Share

บทที่ 134

Author: หอมดังเดิม
last update Last Updated: 2024-09-20 18:00:00
หน้าอกร้อนผ่าวของเขา แนบชิดกับแผ่นหลังของนาง ส่งต่อความร้อนและจังหวะหัวใจรัวเร็วให้นางได้สัมผัส

เขาบอกว่า "ชอบเจ้า" สองคำด้วยเน้ำสียงเรียบเฉย เหมือนกำลังพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป ทว่าความธรรมดานั้นแฝงด้วยความจงใจ จึงดูไม่เป็นธรรมชาตินัก

ซูชิงลั่วนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำว่า "ชอบนาง" ตรงๆ แบบนี้ นางนึกว่าจะต้องรบเร้ากันมากกว่านี้เสียอีก

นางรู้สึกถึงมือของเขาที่วางอยู่บนเอวของนาง สั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกับว่าเขากำลังประหม่าอยู่

ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ คนผู้นี้ที่รับมือกับฮ่องเต้และขุนนางในราชสำนักได้อย่างสงบนิ่ง ทว่าตอนนี้กลับดูประหม่าเสียเอง

เมื่อคิดว่าเป็นเพราะตัวนางที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ หัวใจของนางก็พลันอบอวลด้วยความหวานและความอิ่มเอม

ลู่เหิงจือกอดนางอยู่นาน โดยไม่ได้ขยับไปไหน

ผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฮูหยิน เจ้าถามเรื่องนี้ใช่หรือไม่?"

"อืม" ซูชิงลั่วตอบเบาๆ "ถ้าท่านบอกตั้งแต่แรก...ก็คงดี…"

ใบหูนางแดงก่ำ เริ่มรู้สึกเขินอาย ราวกับลูกแมวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา

หัวใจของลู่เหิงจือที่เคยตื่นตระหนกก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปลายนิ้วของเขาไม่สั่นอีกต่อไป

Locked Chapter
Continue to read this book on the APP

Related chapters

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 135

    เปลวเทียนสั่นไหวเล็กน้อย มีเสียงลมพัดจากด้านนอกไม่คิดเลยว่าจริงๆ แล้วพรหมลิขิตจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนซูชิงลั่วนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ความทรงจำยังคงแจ่มชัดไม่ลืมเลือนปีนั้น นางได้สูญเสียครอบครัวไปบิดาของนางตกจากม้าและล้มป่วยหนัก จากไปในเดือนมีนาคมหลังจากที่คลอดนาง มารดาก็มีสุขภาพอ่อนแอมาโดยตลอด หลังจากที่บิดาเสีย มารดานางก็พยายามประคับประคองตระกูลซูไว้ แต่ก็มาล้มป่วยในเดือนสิงหาคม และจากไปอย่างกะทันหันตระกูลซูก็เริ่มสั่นคลอนจนแทบจะล่มสลาย บ่าวไพร่ต่างพากันหนีหายพร้อมกับกวาดทองคำและทรัพย์สินไปมากมาย จนกระทั่งลู่โย่วมา ตระกูลซูถึงพอประคับประคองไปต่อได้แต่ครอบครัวของนางก็พังทลายลงไปแล้วนางในตอนนั้นยังไม่รู้ความอะไรมาก ได้แต่มองลู่โย่วและหัวหน้าตระกูลซูจัดการทุกอย่างในบ้านทีละอย่างๆ ทำเอกสารแล้วพานางกลับมายังเมืองหลวงในตอนนั้นสำหรับนาง ลู่โย่วคือญาติเพียงคนเดียว และเป็นคนที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากวิกฤติดังนั้นหลายปีมานี้ นางจึงรู้สึกขอบคุณลู่โย่วอยู่เสมอรวมถึงลู่เหิงจือที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบหกปีด้วยวันที่นางขึ้นเรือเพื่อกลับเมืองหลวง นางได้พบกับลู่เหิงจือเป็น

    Last Updated : 2024-09-20
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 136

