มิน่าล่ะใบหน้าของเขาในยามนี้ไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลย ที่แท้ยังมีตอนดึกอีกซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันควัน : "เหตุใดถึงค้างที่นี่ ที่นี่หนาวถึงเพียงนี้""ไม่หนาว" ลู่เหิงจือตอบ "ข้าสั่งให้คนเอาถ่านมาก่อไฟตอนค่ำแล้ว"นี่เพิ่งจะปลายเดือนสิบ ยังไม่เข้าเดือนสิบเอ็ดเลย ต่อให้อยู่บนเขา แต่จะมีใครก่อไฟเร็วถึงเพียงนี้เพื่อจะรั้งให้นางอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้จึงยอมทำทุกวิถีทางเสียจริงซูชิงลั่วพูดต่อ : "ที่นี่ไม่มีสิ่งใดเลย ข้าอยากจะอาบน้ำก็ไม่สะดวก"ลู่เหิงจือวางกาน้ำชาในมือลง ยืนนิ่งอยู่ข้างกายของนาง กลิ่นหอมที่คุ้นเคยปะทะเข้าที่ปลายจมูกในชั่วพริบตา"สะดวก ข้าจะหาบน้ำร้อนปรนนิบัติเจ้าเอง""ผู้ใด ผู้ใดต้องการให้ท่านปรนนิบัติกัน..." ซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขา มือกำชายแขนเสื้อไว้แน่น "แต่ แต่ข้าไม่ได้นำเสื้อผ้ามาด้วย...""ข้าเอามาให้เจ้าแล้ว" เขาโน้มตัวลงมาแล้วคว้ามือนางไปอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะกระซิบข้างหูนางเบาๆ "ทั้งยังทำซาลาเปาซุปไก่ที่เจ้าชอบ นกพิราบตุ๋นน้ำเกลือเจ้าชอบหรือไม่ เป็นอาหารขึ้นชื่อของจินหลิงเช่นกัน"สายตาของซูชิงลั่วพลันฉายประกายทันทีที่ได้ยินคำว่
ก่อนจะกัดซาลาเปาซุปไก่ต่ออีกคำ เป็นรสชาติเดียวกับซาลาเปาที่เขาเอามาให้หลังจากเห็นนางร้องไห้ครั้งแรกรสชาติของหน่อไม้และหมูย่างน้ำแดงนี่ก็ใกล้เคียงกับที่กินที่กระท่อมไม้ไผ่คราวก่อน...ซูชิงลั่วมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา : "เช่นนั้นกับข้าวเหล่านั้นเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ซ่งเหวิน แต่เป็นท่านทั้งหมด...""ข้าเอง" เขาตอบนิ่งๆ น้ำเสียงที่อธิบายเรียบเฉย "ซ่งเหวินไม่มีฝีมือทำอาหารที่ดีเช่นนี้"ไม่รู้เพราะเหตุใด นางฟังออกถึงความหยิ่งผยองและตัดพ้อเล็กๆ ในน้ำเสียงของเขาตัดพ้อที่นางเข้าใจว่าฝีมือการทำอาหารของเขาเป็นของซ่งเหวิน"เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า" ซูชิงลั่วคีบเนื้อนกพิราบเข้าปากอีกคำ พลางถาม "ทำให้ข้าเข้าใจผิด""อยากดูว่าเจ้าจะเข้าใจผิดไปนานแค่ไหน" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบกว่าเดิม“……”หากซ่งเหวินไม่บอก นางก็คงจะเข้าใจผิดต่อไป มิน่าล่ะเมื่อครู่เขาถึงได้บอกว่าจะไปจับนกพิราบทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ปิดบังนาง นางยังไม่โกรธด้วยซ้ำ เหตุใดเขาต้องทำท่าทีพิลึกพิลั่นเช่นนี้ด้วยซูชิงลั่วจึงพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ : "เช่นนั้นที่ท่านไม่บอกข้า เพราะตั้งใจจะหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่"น้ำเสียง
ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็พลอยแดงไปด้วย แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นอีกครั้ง : "หลับเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว ไม่ควรจะออกแรงหน่อยหรือ"ที่แท้คำพูดของเขาเมื่อครู่ก็หมายความเช่นนี้นี่เองเขานั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนเตียง โน้มตัวลงมาหานาง เห็นนางไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นาน จึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้มลงขบใบหูของนาง"จะจูบหรือไม่"ซูชิงลั่วรู้สึกจักจี้ พลันหดไหล่เพื่อหลบ ทว่าหลบไม่พ้น โชคดีที่เขาหยุดทันนางเงยหน้าขึ้นมามองเขานัยน์ตาของเขาดำขลับดุจน้ำหมึกเข้มข้น นิ่งและเย็นเยียบ จ้องมองมาที่นาง ทว่ากลับทางให้นางร้อนผ่าว ลมหายใจอุ่นร้อนปนด้วยความชื้นรดอยู่บนแก้มริมฝีปากของเขาเรียวบาง เส้นขอบปากคมชัดดุจใบมีด ดูมีพลังนางคิดถึงความรู้สึกครั้งแรกที่จูบเขา...นั่นเป็นครั้งแรกที่นางจูบกับมนุษย์ เกรงว่านางคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตยากจะจินตนาการได้ว่าริมฝีปากเช่นนี้ เมื่อจูบแล้วกลับให้สัมผัสนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าดอกฝ้าย ความนุ่มนั้นพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ ทำให้นางที่โดนยาปลุกกำหนัดในตอนนั้นยับยั้งใจไม่ได้ผ่านไปนานเห็นนางไม่ขยับ เขาจึงยกแขนขึ้นจับหลังของนางแล้วกดใ
