ซูชิงลั่วไม่กล้ามองสีหน้าของลู่เหิงจือ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกซ่งเหวินให้ลุกไปกินข้าวกับจื๋อหยวนซ่งเหวินกล่าวขอบคุณไม่หยุด ปากก็ชมซูชิงลั่วไม่ขาดราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ พอนางกลับมานั่ง ลู่เหิงจือก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ กินข้าวไปอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเขามีความคิดที่จะเชิญนางมาร่วมมื้ออาหารนานแล้วหรือไม่ บนโต๊ะจึงมีซาลาเปาไส้น้ำซุปไก่ที่นางชอบมากอยู่ด้วยซูชิงลั่วกัดไปหนึ่งคำ พอกลืนลงไปแล้วก็ถามว่า "นี่ทำจากห้องครัวเล็กของท่านที่นี่หรือ?""อืม" ลู่เหิงจือตอบ พร้อมถามว่า "ไม่อร่อยหรือ?""ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่เหมือนจะสู้ฝีมือซ่งเหวินไม่ได้" ซูชิงลั่วอดที่พูดความเห็นไม่ได้ "แต่ซ่งเหวินยุ่งเช่นนี้ จะให้เขาทำอาหารบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรนางคิดว่าลู่เหิงจือคงเคร่งครัดเรื่องไม่พูดขณะกิน ซูชิงลั่วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ได้กินข้าวกับเขาเงียบๆ แบบนี้นางก็มีความสุขแล้วหลังทานอาหารเสร็จ ซูชิงลั่วมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาที่สูงเหมือนภูเขาแล้วพูดว่า "อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว"ก็?ลู่เหิงจือจับสังเกตได
ยามนั้น เขาขัดสนเรื่องเงินทอง โชคดีที่ยามเด็กร่างกายแข็งแรง ได้เล่าเรียนวิชาต่อสู้ชกต่อยอย่างง่ายๆ มาบ้าง ลู่โย่วจึงเรียกให้เขาไปที่จินหลิง ไปครั้งหนึ่งได้เงินยี่สิบตำลึง เขาจึงไปการดูแลปกป้องเรือทั้งลำก็อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นกันหลังจากที่ช่วยเหลือลู่โย่วและนาง ลู่โย่วก็มอบเงินห้าสิบตำลึงให้เป็นการตอบแทนส่วนนางมอบทองให้หลายก้อน แหวนยกปานจื่อหนึ่งวง พร้อมทั้งเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อผ้าช้ันดีอีกหลายชุดตั้งแต่ยามนั้นก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่เอาใจใส่มาก เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ ต่อให้เขาหาเงินมาได้จริง ก็ไม่มีทางทำใจซื้อลง อีกทั้งทองคำก้อนเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถเตรียมสอบคัดเลือกขุนนางได้อย่างเบาใจในช่วงหลายปีนั้น ไม่ต้องวิ่งวุ่นเพราะเรื่องเงินทองอีกส่วนแหวนวงนั้น หากสอบไม่ผ่านก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้ราคาสูงไม่น้อยแต่เขาทำไม่ลง เก็บรักษาไว้ตลอด กระทั่งได้รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีถึงได้นำออกมาใส่ กลับเหมาะสมกับฐานะของเขาในตอนนี้ยิ่งนักลู่เหิงจือก้มหน้ากวาดสายตามองดูแหวนบนนิ้วหัวแม่มือ ทันใดนั้นเองก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางกะทันหัน ทว่าเพียงพริบตาเดียว ก็กดทับลิ้นของนางตาม
เขายังมีหน้ามาพูดอีกซูชิงลั่วเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด กระแทกประตูเสียงดังถึงอย่างไรลู่เหิงจือก็ปกครองเรือนอย่างเข้มงวด นางจะกระแทกประตูหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไปซ่งเหวินได้ยินก็สะดุ้งตกใจ คิดว่าใต้เท้าของตนหาเรื่องให้นายหญิงโกรธเสียแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเห็นซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเล็กน้อย พอนึกถึงเสียงภายในห้องเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไร พลันก้มหน้า ไม่กล้ามองอีกจื๋อหยวนมองไปที่นางพลางเอ่ยถาม : "นายหญิง เหตุใดปากของท่านถึงบวมได้ ตอนเที่ยงกินอาหารเผ็ดมาหรือ""..." ซูชิงลั่วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก "กลับกัน"จื๋อหยวนมึนงง