แชร์

บทที่ 148

ผู้เขียน: หอมดังเดิม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-09-23 18:00:00
มิน่าล่ะ

ใบหน้าของเขาในยามนี้ไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลย ที่แท้ยังมีตอนดึกอีก

ซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันควัน : "เหตุใดถึงค้างที่นี่ ที่นี่หนาวถึงเพียงนี้"

"ไม่หนาว" ลู่เหิงจือตอบ "ข้าสั่งให้คนเอาถ่านมาก่อไฟตอนค่ำแล้ว"

นี่เพิ่งจะปลายเดือนสิบ ยังไม่เข้าเดือนสิบเอ็ดเลย ต่อให้อยู่บนเขา แต่จะมีใครก่อไฟเร็วถึงเพียงนี้

เพื่อจะรั้งให้นางอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้จึงยอมทำทุกวิถีทางเสียจริง

ซูชิงลั่วพูดต่อ : "ที่นี่ไม่มีสิ่งใดเลย ข้าอยากจะอาบน้ำก็ไม่สะดวก"

ลู่เหิงจือวางกาน้ำชาในมือลง ยืนนิ่งอยู่ข้างกายของนาง กลิ่นหอมที่คุ้นเคยปะทะเข้าที่ปลายจมูกในชั่วพริบตา

"สะดวก ข้าจะหาบน้ำร้อนปรนนิบัติเจ้าเอง"

"ผู้ใด ผู้ใดต้องการให้ท่านปรนนิบัติกัน..." ซูชิงลั่วไม่กล้ามองเขา มือกำชายแขนเสื้อไว้แน่น "แต่ แต่ข้าไม่ได้นำเสื้อผ้ามาด้วย..."

"ข้าเอามาให้เจ้าแล้ว" เขาโน้มตัวลงมาแล้วคว้ามือนางไปอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะกระซิบข้างหูนางเบาๆ "ทั้งยังทำซาลาเปาซุปไก่ที่เจ้าชอบ นกพิราบตุ๋นน้ำเกลือเจ้าชอบหรือไม่ เป็นอาหารขึ้นชื่อของจินหลิงเช่นกัน"

สายตาของซูชิงลั่วพลันฉายประกายทันทีที่ได้ยินคำว่
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
สุพรรณี
ขออย่ายาวมากนักจนหาที่ลงไม่ได้เหมือนหลายๆเรื่อง
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 149

    ก่อนจะกัดซาลาเปาซุปไก่ต่ออีกคำ เป็นรสชาติเดียวกับซาลาเปาที่เขาเอามาให้หลังจากเห็นนางร้องไห้ครั้งแรกรสชาติของหน่อไม้และหมูย่างน้ำแดงนี่ก็ใกล้เคียงกับที่กินที่กระท่อมไม้ไผ่คราวก่อน...ซูชิงลั่วมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา : "เช่นนั้นกับข้าวเหล่านั้นเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ซ่งเหวิน แต่เป็นท่านทั้งหมด...""ข้าเอง" เขาตอบนิ่งๆ น้ำเสียงที่อธิบายเรียบเฉย "ซ่งเหวินไม่มีฝีมือทำอาหารที่ดีเช่นนี้"ไม่รู้เพราะเหตุใด นางฟังออกถึงความหยิ่งผยองและตัดพ้อเล็กๆ ในน้ำเสียงของเขาตัดพ้อที่นางเข้าใจว่าฝีมือการทำอาหารของเขาเป็นของซ่งเหวิน"เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า" ซูชิงลั่วคีบเนื้อนกพิราบเข้าปากอีกคำ พลางถาม "ทำให้ข้าเข้าใจผิด""อยากดูว่าเจ้าจะเข้าใจผิดไปนานแค่ไหน" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบกว่าเดิม“……”หากซ่งเหวินไม่บอก นางก็คงจะเข้าใจผิดต่อไป มิน่าล่ะเมื่อครู่เขาถึงได้บอกว่าจะไปจับนกพิราบทั้งๆ ที่เขาเป็นผู้ปิดบังนาง นางยังไม่โกรธด้วยซ้ำ เหตุใดเขาต้องทำท่าทีพิลึกพิลั่นเช่นนี้ด้วยซูชิงลั่วจึงพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจ : "เช่นนั้นที่ท่านไม่บอกข้า เพราะตั้งใจจะหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่"น้ำเสียง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 150

    ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ลำคอและใบหูก็พลอยแดงไปด้วย แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดขึ้นอีกครั้ง : "หลับเต็มอิ่มแล้ว ท้องก็อิ่มแล้ว ไม่ควรจะออกแรงหน่อยหรือ"ที่แท้คำพูดของเขาเมื่อครู่ก็หมายความเช่นนี้นี่เองเขานั่งกึ่งคุกเข่าอยู่บนเตียง โน้มตัวลงมาหานาง เห็นนางไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่นาน จึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้มลงขบใบหูของนาง"จะจูบหรือไม่"ซูชิงลั่วรู้สึกจักจี้ พลันหดไหล่เพื่อหลบ ทว่าหลบไม่พ้น โชคดีที่เขาหยุดทันนางเงยหน้าขึ้นมามองเขานัยน์ตาของเขาดำขลับดุจน้ำหมึกเข้มข้น นิ่งและเย็นเยียบ จ้องมองมาที่นาง ทว่ากลับทางให้นางร้อนผ่าว ลมหายใจอุ่นร้อนปนด้วยความชื้นรดอยู่บนแก้มริมฝีปากของเขาเรียวบาง เส้นขอบปากคมชัดดุจใบมีด ดูมีพลังนางคิดถึงความรู้สึกครั้งแรกที่จูบเขา...นั่นเป็นครั้งแรกที่นางจูบกับมนุษย์ เกรงว่านางคงไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตยากจะจินตนาการได้ว่าริมฝีปากเช่นนี้ เมื่อจูบแล้วกลับให้สัมผัสนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าดอกฝ้าย ความนุ่มนั้นพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ ทำให้นางที่โดนยาปลุกกำหนัดในตอนนั้นยับยั้งใจไม่ได้ผ่านไปนานเห็นนางไม่ขยับ เขาจึงยกแขนขึ้นจับหลังของนางแล้วกดใ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 151

    ร่างของนางเสียวซ่านชาไปทั้งร่าง รู้สึกราวกับตนเป็นไข่ไก่ที่ถูกปอกเปลือกออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนนุ่ม แม้แต่สติก็ถูกกลืนกินไปพร้อมกันจนสิ้นไม่รู้เพราะเห็นใจที่เป็นครั้งแรกของนางหรืออย่างไร ท่วงท่าของเขาอ่อนโยนเป็นพิเศษ ต่างจากตอนที่จูบนางเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน คล้ายกับมีความอาลัยอาวรณ์ไม่รู้จบเสื้อผ้าร่วงลงที่พื้น ความหนาวเย็นปะทะเข้าที่ผิวหนังลู่เหิงจือดึงผ้าห่มมาห่อร่างของทั้งสองคนไว้ จากนั้นก็แก้มัดมือทั้งสองข้างของนางมือของเขาค่อยๆ เลื่อนลงไปเบื้องล่าง ซูชิงลั่วเอ่ยถามเสียงเบา : "จะ...เจ็บมากหรือไม่"นางจำได้ว่าท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางโดยเฉพาะเขาตอบเบาๆ : "อาจจะเจ็บบ้าง ไม่ต้องกลัว"คล้ายกับกำลังเกลี้ยกล่อมนางคล้องคอเขาไว้โดยไม่รู้ตัว มองเขาด้วยดวงตาที่เปียกชุ่ม : "พี่สาม"เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปที่ซอกคอของนาง "เรียกท่านพี่"“……”นางกัดริมฝีปาก มือเผลอคว้าแผ่นหลังของเขาไว้โดยไม่รู้ตัว น้ำตาพลันไหลออกมาเป็นสายเขารีบหยุดทันทีที่รู้สึกได้ : "เจ็บหรือ"นางพยักหน้าด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจแต่ก็รู้อยู่ว่า เกิดเป็นหญิง อย่างไรก็ต้องเจอเรื่องเช่นนี้เข้าสักวั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 152

