แต่ในใจนางก็เริ่มตระหนักได้ว่า หลังจากได้เป็นภรรยาของลู่เหิงจือแล้ว เกรงว่าต่อไปจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งคราว นางคงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองจัดการเรื่องแบบนี้ไม่เป็นได้นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็ลงโทษนางกักบริเวณสักหนึ่งเดือนเถิด"คงจะรุนแรงพอแล้วใช่ไหม?ลู่เหิงจือขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวลู่หมิงซือพอได้ยินเช่นนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหญิงชราเองก็ถอนหายใจเช่นกันแล้วกล่าวว่า "ชิงลั่วจิตใจดีเสมอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ลงโทษหมิงซือกักบริเวณครึ่งปี ลดเบี้ยเลี้ยงลงครึ่งหนึ่ง และให้คัดกฎแห่งสตรีสามบททุกวัน"เมื่อซูชิงลั่วเอ่ยปากไปแล้ว ลู่เหิงจือจึงไม่อาจแย้งได้ เขาพูดเสียงเรียบว่า "ขายตัวสาวใช้ของนางออกไปเสีย"น้ำตาของลู่หมิงซือไหลพราก "ไม่...ไม่ได้นะ...เยว่เสี่ยวเติบโตมากับข้าตั้งแต่เล็ก ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรด..."นางพุ่งเข้ามากอดเท้าซูชิงลั่ว ดึงชายกระโปรงของนาง "ท่านพี่ ข้าขอร้องล่ะ จะให้เยว่เสี่ยวถูกขายไม่ได้นะ ข้าขอร้องล่ะ…"ซูชิงลั่วเริ่มรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อยจึงหันไปมองลู่เหิงจือลู่เหิงจือจับมือนางไว้ บีบเบาๆ นางจึงไม่เอ่ยอะไรออกไปอีกเรื่องราวจึงได้
หน้าอกร้อนผ่าวของเขา แนบชิดกับแผ่นหลังของนาง ส่งต่อความร้อนและจังหวะหัวใจรัวเร็วให้นางได้สัมผัสเขาบอกว่า "ชอบเจ้า" สองคำด้วยเน้ำสียงเรียบเฉย เหมือนกำลังพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป ทว่าความธรรมดานั้นแฝงด้วยความจงใจ จึงดูไม่เป็นธรรมชาตินักซูชิงลั่วนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำว่า "ชอบนาง" ตรงๆ แบบนี้ นางนึกว่าจะต้องรบเร้ากันมากกว่านี้เสียอีกนางรู้สึกถึงมือของเขาที่วางอยู่บนเอวของนาง สั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับว่าเขากำลังประหม่าอยู่ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ คนผู้นี้ที่รับมือกับฮ่องเต้และขุนนางในราชสำนักได้อย่างสงบนิ่ง ทว่าตอนนี้กลับดูประหม่าเสียเองเมื่อคิดว่าเป็นเพราะตัวนางที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หัวใจของนางก็พลันอบอวลด้วยความหวานและความอิ่มเอมลู่เหิงจือกอดนางอยู่นาน โดยไม่ได้ขยับไปไหนผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฮูหยิน เจ้าถามเรื่องนี้ใช่หรือไม่?""อืม" ซูชิงลั่วตอบเบาๆ "ถ้าท่านบอกตั้งแต่แรก...ก็คงดี…"ใบหูนางแดงก่ำ เริ่มรู้สึกเขินอาย ราวกับลูกแมวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาหัวใจของลู่เหิงจือที่เคยตื่นตระหนกก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปลายนิ้วของเขาไม่สั่นอีกต่อไป
เปลวเทียนสั่นไหวเล็กน้อย มีเสียงลมพัดจากด้านนอกไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วพรหมลิขิตจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนซูชิงลั่วนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ความทรงจำยังคงแจ่มชัดไม่ลืมเลือนปีนั้น นางได้สูญเสียครอบครัวไปบิดาของนางตกจากม้าและล้มป่วยหนัก จากไปในเดือนมีนาคมหลังจากที่คลอดนาง มารดาก็มีสุขภาพอ่อนแอมาโดยตลอด หลังจากที่บิดาเสีย มารดานางก็พยายามประคับประคองตระกูลซูไว้ แต่ก็มาล้มป่วยในเดือนสิงหาคม และจากไปอย่างกะทันหันตระกูลซูก็เริ่มสั่นคลอนจนแทบจะล่มสลาย บ่าวไพร่ต่างพากันหนีหายพร้อมกับกวาดทองคำและทรัพย์สินไปมากมาย จนกระทั่งลู่โย่วมา ตระกูลซูถึงพอประคับประคองไปต่อได้แต่ครอบครัวของนางก็พังทลายลงไปแล้วนางในตอนนั้นยังไม่รู้ความอะไรมาก ได้แต่มองลู่โย่วและหัวหน้าตระกูลซูจัดการทุกอย่างในบ้านทีละอย่างๆ ทำเอกสารแล้วพานางกลับมายังเมืองหลวงในตอนนั้นสำหรับนาง ลู่โย่วคือญาติเพียงคนเดียว และเป็นคนที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากวิกฤติดังนั้นหลายปีมานี้ นางจึงรู้สึกขอบคุณลู่โย่วอยู่เสมอรวมถึงลู่เหิงจือที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบหกปีด้วยวันที่นางขึ้นเรือเพื่อกลับเมืองหลวง นางได้พบกับลู่เหิงจือเป็น
โจรคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่าเขาใช้มือกุมบาดแผลที่ไหล่ เลือดไหลซึมผ่านระหว่างนิ้วเดิมคิดว่าเขาน่าจะต่อว่านางที่ช่วยอะไรไม่ได้ ขนาดนางเองก็ยังเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์แต่เขากลับพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "ไม่เป็นไร อย่ากลัว"น้ำเสียงของเขาแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกปลอบประโลมอย่างมากน้ำตาของนางไหลพรั่งพรูออกมา อยากยื่นมือไปช่วยพยุงเขา แต่เขากลับหันหลังแล้วพูดว่า "ไปเถอะ"พวกเขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ตลอดทางมีศพนอนเรียงรายอยู่นางกับจื๋อหยวนไม่กล้ามอง ต่างพยุงกันเข้าไปในห้องลู่โย่วก็ได้รับบาดเจ็บ เด็กรับใช้ข้างกายร้องไห้พูดว่า "ต้องรอถึงฝั่งก่อนถึงจะหาหมอได้ ตอนนั้นไม่สู้ให้นายท่านนั่งเรือลำเล็กไปแจ้งทางการก่อนดีกว่า จะทำอย่างไรถ้าเลือดไม่หยุดไหล?"ลู่โย่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "เหลวไหล? บุตรสาวเพียงคนเดียวของพี่สาวข้ายังอยู่บนเรือ ข้าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างไร?"เลือดยังคงไหลไม่หยุด"ท่านน้า" นางเรียกเขา ลู่โย่วหันมายิ้มให้นางอย่างอ่อนแรงนางรีบเดินไปหยิบผ้าพันแผลจากมือของเด็กรับใช้และเปลี่ยนที่ออกแรงกดบาดแผลไว้ เลือดหยุดไหลในทันทีเด็กรับใช้ตกตะลึงอย่างมาก
ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความเขินอายนางยกมือยันหน้าอกของลู่เหิงจือไว้ พลางได้ยินเขาพูดว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เจ้าคิดดีกว่าเถิดว่าจะทำอย่างไรให้ข้ามีความสุขในตอนนี้"เสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ ค่อยๆ จูบเช็ดน้ำตาของนางอย่างแผ่วเบาริมฝีปากอ่อนนุ่มไล่จูบจากเปลือกตาลงมาจนถึงแก้ม และไล่ลงไปถึงปลายคางของนาง"เหตุใดเจ้าถึงขี้ขลาดนัก?" ลู่เหิงจือนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งอยู่บนเรือ ริมฝีปากหยุดที่ริมฝีปากของนางก่อนจะเอ่ยเบาๆเหตุการณ์ทั้งหมดก็ผ่านมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว นางกลับยังกลัวจนร้องไห้ได้แต่เมื่อซูชิงลั่วได้ยินคำพูดนั้น ความหมายมันกลับแปรเปลี่ยนไป นางคิดว่าเขากำลังเยาะเย้ยตัวนางในตอนนี้นางหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดึงคอเสื้อของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเสียหน่อย"ลู่เหิงจือหันหน้าหนีเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงดวงตาของนางส่องประกายราวกับจิ้งจอกน้อย มีความไร้เดียงสาและดื้อดึงอยู่ในที บนใบหน้าของนางปรากฏแววของคนที่ตัดสินใจแล้วลู่เหิงจือยังไม่ทันเข้าใจความหมายของสีหน้านางในตอนนี้ ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วจูบเขาลู่เหิงจือสะดุ้งต