ซ่งเหวินส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นาง นางก็เข้าใจทันที แล้วก็พลอยหน้าแดงตามไปด้วย ก่อนจะรีบเดินตามไปหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากเรือนไป ซ่งเหวินถึงจะเข้าไปรินน้ำชาให้ลู่เหิงจืออย่างระแวดระวังเห็นฎีกาบนโต๊ะวางกองอยู่อย่างยุ่งเหยิงก็เดินเข้าไปจัดด้วยท่าทางสงบนิ่งโชคดีที่เขาก็เป็นคนข้างกายของอัครมหาเสนาบดี พบเจอเหตุการณ์เล็กใหญ่มาไม่น้อย ทำให้ไม่ลนลานลู่เหิงจือเอนหลังพิงไปบนพนักเก้าอี้ นิ้วมือเคาะบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อยหล
ซูชิงลั่วพลันตีเขาเบาๆ ด้วยความกลัวที่ฝังใจอยู่เล็กน้อย : "ออกไป ท่านออกไป !"“……”นี่ยังไม่เท่าไหร่เลยมือที่ยื่นออกไปของลู่เหิงจือถูกเก็บกลับมากลางคัน : "ข้าไม่ได้ออกแรงมากเท่าใดเลย...""เงียบปาก ท่านเงียบไปเลย !"ลู่เหิงจือกระแอมเบาๆ : "เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำก่อน"ในที่สุดก็สงบลงได้สักทีทว่าซูชิงลั่วพลันนึกขึ้นมาได้ หัวใจที่สงบลงแล้วกลับตื่นตัวขึ้นมาทันควัน : "อะไร ท่านบอกว่าท่านจะทำสิ่งใด""อาบน้ำ" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบซูชิงลั่วมึนงงเล็กน้อย : "อาบ...น้ำ ?"สายตาที่มองมายังนางของลู่เหิงจือก็เรียบเฉยด้วยเช่นนกัน : "อากาศเริ่มหนาวแล้ว เจ้าคงจะไม่ให้ข้าอาบน้ำที่เรือนนู้นก่อนแล้วค่อยมาหรอกใช่หรือไม่ หากมาทั้งที่ผมยังเปียกจะเป็นหวัดได้ง่าย"ซูชิงลั่วไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนหลายวันมานี้ นางเอาแต่หาเวลาที่ลู่เหิงจือไม่มีทางมาอย่างแน่นอนอาบน้ำด้วยความรีบร้อน คิดว่าเขาเองก็เช่นกันนึกว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขากลับจะมาอาบน้ำที่นี่ตั้งแต่ที่บอกว่าชอบนาง เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เหมือนได้คืบจะเอาศอกอยู่เรื่อยนางเงยหน้ามองเขา สายตาของเขาเผยให้เห็นความน่าสงสารอย
ห้องพลันเงียบสงัดลงไปในพริบตาซูชิงลั่วจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ ไหลออกมาลู่เหิงจือก้มลงมองดูตามสายตาของนางปราดหนึ่งจึงกระจ่างในทันที พลันผูกเสื้อชั้นในอย่างรวดเร็ว รีบเดินเข้าไปนั่งริมเตียงแล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่ดีเอง"เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นางเสียใจ เพียงแค่ต้องการจะหาวิธีให้ได้คืบหน้าไปอีกขั้นก็เท่านั้น ไม่คิดว่าภรรยาของตนจะใจอ่อนเพียงนี้ แค่เห็นบาดแผลของเขาก็หลั่งน้ำตาเสียแล้วเขาผูกเสื้อแบบลวกๆ เสื้อชั้นในหลวมโคร่งไม่เข้ารูป บริเวณหน้าอกเปิดออกเล็กน้อย มองจากมุมนี้เห็นแผลเป็นพอดีน้ำตาของซูชิงลั่วไหลลงมาที่หลังมือของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดนางลืมความเขินอายไปหมดสิ้น ยื่นมือเข้าไปในคอเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง แล้วใช้ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นที่ยาวเป็นทางรอยนั้นเบาๆผิวหนังตั้งแต่บริเวณด้านบนหัวใจไปจนถึงกระดูกไหล่ซ้ายนูนขึ้นมาเล็กน้อย พื้นผิวเรียบวาวดุจเครื่องลายคราม ไร้ซึ่งรอยยับใดๆหัวใจของเธอปวดแปลบๆ ราวกับถูกตัวเองเมื่อหลายปีก่อนบนเรือแทงด้วยเช่นกัน"ไม่เป็นไรแล้ว ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างสุขสบายดีแล้วไม่ใช่หรือ" ลู่เหิงจือพูดปลอบนา