    โจรคนนั้นล้มลงกับพื้นอย่างหมดท่าเขาใช้มือกุมบาดแผลที่ไหล่ เลือดไหลซึมผ่านระหว่างนิ้วเดิมคิดว่าเขาน่าจะต่อว่านางที่ช่วยอะไรไม่ได้ ขนาดนางเองก็ยังเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์แต่เขากลับพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "ไม่เป็นไร อย่ากลัว"น้ำเสียงของเขาแม้จะฟังดูเรียบง่าย แต่กลับให้ความรู้สึกปลอบประโลมอย่างมากน้ำตาของนางไหลพรั่งพรูออกมา อยากยื่นมือไปช่วยพยุงเขา แต่เขากลับหันหลังแล้วพูดว่า "ไปเถอะ"พวกเขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ตลอดทางมีศพนอนเรียงรายอยู่นางกับจื๋อหยวนไม่กล้ามอง ต่างพยุงกันเข้าไปในห้องลู่โย่วก็ได้รับบาดเจ็บ เด็กรับใช้ข้างกายร้องไห้พูดว่า "ต้องรอถึงฝั่งก่อนถึงจะหาหมอได้ ตอนนั้นไม่สู้ให้นายท่านนั่งเรือลำเล็กไปแจ้งทางการก่อนดีกว่า จะทำอย่างไรถ้าเลือดไม่หยุดไหล?"ลู่โย่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "เหลวไหล? บุตรสาวเพียงคนเดียวของพี่สาวข้ายังอยู่บนเรือ ข้าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างไร?"เลือดยังคงไหลไม่หยุด"ท่านน้า" นางเรียกเขา ลู่โย่วหันมายิ้มให้นางอย่างอ่อนแรงนางรีบเดินไปหยิบผ้าพันแผลจากมือของเด็กรับใช้และเปลี่ยนที่ออกแรงกดบาดแผลไว้ เลือดหยุดไหลในทันทีเด็กรับใช้ตกตะลึงอย่างมาก

    Last Updated : 2024-09-20
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 137

    ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความเขินอายนางยกมือยันหน้าอกของลู่เหิงจือไว้ พลางได้ยินเขาพูดว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เจ้าคิดดีกว่าเถิดว่าจะทำอย่างไรให้ข้ามีความสุขในตอนนี้"เสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ ค่อยๆ จูบเช็ดน้ำตาของนางอย่างแผ่วเบาริมฝีปากอ่อนนุ่มไล่จูบจากเปลือกตาลงมาจนถึงแก้ม และไล่ลงไปถึงปลายคางของนาง"เหตุใดเจ้าถึงขี้ขลาดนัก?" ลู่เหิงจือนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งอยู่บนเรือ ริมฝีปากหยุดที่ริมฝีปากของนางก่อนจะเอ่ยเบาๆเหตุการณ์ทั้งหมดก็ผ่านมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว นางกลับยังกลัวจนร้องไห้ได้แต่เมื่อซูชิงลั่วได้ยินคำพูดนั้น ความหมายมันกลับแปรเปลี่ยนไป นางคิดว่าเขากำลังเยาะเย้ยตัวนางในตอนนี้นางหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดึงคอเสื้อของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเสียหน่อย"ลู่เหิงจือหันหน้าหนีเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงดวงตาของนางส่องประกายราวกับจิ้งจอกน้อย มีความไร้เดียงสาและดื้อดึงอยู่ในที บนใบหน้าของนางปรากฏแววของคนที่ตัดสินใจแล้วลู่เหิงจือยังไม่ทันเข้าใจความหมายของสีหน้านางในตอนนี้ ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วจูบเขาลู่เหิงจือสะดุ้งต

    Last Updated : 2024-09-21
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 138

