นางใจเย็นขึ้นทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทั้งยังเริ่มที่จะออดอ้อนแล้วลู่เหิงจือขยับเข้าไป แนบติดอยู่กับหน้าผากของนางซูชิงลั่วลนลานไปชั่วขณะลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงแหบเครือ : "เช่นนั้นเจ้าก็มองให้ชัด"นางผลักเขาออก : "ท่านกินข้าวให้ดีๆ เถอะ"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ โชคดีที่กินข้าวมื้อนี้กับนางจนเสร็จเรียบร้อยดีได้หลังจากกินข้าว แน่นอนว่าต้องบอกให้นางอยู่กับเขาต่อซูชิงลั่วช่วยเขาฝนหมึกอย่างรู้งาน แล้วก็อดมองเขาอีกไม่ได้ ภายในหัวค่อยๆ ร้อยเรียงเครื่องหน้าของเขาอย่างพิถีพิถัน พยายามจะวาดให้เหมือนทุกครั้งที่ลู่เหิงจือเหลือบไปมอง จะเห็นนางจ้องเขาอยู่ตลอดแววตาของเขาพลันมืดดำลงมาเล็กน้อย วางพู่กันลง เอื้อมแขนไปดึงนางมานั่งบนตักซูชิงลั่วไม่ทันระวังตัว เผลอร้องเสียงหลงออกมา ด้วยกลัวว่าจะล้มจึงใช้ฝ่ามือค้ำโต๊ะเอาไว้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตเขา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองเขาอยู่ใกล้กันจนมองเห็นกระทั่งแพขนตาที่หนาและยาวของเขา แต่ละเส้นคมชัด หางตาของเขาเรียวยาวเล็กน้อย เป็นดวงตาที่ใสสะอาดมากทั้งยังสามารถเห็นนางในดวงตาของเขาได้ลู่เหิงจือสบตานาง ระหว่างที่กำลังจ
ซูชิงลั่วกลับเข้าห้องแล้วจุดเทียนไข จากนั้นก็หยิบภาพวาดแผ่นเดิมออกมาจากกระบอก และใช้ความทรงจำอันสดใหม่ค่อยๆ เติมส่วนคิ้ว ตา หู จมูกของเขาลงไป......ระหว่างวาดไปครึ่งทางก็เผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัวลู่เหิงจือขณะจากไปไม่แม้แต่จะเหลียวมองนาง สำหรับเขาแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไร้เยื่อใยเลยด้วยซ้ำ ไอ้ผู้ชายสารเลว! รังแกนางเสร็จก็เดินหนีไปเลยเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะวาดเพี้ยนไปแล้วก็รีบตั้งสมาธิใหม่ จุดกระบนปลายจมูกของเขา แล้วก็เขียนริมฝีปากของเขาลงไปหลังจากวาดเสร็จก็ตรวจดูอย่างละเอียด พยักหน้าด้วยความพอใจอย่างมากคอเมื่อยมาก เมื่อถามจื๋อหยวนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ ไม่หยุด ก็ทราบว่ายามจื่อแล้ว ลู่เหิงจือยังไม่กลับมาตอนดึกขนาดนี้...ดึกขนาดนี้ ลู่เหิงจือยังไม่กลับมา...ซูชิงลั่วรู้สึกห่อเหี่ยวใจและไม่มีแรงจะทำอะไรต่อนางอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็รอคอยอย่างดื้อรั้น บอกให้จื๋อหยวนไปนอนก่อน แล้วนั่งเย็บเสื้อคลุมตัวนั้นที่ยังขาดแขนอีกครึ่งตัวใต้แสงเทียนเมื่อเย็บชุดตามแบบที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็เหลือเพียงปักลายชุดสีขาวนวลปักด้วยด้ายทองอร่ามนั้นงดงามที่สุด เมื่อสวมใส่บนร่างกายของลู่เหิงจือ ทำให้เขา
“ยังตกลงอะไรกันไม่ได้เลย ต้องหาวิธีกันต่อไป องครักษ์ลับบอกว่าคุณหนูใหญ่เมิ่งไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่ว่าพระชายาองค์รัชทายาทต้องเป็นคนของตระกูลเมิ่ง จะให้องค์ชายและฮองเฮาเปลี่ยนพระทัยเป็นไปไม่ได้”ซูชิงลั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปมาหาสู่นางบ่อยๆ แล้วถามความคิดที่แท้จริงของนางดูว่าจะมีโอกาสอะไรบ้างหรือไม่”“ก็ได้” ลู่เหิงจือโอบนางจากด้านหลัง เสียงของเขามีรอยยิ้มแฝงอยู่เล็กน้อย “ไม่แปลกใจเลยที่เขาว่ากันว่าการเลือกคู่ครองควรเลือกคนที่ฉลาดและมีความสามารถ”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ไม่ได้ตอบอะไรวันรุ่งขึ้น ลู่เหิงจือยังคงยุ่งอยู่ ซูชิงลั่วจึงชวนเมิ่งชิงไต้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกทั้งสองคนไปเดินเล่นที่ร้านขายเครื่องประดับและร้านขายด้ายด้วยกัน พอถึงยามเที่ยง ก็ไปกินอาหารที่กุยหยวน ซึ่งเป็นสวนที่ตั้งอยู่ชานเมือง และเปิดให้เฉพาะขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้นในเขตชานเมืองมีทะเลสาบเทียมแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิองค์ก่อนกุยหยวนมีทั้งหมดสามชั้น สร้างอยู่ริมทะเลสาบ เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปก็จะเห็นทะเลสาบ และทิวทัศน์สวยงามมากนั่งอยู่ในห้องแยกชั้นสอง ซูชิงลั่วอดกระซิบถา