ซูชิงลั่วกลับมาจากเรือนของท่านย่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ อยู่ดีๆ นางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ว่า นางควรจะดูตำรานั่นดีไหมนะอย่างไรในอนาคต...พวกเขาก็น่าจะต้องเข้าหอกันแต่พอเดินไปถึงหน้าเก้าอี้ที่วางกล่องอยู่ ยื่นมือไปจะหยิบตำราที่ซ่อนอยู่ใต้กล่อง นางก็รู้สึกตัวขึ้นมา สงสัยตัวเองว่าถูกสาปหรือไร ถึงได้มีความคิดเช่นนี้ รีบปิดกล่องลงราวกับถูกไฟลวกนางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง หยิบด้ายมาเย็บเสื้อของลู่เหิงจือเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกระหว่างที่เย็บไปเรื่อยๆ ในหัวกลับไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงฉากที่เขากอดจูบนางใต้ผ้าห่มเมื่อคืน ยิ่งคิดใบหน้าของนางเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้งนางเย็บไปพลาง ตีผ้าสีขาวนวลในมือตัวเองไปพลาง "ต้องโทษท่านนั่นแหละ!"วันนี้นางเอาแต่คิดอะไรเหลวไหลอยู่ได้?จื๋อหยวนเดินเข้ามารับใช้นางพอดี เมื่อเห็นท่าทางของซูชิงลั่วก็สงสัย "โทษใครหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่วทำหน้าไม่ถูก พึ่งจะรู้ตัวว่าพูดความคิดในใจออกมา จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด "ไปชงชาให้ข้าหน่อย ข้าคอแห้ง"จื๋อหยวนรีบไปชงชาให้ตามคำสั่งทันทีหลังจากดื่มชา นางก็เริ่มปักเสื้อต่อ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน
"ไหนเขาบอกว่าจะต้องเจอหลายคนไม่ใช่หรือ?"ซ่งเหวินตอบว่า "บรรดาขุนนางพวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี กรมขุนนางต้องทำการประเมิน ใต้เท้ามีฎีการอที่ต้องจัดการเต็มไปหมด กองราวเป็นภูเขาเลยจริงๆ จนไม่มีเวลามาทานข้าวได้ขอรับ"แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลามาหา แต่ก็ยังเรียกให้นางไปทานข้าวด้วยกันซูชิงลั่วรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่านางดีใจมากเกินไป ดูจะไม่สุภาพนางจึงตอบเสียงเรียบๆ ว่า "รู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปในไม่ช้า"ซ่งเหวินยิ้มรับคำแล้วส่งสายตาเชิงว่า "เร็วหน่อย" ให้จื๋อหยวนซ่งเหวินเพิ่งออกไป ซูชิงลั่วก็คว้ามือจื๋อหยวนแล้วพูดว่า "เร็ว เติมหน้าให้ข้าใหม่เร็วๆ หน่อย อย่าให้เขารอนานเกินไป"จื๋อหยวนรู้สึกขบขัน แต่ก็รีบแต่งหน้าเติมแป้งและสีปากให้กับนางซูชิงลั่วมองกระจกอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า "ไปกันเถอะ"แม้ลู่เหิงจือจะบอกแล้วว่าจื๋อหยวนและอวี้จู๋สามารถเข้าออกเรือนหน้าได้ตามสบาย แต่เมื่อต้องไปข้างนอกจื๋อหยวนมักรับหน้าที่เป็นคนติดตามซูชิงลั่ว อวี้จู๋มองตามจื๋อหยวนที่ติดตามซูชิงลั่วออกไปก็ได้แต่อิจฉาเมื่อเข้ามาในลาน
ซูชิงลั่วไม่กล้ามองสีหน้าของลู่เหิงจือ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกซ่งเหวินให้ลุกไปกินข้าวกับจื๋อหยวนซ่งเหวินกล่าวขอบคุณไม่หยุด ปากก็ชมซูชิงลั่วไม่ขาดราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ พอนางกลับมานั่ง ลู่เหิงจือก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ กินข้าวไปอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเขามีความคิดที่จะเชิญนางมาร่วมมื้ออาหารนานแล้วหรือไม่ บนโต๊ะจึงมีซาลาเปาไส้น้ำซุปไก่ที่นางชอบมากอยู่ด้วยซูชิงลั่วกัดไปหนึ่งคำ พอกลืนลงไปแล้วก็ถามว่า "นี่ทำจากห้องครัวเล็กของท่านที่นี่หรือ?""อืม" ลู่เหิงจือตอบ พร้อมถามว่า "ไม่อร่อยหรือ?""ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่เหมือนจะสู้ฝีมือซ่งเหวินไม่ได้" ซูชิงลั่วอดที่พูดความเห็นไม่ได้ "แต่ซ่งเหวินยุ่งเช่นนี้ จะให้เขาทำอาหารบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรนางคิดว่าลู่เหิงจือคงเคร่งครัดเรื่องไม่พูดขณะกิน ซูชิงลั่วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ได้กินข้าวกับเขาเงียบๆ แบบนี้นางก็มีความสุขแล้วหลังทานอาหารเสร็จ ซูชิงลั่วมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาที่สูงเหมือนภูเขาแล้วพูดว่า "อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว"ก็?ลู่เหิงจือจับสังเกตได