ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็พลอยแดงไปด้วย แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นอีกครั้ง : "หลับเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว ไม่ควรจะออกแรงหน่อยหรือ"ที่แท้คำพูดของเขาเมื่อครู่ก็หมายความเช่นนี้นี่เองเขานั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนเตียง โน้มตัวลงมาหานาง เห็นนางไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นาน จึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้มลงขบใบหูของนาง"จะจูบหรือไม่"ซูชิงลั่วรู้สึกจักจี้ พลันหดไหล่เพื่อหลบ ทว่าหลบไม่พ้น โชคดีที่เขาหยุดทันนางเงยหน้าขึ้นมามองเขานัยน์ตาของเขาดำขลับดุจน้ำหมึกเข้มข้น นิ่งและเย็นเยียบ จ้องมองมาที่นาง ทว่ากลับทางให้นางร้อนผ่าว ลมหายใจอุ่นร้อนปนด้วยความชื้นรดอยู่บนแก้มริมฝีปากของเขาเรียวบาง เส้นขอบปากคมชัดดุจใบมีด ดูมีพลังนางคิดถึงความรู้สึกครั้งแรกที่จูบเขา...นั่นเป็นครั้งแรกที่นางจูบกับมนุษย์ เกรงว่านางคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตยากจะจินตนาการได้ว่าริมฝีปากเช่นนี้ เมื่อจูบแล้วกลับให้สัมผัสนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าดอกฝ้าย ความนุ่มนั้นพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ ทำให้นางที่โดนยาปลุกกำหนัดในตอนนั้นยับยั้งใจไม่ได้ผ่านไปนานเห็นนางไม่ขยับ เขาจึงยกแขนขึ้นจับหลังของนางแล้วกดใ
ร่างของนางเสียวซ่านชาไปทั้งร่าง รู้สึกราวกับตนเป็นไข่ไก่ที่ถูกปอกเปลือกออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนนุ่ม แม้แต่สติก็ถูกกลืนกินไปพร้อมกันจนสิ้นไม่รู้เพราะเห็นใจที่เป็นครั้งแรกของนางหรืออย่างไร ท่วงท่าของเขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ต่างจากตอนที่จูบนางเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน คล้ายกับมีความอาลัยอาวรณ์ไม่รู้จบเสื้อผ้าร่วงลงที่พื้น ความหนาวเย็นปะทะเข้าที่ผิวหนังลู่เหิงจือดึงผ้าห่มมาห่อร่างของทั้งสองคนไว้ จากนั้นก็แก้มัดมือทั้งสองข้างของนางมือของเขาค่อยๆ เลื่อนลงไปเบื้องล่าง ซูชิงลั่วเอ่ยถามเสียงเบา : "จะ...เจ็บมากหรือไม่"นางจำได้ว่าท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางโดยเฉพาะเขาตอบเบาๆ : "อาจจะเจ็บบ้าง ไม่ต้องกลัว"คล้ายกับกำลังเกลี้ยกล่อมนางคล้องคอเขาไว้โดยไม่รู้ตัว มองเขาด้วยดวงตาที่เปียกชุ่ม : "พี่สาม"เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปที่ซอกคอของนาง "เรียกท่านพี่"“……”นางกัดริมฝีปาก มือเผลอคว้าแผ่นหลังของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว น้ำตาพลันไหลออกมาเป็นสายเขารีบหยุดทันทีที่รู้สึกได้ : "เจ็บหรือ"นางพยักหน้าด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจแต่ก็รู้อยู่ว่า เกิดเป็นหญิง อย่างไรก็ต้องเจอเรื่องเช่นนี้เข้าสักวั
ช่วงกลางวัน ซูชิงลั่วนอนหลับตลอดทั้งบ่าย คราวนี้แม้จะซุกอยู่ในอ้อมกอดลู่เหิงจืออย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงพลิกตัวหันไปมองเขาเทียนดับไปแล้ว ค่ำคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ ยามดึกกลางเขามืดสนิท แม้แต่ใบหน้าของเขาก็เห็นไม่ชัด รู้สึกได้ถึงเพียงแค่ลมหายใจของเขารดอยู่ตรงหน้านางค่ำคืนบนภูเขาเงียบสงบกว่าปกติซูชิงลั่วรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวราวกับโลกทั้งใบมีเพียงแค่พวกเขาสองคนความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเปิดใจอย่างง่ายดาย นางซุกไซ้ไปที่ซอกคอของลู่เหิงจือพลางเอ่ยถาม : "ท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่"น้ำเสียงของลู่เหิงจือบ่งบอกถึงความง่วงอย่างชัดเจน : "อืม""คือ...คราวก่อนที่กระท่อมไม้ไผ่ ท่านไม่ได้แตะต้องข้า ที่จริงแล้วท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่ ท่านถึงได้จงใจให้ข้าค้างคืนที่นี่" น้ำเสียงของนางฟังดูปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรหญิงสาวในอ้อมกอดดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม : "ท่านอยากจะสัมผัสข้าตั้งแต่ยามนั้นแล้วใช่หรือไม่ ภายนอกท่านแสร้งทำเป็นเฉยชาและรู้จักหักห้าม ทั้งผลักไสข้าทั้งยืนอยู่นอกหน้าต่างจงใจไม่มองข้า แสร้งทำเป็นบุรุษผู้มีศีลธรรม ที่จริงแล้วท่านแทบจะทนไม่ไหวแล้วใช่หรือ
ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "แต่หากข้าไม่ได้แตะต้องเจ้า ข้าจะต้องเสียดาย""ข้าจะทนไม่ไหว แล้วข้าก็ไม่อยากแสร้งทำตัวเป็นบุรุษมีศีลธรรมแล้ว"“……?”เหตุใดประโยคนี้ถึงได้คุ้นหูเพียงนี้เขาก้มลมจูบที่ติ่งหูของนางเบาๆ แล้วกระซิบข้างหู : "ฉะนั้นเจ้าอย่าส่งเสียง"ซูชิงลั่วหลับตาลงเล็กน้อย นึกถึงหน้าร้อนที่จินหลิง อากาศร้อนชื้นและอบอ้าว ทั้งร่างเหนียวเหนอะหนะ และชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาแล้ว แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเพียงเท่านั้น พลันปล่อยนางออกอย่างรวดเร็ว แล้วลุกไปแต่งตัวซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ยื่นมือออกไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างเงียบๆตอนที่ลู่เหิงจือออกไป ซ่งเหวินได้นำอาหารเช้าที่วัดเตรียมไว้มาให้แล้ว เพียงแต่เย็นชืดหมดแล้วเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ใต้เท้าของเขาจะตื่นสายไปครึ่งชั่วยามเสียได้ หรือนี่ก็คือ "ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิแสนสั้น ลืมตาตื่นยามตะวันโด่ง" ดังตำนานว่าไว้เขาไม่อยากจะคิดเรื่อยเปื่อย รีบอุ่นข้าวเช้าให้ร้อนอีกครั้งตอนที่ซูชิงลั่วแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วออกมา ก็พบภาพที่คุ้นตาลู่เหิงจือสวมชุดสีฟ้าอ่อน ทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวดุจแสงจันทร์ ยืนอยู่ท่ามก
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงพูดเย้านางของนางเฉียนและนางเหอดังขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงหัวเราะของจี้หยินจูอีกด้วยวันนี้เหตุใดถึงได้อยู่พร้อมหน้ากันเพียงนี้ซูชิงลั่วยืนกระอักกระอ่วนอยู่ในสวนอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งใจจะกลับไปก่อน รอให้คนเหล่านี้กลับไปแล้ว นางค่อยมาคาราวะหญิงชราใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับไปก็ได้ยินเสียงเยว่เออร์ที่เพิ่งเดินออกมาตะโกนเรียกนาง : "เอ้ะ นายหญิงสามมาแล้ว นายหญิงเฒ่ากำลังสั่งให้ข้าไปเชิญท่านมาอยู่เลย"นางจึงทำได้เพียงแค่จำใจเดินเข้าไปนางเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม : "เขินอายเรื่องใด เหิงจือเอ็นดูเจ้าเป็นเรื่องดี พอหลายปีผ่านไป หากเขาไม่เอ็นดูเจ้าแล้ว กลัวแค่ว่าเจ้าจะไม่มีที่ให้ร้องไห้ด้วยซ้ำไป"หญิงชราเอ่ย : "ห้ามพูดเหลวไหล"นางเฉียนรีบทำท่าตบปาก : "ดูปากของข้าสิ"เพียงแต่นางเป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใด หญิงชราจึงไม่ได้ตำหนินางมากรู้ว่าซูชิงลั่วหน้าบาง หญิงชราจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพูดคุยกับนางตามลำพังก่อนจะออกไป จี้หยินจูจงใจหันมามองนางปราดหนึ่ง แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ซูชิงลั่วพลันหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ถูกหญิงชราจูงมือไป"พวกเจ้