    ช่วงกลางวัน ซูชิงลั่วนอนหลับตลอดทั้งบ่าย คราวนี้แม้จะซุกอยู่ในอ้อมกอดลู่เหิงจืออย่างไรก็นอนไม่หลับ จึงพลิกตัวหันไปมองเขาเทียนดับไปแล้ว ค่ำคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ ยามดึกกลางเขามืดสนิท แม้แต่ใบหน้าของเขาก็เห็นไม่ชัด รู้สึกได้ถึงเพียงแค่ลมหายใจของเขารดอยู่ตรงหน้านางค่ำคืนบนภูเขาเงียบสงบกว่าปกติซูชิงลั่วรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวราวกับโลกทั้งใบมีเพียงแค่พวกเขาสองคนความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเปิดใจอย่างง่ายดาย นางซุกไซ้ไปที่ซอกคอของลู่เหิงจือพลางเอ่ยถาม : "ท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่"น้ำเสียงของลู่เหิงจือบ่งบอกถึงความง่วงอย่างชัดเจน : "อืม""คือ...คราวก่อนที่กระท่อมไม้ไผ่ ท่านไม่ได้แตะต้องข้า ที่จริงแล้วท่านรู้สึกเสียดายใช่หรือไม่ ท่านถึงได้จงใจให้ข้าค้างคืนที่นี่" น้ำเสียงของนางฟังดูปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่งลู่เหิงจือไม่ได้พูดอะไรหญิงสาวในอ้อมกอดดูเหมือนจะยิ่งได้ใจกว่าเดิม : "ท่านอยากจะสัมผัสข้าตั้งแต่ยามนั้นแล้วใช่หรือไม่ ภายนอกท่านแสร้งทำเป็นเฉยชาและรู้จักหักห้าม ทั้งผลักไสข้าทั้งยืนอยู่นอกหน้าต่างจงใจไม่มองข้า แสร้งทำเป็นบุรุษผู้มีศีลธรรม ที่จริงแล้วท่านแทบจะทนไม่ไหวแล้วใช่หรือ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 153

    ลู่เหิงจือเลิกคิ้ว : "แต่หากข้าไม่ได้แตะต้องเจ้า ข้าจะต้องเสียดาย""ข้าจะทนไม่ไหว แล้วข้าก็ไม่อยากแสร้งทำตัวเป็นบุรุษมีศีลธรรมแล้ว"“……?”เหตุใดประโยคนี้ถึงได้คุ้นหูเพียงนี้เขาก้มลมจูบที่ติ่งหูของนางเบาๆ แล้วกระซิบข้างหู : "ฉะนั้นเจ้าอย่าส่งเสียง"ซูชิงลั่วหลับตาลงเล็กน้อย นึกถึงหน้าร้อนที่จินหลิง อากาศร้อนชื้นและอบอ้าว ทั้งร่างเหนียวเหนอะหนะ และชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาแล้ว แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเพียงเท่านั้น พลันปล่อยนางออกอย่างรวดเร็ว แล้วลุกไปแต่งตัวซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก ยื่นมือออกไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมอย่างเงียบๆตอนที่ลู่เหิงจือออกไป ซ่งเหวินได้นำอาหารเช้าที่วัดเตรียมไว้มาให้แล้ว เพียงแต่เย็นชืดหมดแล้วเขาเองก็คิดไม่ถึงว่า ใต้เท้าของเขาจะตื่นสายไปครึ่งชั่วยามเสียได้ หรือนี่ก็คือ "ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิแสนสั้น ลืมตาตื่นยามตะวันโด่ง" ดังตำนานว่าไว้เขาไม่อยากจะคิดเรื่อยเปื่อย รีบอุ่นข้าวเช้าให้ร้อนอีกครั้งตอนที่ซูชิงลั่วแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วออกมา ก็พบภาพที่คุ้นตาลู่เหิงจือสวมชุดสีฟ้าอ่อน ทับด้วยเสื้อคลุมสีขาวดุจแสงจันทร์ ยืนอยู่ท่ามก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 154

    หลังจากนั้นก็เป็นเสียงพูดเย้านางของนางเฉียนและนางเหอดังขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงหัวเราะของจี้หยินจูอีกด้วยวันนี้เหตุใดถึงได้อยู่พร้อมหน้ากันเพียงนี้ซูชิงลั่วยืนกระอักกระอ่วนอยู่ในสวนอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งใจจะกลับไปก่อน รอให้คนเหล่านี้กลับไปแล้ว นางค่อยมาคาราวะหญิงชราใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอหันกลับไปก็ได้ยินเสียงเยว่เออร์ที่เพิ่งเดินออกมาตะโกนเรียกนาง : "เอ้ะ นายหญิงสามมาแล้ว นายหญิงเฒ่ากำลังสั่งให้ข้าไปเชิญท่านมาอยู่เลย"นางจึงทำได้เพียงแค่จำใจเดินเข้าไปนางเฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม : "เขินอายเรื่องใด เหิงจือเอ็นดูเจ้าเป็นเรื่องดี พอหลายปีผ่านไป หากเขาไม่เอ็นดูเจ้าแล้ว กลัวแค่ว่าเจ้าจะไม่มีที่ให้ร้องไห้ด้วยซ้ำไป"หญิงชราเอ่ย : "ห้ามพูดเหลวไหล"นางเฉียนรีบทำท่าตบปาก : "ดูปากของข้าสิ"เพียงแต่นางเป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมใด หญิงชราจึงไม่ได้ตำหนินางมากรู้ว่าซูชิงลั่วหน้าบาง หญิงชราจึงสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพูดคุยกับนางตามลำพังก่อนจะออกไป จี้หยินจูจงใจหันมามองนางปราดหนึ่ง แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ซูชิงลั่วพลันหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ถูกหญิงชราจูงมือไป"พวกเจ้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 155