ร่างของนางเสียวซ่านชาไปทั้งร่าง รู้สึกราวกับตนเป็นไข่ไก่ที่ถูกปอกเปลือกออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนนุ่ม แม้แต่สติก็ถูกกลืนกินไปพร้อมกันจนสิ้นไม่รู้เพราะเห็นใจที่เป็นครั้งแรกของนางหรืออย่างไร ท่วงท่าของเขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ต่างจากตอนที่จูบนางเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน คล้ายกับมีความอาลัยอาวรณ์ไม่รู้จบเสื้อผ้าร่วงลงที่พื้น ความหนาวเย็นปะทะเข้าที่ผิวหนังลู่เหิงจือดึงผ้าห่มมาห่อร่างของทั้งสองคนไว้ จากนั้นก็แก้มัดมือทั้งสองข้างของนางมือของเขาค่อยๆ เลื่อนลงไปเบื้องล่าง ซูชิงลั่วเอ่ยถามเสียงเบา : "จะ...เจ็บมากหรือไม่"นางจำได้ว่าท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางโดยเฉพาะเขาตอบเบาๆ : "อาจจะเจ็บบ้าง ไม่ต้องกลัว"คล้ายกับกำลังเกลี้ยกล่อมนางคล้องคอเขาไว้โดยไม่รู้ตัว มองเขาด้วยดวงตาที่เปียกชุ่ม : "พี่สาม"เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปที่ซอกคอของนาง "เรียกท่านพี่"“……”นางกัดริมฝีปาก มือเผลอคว้าแผ่นหลังของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว น้ำตาพลันไหลออกมาเป็นสายเขารีบหยุดทันทีที่รู้สึกได้ : "เจ็บหรือ"นางพยักหน้าด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจแต่ก็รู้อยู่ว่า เกิดเป็นหญิง อย่างไรก็ต้องเจอเรื่องเช่นนี้เข้าสักวั
ช่วงกลางวัน ซูชิงลั่วนอนหลับตลอดทั้งบ่าย คราวนี้แม้จะซุกอยู่ในอ้อมกอดลู่เหิงจืออย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงพลิกตัวหันไปมองเขาเทียนดับไปแล้ว ค่ำคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ ยามดึกกลางเขามืดสนิท แม้แต่ใบหน้าของเขาก็เห็นไม่ชัด รู้สึกได้ถึงเพียงแค่ลมหายใจของเขารดอยู่ตรงหน้านางค่ำคืนบนภูเขาเงียบสงบกว่าปกติซูชิงลั่วรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวราวกับโลกทั้งใบมีเพียงแค่พวกเขาสองคนความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเปิดใจอย่างง่ายดาย นางซุกไซ้ไปที่ซอกคอของลู่เหิงจือพลางเอ่ยถาม : "ท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่"น้ำเสียงของลู่เหิงจือบ่งบอกถึงความง่วงอย่างชัดเจน : "อืม""คือ...คราวก่อนที่กระท่อมไม้ไผ่ ท่านไม่ได้แตะต้องข้า ที่จริงแล้วท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่ ท่านถึงได้จงใจให้ข้าค้างคืนที่นี่" น้ำเสียงของนางฟังดูปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรหญิงสาวในอ้อมกอดดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม : "ท่านอยากจะสัมผัสข้าตั้งแต่ยามนั้นแล้วใช่หรือไม่ ภายนอกท่านแสร้งทำเป็นเฉยชาและรู้จักหักห้าม ทั้งผลักไสข้าทั้งยืนอยู่นอกหน้าต่างจงใจไม่มองข้า แสร้งทำเป็นบุรุษผู้มีศีลธรรม ที่จริงแล้วท่านแทบจะทนไม่ไหวแล้วใช่หรือ
ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "แต่หากข้าไม่ได้แตะต้องเจ้า ข้าจะต้องเสียดาย""ข้าจะทนไม่ไหว แล้วข้าก็ไม่อยากแสร้งทำตัวเป็นบุรุษมีศีลธรรมแล้ว"“……?”เหตุใดประโยคนี้ถึงได้คุ้นหูเพียงนี้เขาก้มลมจูบที่ติ่งหูของนางเบาๆ แล้วกระซิบข้างหู : "ฉะนั้นเจ้าอย่าส่งเสียง"ซูชิงลั่วหลับตาลงเล็กน้อย นึกถึงหน้าร้อนที่จินหลิง อากาศร้อนชื้นและอบอ้าว ทั้งร่างเหนียวเหนอะหนะ และชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาแล้ว แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเพียงเท่านั้น พลันปล่อยนางออกอย่างรวดเร็ว แล้วลุกไปแต่งตัวซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ยื่นมือออกไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างเงียบๆตอนที่ลู่เหิงจือออกไป ซ่งเหวินได้นำอาหารเช้าที่วัดเตรียมไว้มาให้แล้ว เพียงแต่เย็นชืดหมดแล้วเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ใต้เท้าของเขาจะตื่นสายไปครึ่งชั่วยามเสียได้ หรือนี่ก็คือ "ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิแสนสั้น ลืมตาตื่นยามตะวันโด่ง" ดังตำนานว่าไว้เขาไม่อยากจะคิดเรื่อยเปื่อย รีบอุ่นข้าวเช้าให้ร้อนอีกครั้งตอนที่ซูชิงลั่วแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วออกมา ก็พบภาพที่คุ้นตาลู่เหิงจือสวมชุดสีฟ้าอ่อน ทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวดุจแสงจันทร์ ยืนอยู่ท่ามก
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงพูดเย้านางของนางเฉียนและนางเหอดังขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงหัวเราะของจี้หยินจูอีกด้วยวันนี้เหตุใดถึงได้อยู่พร้อมหน้ากันเพียงนี้ซูชิงลั่วยืนกระอักกระอ่วนอยู่ในสวนอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งใจจะกลับไปก่อน รอให้คนเหล่านี้กลับไปแล้ว นางค่อยมาคาราวะหญิงชราใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับไปก็ได้ยินเสียงเยว่เออร์ที่เพิ่งเดินออกมาตะโกนเรียกนาง : "เอ้ะ นายหญิงสามมาแล้ว นายหญิงเฒ่ากำลังสั่งให้ข้าไปเชิญท่านมาอยู่เลย"นางจึงทำได้เพียงแค่จำใจเดินเข้าไปนางเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม : "เขินอายเรื่องใด เหิงจือเอ็นดูเจ้าเป็นเรื่องดี พอหลายปีผ่านไป หากเขาไม่เอ็นดูเจ้าแล้ว กลัวแค่ว่าเจ้าจะไม่มีที่ให้ร้องไห้ด้วยซ้ำไป"หญิงชราเอ่ย : "ห้ามพูดเหลวไหล"นางเฉียนรีบทำท่าตบปาก : "ดูปากของข้าสิ"เพียงแต่นางเป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใด หญิงชราจึงไม่ได้ตำหนินางมากรู้ว่าซูชิงลั่วหน้าบาง หญิงชราจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพูดคุยกับนางตามลำพังก่อนจะออกไป จี้หยินจูจงใจหันมามองนางปราดหนึ่ง แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ซูชิงลั่วพลันหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ถูกหญิงชราจูงมือไป"พวกเจ้
นางใจเย็นขึ้นทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทั้งยังเริ่มที่จะออดอ้อนแล้วลู่เหิงจือขยับเข้าไป แนบติดอยู่กับหน้าผากของนางซูชิงลั่วลนลานไปชั่วขณะลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงแหบเครือ : "เช่นนั้นเจ้าก็มองให้ชัด"นางผลักเขาออก : "ท่านกินข้าวให้ดีๆ เถอะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ โชคดีที่กินข้าวมื้อนี้กับนางจนเสร็จเรียบร้อยดีได้หลังจากกินข้าว แน่นอนว่าต้องบอกให้นางอยู่กับเขาต่อซูชิงลั่วช่วยเขาฝนหมึกอย่างรู้งาน แล้วก็อดมองเขาอีกไม่ได้ ภายในหัวค่อยๆ ร้อยเรียงเครื่องหน้าของเขาอย่างพิถีพิถัน พยายามจะวาดให้เหมือนทุกครั้งที่ลู่เหิงจือเหลือบไปมอง จะเห็นนางจ้องเขาอยู่ตลอดแววตาของเขาพลันมืดดำลงมาเล็กน้อย วางพู่กันลง เอื้อมแขนไปดึงนางมานั่งบนตักซูชิงลั่วไม่ทันระวังตัว เผลอร้องเสียงหลงออกมา ด้วยกลัวว่าจะล้มจึงใช้ฝ่ามือค้ำโต๊ะเอาไว้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตเขา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ใกล้กันจนมองเห็นกระทั่งแพขนตาที่หนาและยาวของเขา แต่ละเส้นคมชัด หางตาของเขาเรียวยาวเล็กน้อย เป็นดวงตาที่ใสสะอาดมากทั้งยังสามารถเห็นนางในดวงตาของเขาได้ลู่เหิงจือสบตานาง ระหว่างที่กำลังจ