นางใจเย็นขึ้นทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทั้งยังเริ่มที่จะออดอ้อนแล้วลู่เหิงจือขยับเข้าไป แนบติดอยู่กับหน้าผากของนางซูชิงลั่วลนลานไปชั่วขณะลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงแหบเครือ : "เช่นนั้นเจ้าก็มองให้ชัด"นางผลักเขาออก : "ท่านกินข้าวให้ดีๆ เถอะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ โชคดีที่กินข้าวมื้อนี้กับนางจนเสร็จเรียบร้อยดีได้หลังจากกินข้าว แน่นอนว่าต้องบอกให้นางอยู่กับเขาต่อซูชิงลั่วช่วยเขาฝนหมึกอย่างรู้งาน แล้วก็อดมองเขาอีกไม่ได้ ภายในหัวค่อยๆ ร้อยเรียงเครื่องหน้าของเขาอย่างพิถีพิถัน พยายามจะวาดให้เหมือนทุกครั้งที่ลู่เหิงจือเหลือบไปมอง จะเห็นนางจ้องเขาอยู่ตลอดแววตาของเขาพลันมืดดำลงมาเล็กน้อย วางพู่กันลง เอื้อมแขนไปดึงนางมานั่งบนตักซูชิงลั่วไม่ทันระวังตัว เผลอร้องเสียงหลงออกมา ด้วยกลัวว่าจะล้มจึงใช้ฝ่ามือค้ำโต๊ะเอาไว้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตเขา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ใกล้กันจนมองเห็นกระทั่งแพขนตาที่หนาและยาวของเขา แต่ละเส้นคมชัด หางตาของเขาเรียวยาวเล็กน้อย เป็นดวงตาที่ใสสะอาดมากทั้งยังสามารถเห็นนางในดวงตาของเขาได้ลู่เหิงจือสบตานาง ระหว่างที่กำลังจ
ซูชิงลั่วกลับเข้าห้องแล้วจุดเทียนไข จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นเดิมออกมาจากกระบอก และใช้ความทรงจำอันสดใหม่ค่อยๆ เติมส่วนคิ้ว ตา หู จมูกของเขาลงไป......ระหว่างวาดไปครึ่งทางก็เผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือขณะจากไปไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง สำหรับเขาแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไร้เยื่อใยเลยด้วยซ้ำ ไอ้ผู้ชายสารเลว! รังแกนางเสร็จก็เดินหนีไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะวาดเพี้ยนไปแล้วก็รีบตั้งสมาธิใหม่ จุดกระบนปลายจมูกของเขา แล้วก็เขียนริมฝีปากของเขาลงไปหลังจากวาดเสร็จก็ตรวจดูอย่างละเอียด พยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมากคอเมื่อยมาก เมื่อถามจื๋อหยวนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ ไม่หยุด ก็ทราบว่ายามจื่อแล้ว ลู่เหิงจือยังไม่กลับมาตอนดึกขนาดนี้...ดึกขนาดนี้ ลู่เหิงจือยังไม่กลับมา...ซูชิงลั่วรู้สึกห่อเหี่ยวใจและไม่มีแรงจะทำอะไรต่อนางอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็รอคอยอย่างดื้อรั้น บอกให้จื๋อหยวนไปนอนก่อน แล้วนั่งเย็บเสื้อคลุมตัวนั้นที่ยังขาดแขนอีกครึ่งตัวใต้แสงเทียนเมื่อเย็บชุดตามแบบที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เหลือเพียงปักลายชุดสีขาวนวลปักด้วยด้ายทองอร่ามนั้นงดงามที่สุด เมื่อสวมใส่บนร่างกายของลู่เหิงจือ ทำให้เขา
“ยังตกลงอะไรกันไม่ได้เลย ต้องหาวิธีกันต่อไป องครักษ์ลับบอกว่าคุณหนูใหญ่เมิ่งไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่ว่าพระชายาองค์รัชทายาทต้องเป็นคนของตระกูลเมิ่ง จะให้องค์ชายและฮองเฮาเปลี่ยนพระทัยเป็นไปไม่ได้”ซูชิงลั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปมาหาสู่นางบ่อยๆ แล้วถามความคิดที่แท้จริงของนางดูว่าจะมีโอกาสอะไรบ้างหรือไม่”“ก็ได้” ลู่เหิงจือโอบนางจากด้านหลัง เสียงของเขามีรอยยิ้มแฝงอยู่เล็กน้อย “ไม่แปลกใจเลยที่เขาว่ากันว่าการเลือกคู่ครองควรเลือกคนที่ฉลาดและมีความสามารถ”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ไม่ได้ตอบอะไรวันรุ่งขึ้น ลู่เหิงจือยังคงยุ่งอยู่ ซูชิงลั่วจึงชวนเมิ่งชิงไต้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกทั้งสองคนไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องประดับและร้านขายด้ายด้วยกัน พอถึงยามเที่ยง ก็ไปกินอาหารที่กุยหยวน ซึ่งเป็นสวนที่ตั้งอยู่ชานเมือง และเปิดให้เฉพาะขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้นในเขตชานเมืองมีทะเลสาบเทียมแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิองค์ก่อนกุยหยวนมีทั้งหมดสามชั้น สร้างอยู่ริมทะเลสาบ เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปก็จะเห็นทะเลสาบ และทิวทัศน์สวยงามมากนั่งอยู่ในห้องแยกชั้นสอง ซูชิงลั่วอดกระซิบถา
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป