เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว ลมก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาเรื่อยๆแต่ซูชิงลั่วกลับวิ่งกลับห้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ เพราะความเขินอายจนต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้าจื๋อหยวนถามนางว่า “ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”ซูชิงลั่วชี้ไปที่ประตูราวกับเป็นขโมยแล้วตอบว่า “เจ้าคอยอยู่ข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามา”จื๋อหยวนค่อนข้างงุนงง แต่ก็เดินไปอย่างเชื่อฟังซูชิงลั่วบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ กัดริมฝีปากล่างจนเจ็บแต่คิดไปคิดมา ก็ยังเปิดหีบ ค้นหาในกองเสื้อผ้าจนเจอสมุดสองเล่ม ปิดตากัดฟัน แล้วเปิดเล่มที่สองที่ท่านยายมอบให้พักใหญ่ถึงกล้าเปิดตาเอ๊ะ? ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดคิดไว้ คนทั้งสองสวมเสื้อผ้าอยู่ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นว่าของที่ออกมาจากวังนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ คนคนนี้วาดได้สมจริงมากเลยนะ ทั้งรูปหน้าที่คมชัดและชัดเจน ไม่รู้ว่าเอาหมึกมาผสมอย่างไรและใช้พู่กันอย่างไรถึงได้วาดได้เช่นนี้ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะศึกษาอย่างตั้งใจ ใช้มือวาดไปมาในอากาศ จนกระทั่งลู่เหิงจือถือกล่องอาหารเข้ามา นางก็ยังไม่รู้ตัวลู่เหิงจือถอดเสื้อคลุมโยนไปที่ฉากกั้นแล้วหันมาหานาง พร้อมกับเรียกให้นางไปกินข้าวซูชิงลั่วยกมือขึ้นพลางพูดว่า “รอก่อน
จากนั้นก็เห็นซูชิงลั่วรีบดึงม่านเตียงลงมาทันที สั่งให้เขาถอดรองเท้า แล้วปิดประตูขังเขาไว้ด้านใน"ห้ามแอบมอง"“……”ลู่เหิงจือฟังเสียงน้ำที่ดังมาจากไกล จึงหัวเราะเสียงแหบแห้งซูชิงลั่วอาบน้ำเสร็จแล้ว เปลี่ยนน้ำใหม่ ลู่เหิงจือก็จะอาบน้ำบ้างทว่าพอเดินไปถึงหลังฉากกั้น ก็เห็นเสื้อชั้นในแขวนอยู่บนฉาก ซูชิงลั่วพูดด้วยน้ำเสียงเขินอายแต่ดุร้ายว่า “อย่าคิดจะหลอกให้ข้าเอาเสื้อผ้าไปให้อีกนะ” เห็นทีจะจำได้แล้วว่าครั้งก่อนโดนหลอกช่างผิดแล้วจำเสียจริงๆซูชิงลั่วเช็ดผมไปด้วย ฟังเสียงน้ำในนั้นไปด้วย ใบหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆโชคดีที่ครั้งนี้ลู่เหิงจือคงสั่งนางไม่ได้แล้วผมแห้งลงเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็น ซูชิงลั่วกำลังจะคลุมผ้าห่ม ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของลู่เหิงจือว่า “ออูหยิน กางเกง”“......” ผิดแผนแล้วซูชิงลั่วเงียบไปครู่หนึ่ง จริงๆ แล้วไม่อยากจะสนใจเขา แต่ก็ได้ยินเขาพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าออกมาแบบนี้เลยนะ?""มาแล้ว" ซูชิงลั่วกัดฟัน หากางเกง และยื่นกางเกงข้ามฉากกั้นเขาไม่รับอยู่นาน "เอื้อมไม่ถึง"ซูชิงลั่วจึงจำต้องเลื่อนไปข้างหน้า มือยื่นออกไปไกลขึ้นเล็กน้อย"ขนาดนี้ได้แล้วหรือไม่""ก็ยัง
ซูชิงลั่วอยากจะถามว่าทำไมคนในภาพแต่งตัวเรียบร้อยดีชัดๆแล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าหนังสือเล่มนี้หลุดออกมาจากวังหลวง จึงต้องมีภาพวาดที่เย้ายวนใจใส่ไว้เป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งเห็นแค่ภาพเดียว หากดูต่อไปเรื่อยๆ ภาพก็จะยิ่งเร้าใจขึ้นไปอีกทว่านางก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีก ทำให้เขามีโอกาสมาเย้าแหย่นางต่อผิวสัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือก นางอดไม่ได้ที่จะหดไหล่ เขายกมือขึ้นคลุมนางไว้ใต้ผ้าห่ม แล้วจูบนางอีกครั้งเขาหายใจหอบหนัก แม้จะเป็นคนเย็นชา แต่เขาก็กำมือนางไว้ กัดริมฝีปากล่างของนาง จูบจนนางร้องครางเสียงเบาริมฝีปากเลื่อนลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า ทั้งอุ่นและชื้นนางหลับตาลง รู้สึกถึงแหวนหยกที่นิ้วของเขาเลื่อนลงมาตามข้างเอว"ลู่เหิงจือ......"นางอดร้องเรียกชื่อเขาไม่ได้ รู้สึกว่ายามนี้ความรู้สึกของนางถูกเขาควบคุมไปหมดแล้ว มือคู่ที่เคยบงการอำนาจในราชสำนักนั้น ประทับรอยไว้บนตัวนางเบาๆ ทำให้นางต้องยอมจำนนเขาพูดเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย "เรียกสามี"นางหลับตา เรียกไม่ออกจริงๆแล้วก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดว่า “ครั้งแรกหากอยู่บนเก้าอี้ เจ้าคงเจ็บจุก