    นางใจเย็นขึ้นทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทั้งยังเริ่มที่จะออดอ้อนแล้วลู่เหิงจือขยับเข้าไป แนบติดอยู่กับหน้าผากของนางซูชิงลั่วลนลานไปชั่วขณะลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงแหบเครือ : "เช่นนั้นเจ้าก็มองให้ชัด"นางผลักเขาออก : "ท่านกินข้าวให้ดีๆ เถอะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ โชคดีที่กินข้าวมื้อนี้กับนางจนเสร็จเรียบร้อยดีได้หลังจากกินข้าว แน่นอนว่าต้องบอกให้นางอยู่กับเขาต่อซูชิงลั่วช่วยเขาฝนหมึกอย่างรู้งาน แล้วก็อดมองเขาอีกไม่ได้ ภายในหัวค่อยๆ ร้อยเรียงเครื่องหน้าของเขาอย่างพิถีพิถัน พยายามจะวาดให้เหมือนทุกครั้งที่ลู่เหิงจือเหลือบไปมอง จะเห็นนางจ้องเขาอยู่ตลอดแววตาของเขาพลันมืดดำลงมาเล็กน้อย วางพู่กันลง เอื้อมแขนไปดึงนางมานั่งบนตักซูชิงลั่วไม่ทันระวังตัว เผลอร้องเสียงหลงออกมา ด้วยกลัวว่าจะล้มจึงใช้ฝ่ามือค้ำโต๊ะเอาไว้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตเขา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ใกล้กันจนมองเห็นกระทั่งแพขนตาที่หนาและยาวของเขา แต่ละเส้นคมชัด หางตาของเขาเรียวยาวเล็กน้อย เป็นดวงตาที่ใสสะอาดมากทั้งยังสามารถเห็นนางในดวงตาของเขาได้ลู่เหิงจือสบตานาง ระหว่างที่กำลังจ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24
  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 156

    ซูชิงลั่วกลับเข้าห้องแล้วจุดเทียนไข จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นเดิมออกมาจากกระบอก และใช้ความทรงจำอันสดใหม่ค่อยๆ เติมส่วนคิ้ว ตา หู จมูกของเขาลงไป......ระหว่างวาดไปครึ่งทางก็เผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือขณะจากไปไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง สำหรับเขาแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไร้เยื่อใยเลยด้วยซ้ำ ไอ้ผู้ชายสารเลว! รังแกนางเสร็จก็เดินหนีไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะวาดเพี้ยนไปแล้วก็รีบตั้งสมาธิใหม่ จุดกระบนปลายจมูกของเขา แล้วก็เขียนริมฝีปากของเขาลงไปหลังจากวาดเสร็จก็ตรวจดูอย่างละเอียด พยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมากคอเมื่อยมาก เมื่อถามจื๋อหยวนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ ไม่หยุด ก็ทราบว่ายามจื่อแล้ว ลู่เหิงจือยังไม่กลับมาตอนดึกขนาดนี้...ดึกขนาดนี้ ลู่เหิงจือยังไม่กลับมา...ซูชิงลั่วรู้สึกห่อเหี่ยวใจและไม่มีแรงจะทำอะไรต่อนางอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็รอคอยอย่างดื้อรั้น บอกให้จื๋อหยวนไปนอนก่อน แล้วนั่งเย็บเสื้อคลุมตัวนั้นที่ยังขาดแขนอีกครึ่งตัวใต้แสงเทียนเมื่อเย็บชุดตามแบบที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เหลือเพียงปักลายชุดสีขาวนวลปักด้วยด้ายทองอร่ามนั้นงดงามที่สุด เมื่อสวมใส่บนร่างกายของลู่เหิงจือ ทำให้เขา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-09-24

บทล่าสุด

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 458

    เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 457

    เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 456

    เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 455

    ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 454

    ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 453

    ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 452

    ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 451

    ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้

  • แต่งกับขุนนาง   บทที่ 450

    เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป

DMCA.com Protection Status