เหตุใดถึงได้ลืมอยู่ตลอด หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้เขาเอาแต่...เอาแต่...มือของนางชะงักไปเล็กน้อย ไม่กล้าจะคิดต่อลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "อืม เจ้าว่ามา""ก็คือ...ตอนที่ท่านพ่อของข้าอยู่ที่จินหลิงมักจะช่วยส่งเสียบัณฑิตที่ฐานะยากไร้ ข้าอยากจะใช้ชื่อเสียงของท่านพ่อช่วยส่งเสียบัณฑิตที่เดินทางมาสอบยังเมืองหลวงในนามของร้านขายภาพวาด ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ จึงอยากจะถามท่าน"เพราะมีข่าวลือว่าฮ่องเต้ทรงช่างระแวงสงสัยยิ่งนัก ลู่เหิงจือก็เป็นรัฐมนตรีผู้มีอำนาจ หากการกระทำนี้ของนางถูกมองเป็นการซื้อใจคนจะไม่เป็นการดีลู่เหิงจือขบคิด : "ได้""จริงหรือเจ้าคะ" ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่านางประหลาดใจเพียงใด ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายสว่าง จ้องมองมาที่เขา"นี่เป็นเรื่องที่ดี" เขาอมยิ้ม ทันใดนั้นเองก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก้มลงมองสายตาของเขาเริ่มมืดขรึมทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงได้หน้าเปลี่ยนสีกะทันหันเช่นนี้หลังจากนั้นลู่เหิงจือก็หันหน้าแล้วเอื้อมมือไปจับปลายคางของนางเอาไว้ ก่อนจะพยายามบังคับให้ศีรษะของนางหันมาน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย : "บัณฑิตผู้นั้นทำให้เจ้านึกถึงเรื่องนี้อย่างนั้น
รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของลู่เหิงจือ นึกถึงเรื่องที่เขาจะพานางออกไปข้างนอกวันนี้ นางก็อดดีใจไม่ได้รู้สึกถึงการขยับตัวของนาง ลู่เหิงจือเองก็ลืมตาตื่นด้วยเช่นกันสองมือของซูชิงลั่วเกยคาง ดวงตาใสเป็นประกายดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจ้องมองเขา : "วันนี้จะพาข้าไปที่ใด"ลู่เหิงจือชะงักไปชั่วขณะ : "เกือบลืมบอกเจ้าไปเลย วันนี้พวกเราต้องแยกกันออกเดินทาง"ความเลินเล่อเช่นนี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเขา“……”นี่เขาเตรียมการเช่นไรกันแน่ความตื่นเต้นดีใจในน้ำเสียงของซูชิงลั่วหายไปในพริบตา : "เพราะเหตุใด""เซี่ยถิงอวี่อยากพบกับคุณหนูใหญ่เมิ่งแห่งจวนซิ่นกั๋วกง" เขาตอบกระชับได้ใจความ "ฉะนั้นวันนี้เจ้าเรียกนางไปสักการะที่วัดเซิ่งอัน"ซูชิงลั่วนิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ข่มความสงสัยไว้ไม่อยู่ จึงเอ่ยถาม : "พวกเขา..."ดูเหมือนลู่เหิงจือจะรู้ว่านางต้องการถามสิ่งใดจึงพยักหน้า"แต่ข้าได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่เมิ่งถูกหมั้นหมายไว้ให้องค์รัชทายาท""เป็นเช่นนั้นจริง""เช่นนั้น...""แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า"นึกถึงท่าทางเอ้อระเหยลอยชายไม่เป็นโล้เป็นพายของเซี่ยถิงอวี่ตอนอยู่ที่ป่าทไผ่ นางไม่ประทับใจเขาสักเท่าไหร่น
“……”ซูชิงลั่วพลันหน้าแดงระเรื่อ ไม่ได้มองเขา เพียงแค่รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาลู่เหิงจือ ลู่เหิงจือยื่นมือไปคว้านางเข้ามา"ไปกันเถอะ"ก่อนจะหันหลังเข้าไปในห้องลับ จากนั้นลู่เหิงจือก็หมุนกลไก ตู้เสื้อผ้าค่อยๆ ปิดลงอย่างชัาๆทางเดินมืดสนิท ซูชิงลั่วอดกอดแขนลู่เหิงจือไม่ได้เขาหยิบพับไฟออกมาจากแขนเสื้อ พลางแตะมือนางเบาๆ ด้วยความปลอบโยน : "ไม่ต้องกลัว"นางพยักหน้า แต่มือกลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด ยังคงกังวลอยู่เหมือนเดิมก่อนจะออกไป นางได้ยินเสียงคุยกันดังลอดออกมา"เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงมากมายให้ท่านเลือกได้ตามใจ...""ข้ากลับต้องการแค่เจ้า"ไม่ทันไรก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกคิดไม่ถึงว่าในวัดเซิ่งอันจะซ่อนทางลับเอาไว้ ไม่แปลกใจที่ลู่เหิงจือและเซี่ยถิงอวี่จะมาประชุมลับที่นี่บ่อยๆในทางลับค่อนข้างมืด โชคดีที่มีลู่เหิงจืออยู่ด้วย นางจึงค่อยๆ ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรขนาดนั้น เดินไปไม่ไกลนักก็ถึงทางออก เป็นกระท่อมไม้ไผ่สะอาดหนึ่งหลัง แต่ไม่ใช่หลังที่นางเคยอยู่นางมองออกไปนอกหน้าต่างปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นมาได้...นี่น่าจะเป็นหลังที่ลู่เหิงจืออยู่ หลังเล็กกว