เพราะจวนลู่ยังสู้เรือนของเขาไม่ได้ ที่นี่ปิดสนิทซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ “ก็ ก็ได้”นางสวมชุดชั้นใน กอดหลู่เหิงจือ คิดว่าจะนอนแล้ว ผ่านไปไม่นาน ลู่เหิงจือก็ลุกขึ้น อุ้มนางขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หวายยาว“……”ซูชิงลั่วรู้สึกถึงลางไม่ดี “ไม่ใช่ว่าจะครั้งหน้าหรือ”“เมื่อครู่ไม่นับเป็นครั้งหนึ่งหรือ”“……”เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ ปากแนบชิดกับท้ายทอยของนาง แล้วเรียกชื่อนางเสียงเบาว่า “ชิงลั่ว...…”เสียงของเขา ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลวกพลันให้ชวนนึกถึงคนที่อยู่ในภาพหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา ซูชิงลั่วหันกลับไปเพื่อดูสีหน้าของเขาในยามนี้เขาใช้ฝ่ามืออีกข้างหนุนศีรษะของนางไว้ แล้วจู่ๆ ก็จูบลงบนริมฝีปากของนางหลังจากจูบเสร็จ ลู่เหิงจือขอน้ำอีกแล้วซูชิงลั่วเอนตัวลงบนเตียง ห่มผ้าห่มหนาๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความสิ้นหวังหลังจากล้างตัวเสร็จ ลู่เหิงจือก็กลับมานอนอีกครั้ง ยื่นมือไปโอบเอวบางของนางซูชิงลั่วรีบถอยห่างออกไป พิงกับผนัง “ไม่ไหวแล้ว ไม่ได้แล้ว”ฮือๆ ๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้จื๋อหยวนเอาผ้าห่มออกมาให้ใหม่!“……”ลู่เหิงจือกระแอมเสียงเบา "ไม่แตะต้องเจ้าแล้ว นอนเถอะ""จริงหรือ""จริงสิ"ซูชิงล
ลู่เหิงจือเห็นว่านางโกรธจริงๆ ครั้งนี้จึงลุกขึ้นยืน และยังช่วยนางลดม่านเตียงอย่างใส่ใจ แล้วหันหลังไปใส่เสื้อผ้าและเดินไปยังห้องครัวอย่างเชื่อฟังซูชิงลั่วขดตัวอยู่บนเตียง ขาของนางปวดเมื่อยอย่างมาก พักไปสักครู่จึงเรียกจื๋อหยวนเข้ามาช่วยนางแต่งตัวและหวีผมให้จื๋อหยวนก็ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ถึงกับจะต้องช่วยพยุงฮูหยินของตนจากเตียง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะขณะลงจากเตียง ซูชิงลั่วก็ยังขาอ่อน ทำท่าจะล้มไอ้ผู้ชายเลวทราม!นางอดด่าทอเขาในใจจนหมดเปลือกไม่ได้เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าของลู่เหิงจือเดินเข้ามา นางหันศีรษะจะไล่เขาออกไป แต่ก็ได้กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้ไก่จู่ๆ เสียงอ่อนโยนของลู่เหิงจือก็ดังขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฮูยหิน ซาลาเปาไส้ไก่ที่เจ้าชอบที่สุด”“……”นางรู้สึกเหมือนถูกไอ้ผู้ชายสารเลวควบคุมอย่างไรก็ไม่รู้แต่ซาลาเปาไส้ไก่ก็หอมจริงๆในใจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็อดใจไม่ไหวเพราะฝีมือการทำอาหารของไอ้ผู้ชายสารเลวคนนี้ จึงนั่งลงลู่เหิงจือยกยิ้มมุมปาก ตักเต้าหู้ทรงเครื่องใส่ชามให้นางเพิ่ม “ลองชิมอันนี้ดูสิ เป็นอาหารหังโจว อาจถูกปากเจ้านะ”ต้องบอกว่