เซี่ยถิงอวี่ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว โยนนางโลมในอ้อมแขนลงไปกองกับพื้น ก้าวไปอีกห้องแล้วกระโดดตามลงไปซูชิงลั่วใจเต้นเร็วมาก รีบกระซิบให้จื๋อหยวนว่า “เจ้ารีบไปเรียกคนของเราให้ขี่ม้ากลับไปบอกพี่สามโดยเร็วที่สุด!”นางร้องไห้ด้วยความร้อนรน รีบวิ่งลงบันไดไปยังริมทะเลสาบ ทะเลสาบเทียมขนาดใหญ่แห่งนี้กำลังจะเข้าฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบเย็นยะเยือก หากพี่เมิ่งเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรดีหลายคนได้ยินเสียงดังก็แตกตื่น ตวนอ๋องก็รีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าหน้าต่างของกุยหยวนสร้างต่ำไปหน่อยเพื่อให้คนชมทะเลสาบ สักวันก็ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ดูสิ!”พูดพลางก็กระทืบเท้าไปด้วยผู้คนมามุงดูกันมากขึ้น แต่โชคดีที่ตวนอ๋องรู้ว่าเมิ่งชิงไต้มีสถานะไม่ธรรมดา จึงสั่งให้คนปิดกั้นบริเวณนั้น ยกเว้นซูชิงลั่ว คนอื่นๆ จึงมองดูได้แต่ไกลโชคดีที่ไม่นาน เซี่ยถิงอวี่ก็อุ้มคนขึ้นมาจากน้ำทั้งสองเนื้อตัวเปียกปอน เซี่ยถิงอวี่กดหน้าอกของเมิ่งชิงไต้ไม่หยุด ไม่นานเมิ่งชิงไต้ก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาเซี่ยถิงอวี่ก็รีบโอบนางเข้ามากอดทันที"เจ้าโง่หรือเปล่าเนี่ย" เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อยเมิ่งชิงไต้เพียงยิ้มบ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูชิงลั่วก็เตรียมตัวจะลุกขึ้น แต่ลู่เหิงจือยกมือห้ามไว้ “ไม่ต้อง ต่อไปนี้เรื่องของที่นี่เจ้าไม่ต้องหลบอีกแล้ว”ซูชิงลั่วอดโค้งริมฝีปากยิ้มไม่ได้“ไม่ต้องหลบทุกเรื่องเลยหรือ” นางถามพลางกัดส้มหนึ่งกลีบ “แล้วหากหลังจากนี้ท่านอยากรับอนุชายาล่ะ”ลู่เหิงจือขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเรื่องรับอนุชายาได้ แต่เขาก็ยิ้มออกมา แล้วลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินไปหลังฉากกั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบปลายคางของนาง “เรื่องที่ข้าจะรับอนุชายาไม่มีแม้แต่เงา เจ้าเริ่มหึงหวงแล้วรึ”เขาก้มศีรษะจูบริมฝีปากของนางทันที แล้วกระซิบว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าหรือ ข้าจะไม่รับอนุชายา”ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำรีบผลักเขาออกไป “ท่านยังมีคนต้องพบ…”แต่เขาก็จับคางของนางไว้ไม่ให้ขยับ “ฉางชิงเป็นผู้ฝึกยุทธ เจ้าอย่าส่งเสียงล่ะ”“……”นางจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ขัดขืนและยอมให้เขาข่มเหงบนเก้าอี้หวายครู่หนึ่ง จูบจนริมฝีปากของนางชา เขาถึงลุกขึ้นยืน มองมาที่นางด้วยรอยยิ้ม แล้วเรียกคนข้างนอกเข้ามาเมื่อฉางชิงเดินเข้ามา เขาแอบเหลือบมองไปที่ฉากกั้นก่อน แล้วรายงานเรื่องการทุจริตของผู้ตรวจการมณฑลเ
เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาเรื่อยๆแต่ซูชิงลั่วกลับวิ่งกลับห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ เพราะความเขินอายจนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้าจื๋อหยวนถามนางว่า “ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตูราวกับเป็นขโมยแล้วตอบว่า “เจ้าคอยอยู่ข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามา”จื๋อหยวนค่อนข้างงุนงง แต่ก็เดินไปอย่างเชื่อฟังซูชิงลั่วบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ กัดริมฝีปากล่างจนเจ็บแต่คิดไปคิดมา ก็ยังเปิดหีบ ค้นหาในกองเสื้อผ้าจนเจอสมุดสองเล่ม ปิดตากัดฟัน แล้วเปิดเล่มที่สองที่ท่านยายมอบให้พักใหญ่ถึงกล้าเปิดตาเอ๊ะ? ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดคิดไว้ คนทั้งสองสวมเสื้อผ้าอยู่ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นว่าของที่ออกมาจากวังนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ คนคนนี้วาดได้สมจริงมากเลยนะ ทั้งรูปหน้าที่คมชัดและชัดเจน ไม่รู้ว่าเอาหมึกมาผสมอย่างไรและใช้พู่กันอย่างไรถึงได้วาดได้เช่นนี้ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะศึกษาอย่างตั้งใจ ใช้มือวาดไปมาในอากาศ จนกระทั่งลู่เหิงจือถือกล่องอาหารเข้ามา นางก็ยังไม่รู้ตัวลู่เหิงจือถอดเสื้อคลุมโยนไปที่ฉากกั้นแล้วหันมาหานาง พร้อมกับเรียกให้นางไปกินข้าวซูชิงลั่วยกมือขึ้นพลางพูดว่า “รอก่อน
จากนั้นก็เห็นซูชิงลั่วรีบดึงม่านเตียงลงมาทันที สั่งให้เขาถอดรองเท้า แล้วปิดประตูขังเขาไว้ด้านใน"ห้ามแอบมอง"“……”ลู่เหิงจือฟังเสียงน้ำที่ดังมาจากไกล จึงหัวเราะเสียงแหบแห้งซูชิงลั่วอาบน้ำเสร็จแล้ว เปลี่ยนน้ำใหม่ ลู่เหิงจือก็จะอาบน้ำบ้างทว่าพอเดินไปถึงหลังฉากกั้น ก็เห็นเสื้อชั้นในแขวนอยู่บนฉาก ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงเขินอายแต่ดุร้ายว่า “อย่าคิดจะหลอกให้ข้าเอาเสื้อผ้าไปให้อีกนะ” เห็นทีจะจำได้แล้วว่าครั้งก่อนโดนหลอกช่างผิดแล้วจำเสียจริงๆซูชิงลั่วเช็ดผมไปด้วย ฟังเสียงน้ำในนั้นไปด้วย ใบหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆโชคดีที่ครั้งนี้ลู่เหิงจือคงสั่งนางไม่ได้แล้วผมแห้งลงเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็น ซูชิงลั่วกำลังจะคลุมผ้าห่ม ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของลู่เหิงจือว่า “ออูหยิน กางเกง”“......” ผิดแผนแล้วซูชิงลั่วเงียบไปครู่หนึ่ง จริงๆ แล้วไม่อยากจะสนใจเขา แต่ก็ได้ยินเขาพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าออกมาแบบนี้เลยนะ?""มาแล้ว" ซูชิงลั่วกัดฟัน หากางเกง และยื่นกางเกงข้ามฉากกั้นเขาไม่รับอยู่นาน "เอื้อมไม่ถึง"ซูชิงลั่วจึงจำต้องเลื่อนไปข้างหน้า มือยื่นออกไปไกลขึ้นเล็กน้อย"ขนาดนี้ได้แล้วหรือไม่""ก็ยัง
ซูชิงลั่วอยากจะถามว่าทำไมคนในภาพแต่งตัวเรียบร้อยดีชัดๆแล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าหนังสือเล่มนี้หลุดออกมาจากวังหลวง จึงต้องมีภาพวาดที่เย้ายวนใจใส่ไว้เป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งเห็นแค่ภาพเดียว หากดูต่อไปเรื่อยๆ ภาพก็จะยิ่งเร้าใจขึ้นไปอีกทว่านางก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีก ทำให้เขามีโอกาสมาเย้าแหย่นางต่อผิวสัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือก นางอดไม่ได้ที่จะหดไหล่ เขายกมือขึ้นคลุมนางไว้ใต้ผ้าห่ม แล้วจูบนางอีกครั้งเขาหายใจหอบหนัก แม้จะเป็นคนเย็นชา แต่เขาก็กำมือนางไว้ กัดริมฝีปากล่างของนาง จูบจนนางร้องครางเสียงเบาริมฝีปากเลื่อนลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า ทั้งอุ่นและชื้นนางหลับตาลง รู้สึกถึงแหวนหยกที่นิ้วของเขาเลื่อนลงมาตามข้างเอว"ลู่เหิงจือ......"นางอดร้องเรียกชื่อเขาไม่ได้ รู้สึกว่ายามนี้ความรู้สึกของนางถูกเขาควบคุมไปหมดแล้ว มือคู่ที่เคยบงการอำนาจในราชสำนักนั้น ประทับรอยไว้บนตัวนางเบาๆ ทำให้นางต้องยอมจำนนเขาพูดเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย "เรียกสามี"นางหลับตา เรียกไม่ออกจริงๆแล้วก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดว่า “ครั้งแรกหากอยู่บนเก้าอี้ เจ้าคงเจ็บจุก