    ซูชิงลั่วกลับมาจากเรือนของท่านย่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ อยู่ดีๆ นางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ว่า นางควรจะดูตำรานั่นดีไหมนะอย่างไรในอนาคต...พวกเขาก็น่าจะต้องเข้าหอกันแต่พอเดินไปถึงหน้าเก้าอี้ที่วางกล่องอยู่ ยื่นมือไปจะหยิบตำราที่ซ่อนอยู่ใต้กล่อง นางก็รู้สึกตัวขึ้นมา สงสัยตัวเองว่าถูกสาปหรือไร ถึงได้มีความคิดเช่นนี้ รีบปิดกล่องลงราวกับถูกไฟลวกนางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง หยิบด้ายมาเย็บเสื้อของลู่เหิงจือเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกระหว่างที่เย็บไปเรื่อยๆ ในหัวกลับไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงฉากที่เขากอดจูบนางใต้ผ้าห่มเมื่อคืน ยิ่งคิดใบหน้าของนางเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้งนางเย็บไปพลาง ตีผ้าสีขาวนวลในมือตัวเองไปพลาง "ต้องโทษท่านนั่นแหละ!"วันนี้นางเอาแต่คิดอะไรเหลวไหลอยู่ได้?จื๋อหยวนเดินเข้ามารับใช้นางพอดี เมื่อเห็นท่าทางของซูชิงลั่วก็สงสัย "โทษใครหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่วทำหน้าไม่ถูก พึ่งจะรู้ตัวว่าพูดความคิดในใจออกมา จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด "ไปชงชาให้ข้าหน่อย ข้าคอแห้ง"จื๋อหยวนรีบไปชงชาให้ตามคำสั่งทันทีหลังจากดื่มชา นางก็เริ่มปักเสื้อต่อ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน

    Last Updated : 2024-09-21
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 139

    "ไหนเขาบอกว่าจะต้องเจอหลายคนไม่ใช่หรือ?"ซ่งเหวินตอบว่า "บรรดาขุนนางพวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี กรมขุนนางต้องทำการประเมิน ใต้เท้ามีฎีการอที่ต้องจัดการเต็มไปหมด กองราวเป็นภูเขาเลยจริงๆ จนไม่มีเวลามาทานข้าวได้ขอรับ"แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลามาหา แต่ก็ยังเรียกให้นางไปทานข้าวด้วยกันซูชิงลั่วรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่านางดีใจมากเกินไป ดูจะไม่สุภาพนางจึงตอบเสียงเรียบๆ ว่า "รู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปในไม่ช้า"ซ่งเหวินยิ้มรับคำแล้วส่งสายตาเชิงว่า "เร็วหน่อย" ให้จื๋อหยวนซ่งเหวินเพิ่งออกไป ซูชิงลั่วก็คว้ามือจื๋อหยวนแล้วพูดว่า "เร็ว เติมหน้าให้ข้าใหม่เร็วๆ หน่อย อย่าให้เขารอนานเกินไป"จื๋อหยวนรู้สึกขบขัน แต่ก็รีบแต่งหน้าเติมแป้งและสีปากให้กับนางซูชิงลั่วมองกระจกอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า "ไปกันเถอะ"แม้ลู่เหิงจือจะบอกแล้วว่าจื๋อหยวนและอวี้จู๋สามารถเข้าออกเรือนหน้าได้ตามสบาย แต่เมื่อต้องไปข้างนอกจื๋อหยวนมักรับหน้าที่เป็นคนติดตามซูชิงลั่ว อวี้จู๋มองตามจื๋อหยวนที่ติดตามซูชิงลั่วออกไปก็ได้แต่อิจฉาเมื่อเข้ามาในลาน

    Last Updated : 2024-09-21
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 140

    ซูชิงลั่วไม่กล้ามองสีหน้าของลู่เหิงจือ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกซ่งเหวินให้ลุกไปกินข้าวกับจื๋อหยวนซ่งเหวินกล่าวขอบคุณไม่หยุด ปากก็ชมซูชิงลั่วไม่ขาดราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ พอนางกลับมานั่ง ลู่เหิงจือก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ กินข้าวไปอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเขามีความคิดที่จะเชิญนางมาร่วมมื้ออาหารนานแล้วหรือไม่ บนโต๊ะจึงมีซาลาเปาไส้น้ำซุปไก่ที่นางชอบมากอยู่ด้วยซูชิงลั่วกัดไปหนึ่งคำ พอกลืนลงไปแล้วก็ถามว่า "นี่ทำจากห้องครัวเล็กของท่านที่นี่หรือ?""อืม" ลู่เหิงจือตอบ พร้อมถามว่า "ไม่อร่อยหรือ?""ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่เหมือนจะสู้ฝีมือซ่งเหวินไม่ได้" ซูชิงลั่วอดที่พูดความเห็นไม่ได้ "แต่ซ่งเหวินยุ่งเช่นนี้ จะให้เขาทำอาหารบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรนางคิดว่าลู่เหิงจือคงเคร่งครัดเรื่องไม่พูดขณะกิน ซูชิงลั่วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ได้กินข้าวกับเขาเงียบๆ แบบนี้นางก็มีความสุขแล้วหลังทานอาหารเสร็จ ซูชิงลั่วมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาที่สูงเหมือนภูเขาแล้วพูดว่า "อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว"ก็?ลู่เหิงจือจับสังเกตได