เขาแค่ทำตามคำสั่งของนางหลิ่วที่ให้ไปเกลี่ยกล่อมซูชิงลั่วก็เท่านั้น ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวกับนางเลย ถึงขั้นสนใจร่างกายของหลิ่วเยียนหรานมากกว่าเสียอีกเนื่องจากซูชิงลั่วเป็นคนมีระเบียบ สุภาพและดูน่าเบื่อราวกับตำราธรรมะ ทำให้เขาไม่รู้สึกสนใจเลยทว่าขณะนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงเขาก้มลงทำความเคารพนางโดยไม่ทันได้คิด เสียงของเขามีความนุ่มนวลที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว "น้องซูเพิ่งไปน้อมทักอณุสวัสดิ์ท่านยายมาหรือ"เมื่อคำพูดลั่นออกมา เขาถึงกับตกใจก่อนซูชิงลั่วย่อมรู้สึกประหลาดใจ นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่แสดงท่าทีเกลียดนางเลย เมื่อใดที่ลู่เหยียนใจกว้างขนาดนี้แต่นางไม่อยากคุยกับเขามาก เพราะนางแต่งงานแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงความสงสัยนางตอบเพียง "อืม" แล้วพาคนจากไปนางเพียงรู้สึกในใจว่าชุดขาวนวลราวแสงจันทราไม่เหมาะกับลู่เหยียนเอาเสียเลย ไม่เหมือนลู่เหิงจือ เมื่อสวมใส่ชุดสีขาวนวลราวแสงจันทรา ก็ดูสง่างามราวเทพเซียน ไม่เหมือนคนทั่วไปทว่าคืนนั้นเขากลับ...บนร่างกายของนางเอิ่ม พอนึกถึงลู่เหิงจือ นางก็เขินอายมากรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วลู่เหยียนมองแผ่นหลังที่จากไ
เมื่อยามค่ำคืน ฉางชิงคุกเข่าอยู่กลางสายลมหนาวอย่างหนาวสั่นเขารู้สึกว่าถูกใส่ร้ายเขากลับมาจากการออกไปทำงานเพียงครึ่งค่อนปี เหตุใดสถานการณ์ในจวนของใต้เท้าถึงเปลี่ยนพลิกฟ้าเช่นนี้พวกฉางเฟิงและฉางเหอที่สมคงอิจฉาที่เขาได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ดูดีมีสง่าราศี จึงจงใจไม่เตือนเขาแน่ๆทว่าฮูหยินคนใหม่ได้รับความโปรดปรานมากขนาดนี้เลยหรือ?ห้องหนังสือที่มีเอกสารสำคัญจำนวนมากสามารถเข้าออกและย้ายของได้ตามใจชอบเช่นนี้เลยหรือประตูห้องหนังสือเปิดออก ลู่เหิงจือเดินออกมาพร้อมกับซูชิงลั่วในอ้อมแขน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกนิดหน่อย เจ้าไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อนเถอะ หากเหนื่อยก็เข้านอนได้เลย”คำว่าเหนื่อยดูเหมือนมีนัยยะแฝงซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำและพยักหน้า วันนี้นางจัดห้องหนังสือเสร็จแล้วก็มาจัดห้องนอนต่อ ก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆลมหนาวพัดกระหน่ำเข้ามาในเสื้อผ้า ซูชิงลั่วหันไปมองฉางชิงที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู จึงอยากจะขอร้องแทนเขา “อากาศหนาวมาก เขา...”ลู่เหิงจือขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า "ให้เขาได้บทเรียนสักหน่อย"ฉางชิงทำหน้าบึ้งไม่กล้าโต้แย้งซูชิงลั่วไม่รู้จะ
หลังจากจบลง เขาก้มลงไปจูบน้ำตาที่มุมตาของนางแล้วพูดว่า “ขอโทษ......”ซูชิงลั่วมองเขาและพูดว่า “ท่านหึงหนักมาก ข้าแทบไม่ได้พูดคุยกับลู่เหยียนเลย”ลู่เหิงจือนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่สายตากลับยังคงลึกล้ำไม่ใช่ว่าจะตำหนินาง เพียงแต่อดอิจฉาไม่ได้เขามีความยึดมั่นในสิ่งหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นหลังจากที่นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่กับคนอื่นเมื่อนึกถึงซูชิงลั่วที่เคยชอบลู่เหยียน หัวใจของเขาก็แอบเจ็บแปลบ และควบคุมไม่อยู่ซูชิงลั่วดูเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาและกุมแก้มทั้งสองข้างของเขา "ท่านไม่ใช่คิดว่าข้ายังมีใจให้ลู่เหยียนอยู่ใช่หรือไม่ เป็นไปได้อย่างไร ยามนั้นเขา...แบบนั้น""ไม่ใช่" น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมากไม่ใช่เรื่องนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องในอดีต?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก โน้มตัวเข้าไปข้างหูของเขาแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้ว ฉข้าหมั้นหมายกับเขา หลักๆ ก็เพราะท่านยายของข้า ข้าไม่ได้...กับเขาเลย"ไม่มีอะไร แต่กลับพูดไม่ออกเพราะไม่ต้องการเชื่อมโยงคำว่าหวั่นไหวกับลู่เหยียนนางหยุดชะงักชั่วขณะ และลู่เหิงจือก็วางมือบนหลังนาง แล้วถามว่า "ไม่มีอะไรหรือ"นี่เป็นครั้งแรกที่เ