าขอร้องเจ้าอีกครั้งคืนนี้"แทงใจดำเหลือเกินซูชิงลั่วพลันหลับตาปี๋ :
"อย่า" ซูชิงลั่วขัดดวงตาใสสว่างของนางมองไปยังลู่เหิงจือ "พี่สาม พ่อข้า..."เวลาที่พ่อแม่จากไปผ่านไปนานขึ้นเรื่อยๆ นานจนนางเหมือนจะไม่มีความผูกพันกับบ้านเดิมของนางแล้วอาศัยแค่ความทรงจำค่อยๆ หวนนึกขึ้นมาทีละครั้ง แต่กลับถูกเวลาลบเลือนจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะบอกเล่าความรู้สึกที่ซับซ้อนเช่นนี้ให้กับลู่เหิงจือฟังเช่นไรลู่เหิงจือสบตานาง ราวกับเข้าใจความรู้สึกภายในใจนางแล้ว"รับไว้เถอะ" น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดคราบถ่านที่อยู่บนใบหน้าของนางด้วยความเอ็นดูซูชิงลั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาขอบคุณพลางเอ่ย : "คำพูดล้อเล่นของพ่อข้า ท่านก็เชื่อจริงจัง ข้าก็แต่งกับท่านแล้วนี่อย่างไร"ลู่เหิงจือไม่ได้ปฏิเสธ สีหน้าบ่งบอกว่า "ไม่สนว่าใคร แต่ต้องอยู่ให้ห่างจากภรรยาข้าทั้งสิ้น ทว่าครั้งนี้ต้องฝืนไปก่อน"สิ่งที่หลี่ว์เผิงเทียนมอบให้ไม่ใช่สิ่งของมีค่าอะไร สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือเป็ดตัวเป็นๆ หลายตัวที่จับมาจากจินหลิงลู่เหิงจือแสดงฝีมือเพื่อเอาใจภรรยา ให้ซูชิงลั่วได้ลิ้มรสชาติเป็ดตัวอวบอ้วนจากบ้านเกิดของตน เป็ดในเมืองหลวงผอมแห้งเกินไป
ทันทีที่นางพูดจบก็เห็นสายตาของลู่เหิงจือดูดุร้ายขึ้นมากะทันหัน ทำให้นางตกใจจนผงะถอยหลังไปลู่เหิงจือยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ได้ยินชายที่ขายโคมไฟอยู่ข้างทางพูดขึ้นมา : "เป็นถึงลูกสาวผู้ตรวจการมณฑล พูดจาอย่างผู้ไม่ได้รับการอบรมเช่นนี้น่ะหรือ นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีจิตใจดี ลดราคาข้าวแล้วขายให้พวกเรา ใครกล้าว่านางน่าเกลียดก็คือผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาวบ้านเมืองหังโจวที่สุด""ใช่แล้ว อีกอย่าง นายหญิงของอัครมหาเสนาบดีน่าเกลียดอย่างไร นางยิ่งมองก็ยิ่งงาม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น..."“……”ซูชิงลั่วมองดูพ่อค้าที่กำลังพูดประโยคนี้อยู่ด้วยสายตาสับสน ตัดสินใจหันไปบอกให้จื๋อหยวนไปซื้อโคมไฟมาสองสามโคม ประโยคที่ขัดต่อความในใจเช่นนี้ลำบากเขาแล้วที่ต้องพูดออกมาแต่นางคิดไม่ถึงว่า แค่ทำเรื่องเล็กเรื่องเดียว ชาวบ้านเมืองหังโจวจะชื่นชมนางเช่นนี้ ทั้งยังกล้าที่จะออกมามีเรื่องกับลูกสาวผู้ตรวจการมณฑลเสียอีก นางซาบซึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกลู่เหิงจือเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน เห็นผู้คนมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากจะให้เรื่องนี้วุ่นวายใหญ่โต จึงเอ่ยปากออกไป : "ไว้ข้าจะเขียนจดหมายไปถึงผู้ตรวจการมณฑลหวัง ให้เขาอบรม