    Last Updated : 2024-09-21
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 141

    ยามนั้น เขาขัดสนเรื่องเงินทอง โชคดีที่ยามเด็กร่างกายแข็งแรง ได้เล่าเรียนวิชาต่อสู้ชกต่อยอย่างง่ายๆ มาบ้าง ลู่โย่วจึงเรียกให้เขาไปที่จินหลิง ไปครั้งหนึ่งได้เงินยี่สิบตำลึง เขาจึงไปการดูแลปกป้องเรือทั้งลำก็อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นกันหลังจากที่ช่วยเหลือลู่โย่วและนาง ลู่โย่วก็มอบเงินห้าสิบตำลึงให้เป็นการตอบแทนส่วนนางมอบทองให้หลายก้อน แหวนยกปานจื่อหนึ่งวง พร้อมทั้งเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อผ้าช้ันดีอีกหลายชุดตั้งแต่ยามนั้นก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่เอาใจใส่มาก เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ ต่อให้เขาหาเงินมาได้จริง ก็ไม่มีทางทำใจซื้อลง อีกทั้งทองคำก้อนเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถเตรียมสอบคัดเลือกขุนนางได้อย่างเบาใจในช่วงหลายปีนั้น ไม่ต้องวิ่งวุ่นเพราะเรื่องเงินทองอีกส่วนแหวนวงนั้น หากสอบไม่ผ่านก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้ราคาสูงไม่น้อยแต่เขาทำไม่ลง เก็บรักษาไว้ตลอด กระทั่งได้รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีถึงได้นำออกมาใส่ กลับเหมาะสมกับฐานะของเขาในตอนนี้ยิ่งนักลู่เหิงจือก้มหน้ากวาดสายตามองดูแหวนบนนิ้วหัวแม่มือ ทันใดนั้นเองก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางกะทันหัน ทว่าเพียงพริบตาเดียว ก็กดทับลิ้นของนางตาม

    Last Updated : 2024-09-22
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 142

    เขายังมีหน้ามาพูดอีกซูชิงลั่วเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด กระแทกประตูเสียงดังถึงอย่างไรลู่เหิงจือก็ปกครองเรือนอย่างเข้มงวด นางจะกระแทกประตูหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไปซ่งเหวินได้ยินก็สะดุ้งตกใจ คิดว่าใต้เท้าของตนหาเรื่องให้นายหญิงโกรธเสียแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเห็นซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเล็กน้อย พอนึกถึงเสียงภายในห้องเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไร พลันก้มหน้า ไม่กล้ามองอีกจื๋อหยวนมองไปที่นางพลางเอ่ยถาม : "นายหญิง เหตุใดปากของท่านถึงบวมได้ ตอนเที่ยงกินอาหารเผ็ดมาหรือ""..." ซูชิงลั่วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก "กลับกัน"จื๋อหยวนมึนงง ซ่งเหวินส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นาง นางก็เข้าใจทันที แล้วก็พลอยหน้าแดงตามไปด้วย ก่อนจะรีบเดินตามไปหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากเรือนไป ซ่งเหวินถึงจะเข้าไปรินน้ำชาให้ลู่เหิงจืออย่างระแวดระวังเห็นฎีกาบนโต๊ะวางกองอยู่อย่างยุ่งเหยิงก็เดินเข้าไปจัดด้วยท่าทางสงบนิ่งโชคดีที่เขาก็เป็นคนข้างกายของอัครมหาเสนาบดี พบเจอเหตุการณ์เล็กใหญ่มาไม่น้อย ทำให้ไม่ลนลานลู่เหิงจือเอนหลังพิงไปบนพนักเก้าอี้ นิ้วมือเคาะบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อยหล

    Last Updated : 2024-09-22

Latest chapter

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status