ซูชิงลั่วอยากจะถามว่าทำไมคนในภาพแต่งตัวเรียบร้อยดีชัดๆแล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าหนังสือเล่มนี้หลุดออกมาจากวังหลวง จึงต้องมีภาพวาดที่เย้ายวนใจใส่ไว้เป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งเห็นแค่ภาพเดียว หากดูต่อไปเรื่อยๆ ภาพก็จะยิ่งเร้าใจขึ้นไปอีกทว่านางก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีก ทำให้เขามีโอกาสมาเย้าแหย่นางต่อผิวสัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือก นางอดไม่ได้ที่จะหดไหล่ เขายกมือขึ้นคลุมนางไว้ใต้ผ้าห่ม แล้วจูบนางอีกครั้งเขาหายใจหอบหนัก แม้จะเป็นคนเย็นชา แต่เขาก็กำมือนางไว้ กัดริมฝีปากล่างของนาง จูบจนนางร้องครางเสียงเบาริมฝีปากเลื่อนลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า ทั้งอุ่นและชื้นนางหลับตาลง รู้สึกถึงแหวนหยกที่นิ้วของเขาเลื่อนลงมาตามข้างเอว"ลู่เหิงจือ......"นางอดร้องเรียกชื่อเขาไม่ได้ รู้สึกว่ายามนี้ความรู้สึกของนางถูกเขาควบคุมไปหมดแล้ว มือคู่ที่เคยบงการอำนาจในราชสำนักนั้น ประทับรอยไว้บนตัวนางเบาๆ ทำให้นางต้องยอมจำนนเขาพูดเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย "เรียกสามี"นางหลับตา เรียกไม่ออกจริงๆแล้วก็ได้ยินเสียงลู่เหิงจือพูดว่า “ครั้งแรกหากอยู่บนเก้าอี้ เจ้าคงเจ็บจุก
เพราะจวนลู่ยังสู้เรือนของเขาไม่ได้ ที่นี่ปิดสนิทซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ “ก็ ก็ได้”นางสวมชุดชั้นใน กอดหลู่เหิงจือ คิดว่าจะนอนแล้ว ผ่านไปไม่นาน ลู่เหิงจือก็ลุกขึ้น อุ้มนางขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หวายยาว“……”ซูชิงลั่วรู้สึกถึงลางไม่ดี “ไม่ใช่ว่าจะครั้งหน้าหรือ”“เมื่อครู่ไม่นับเป็นครั้งหนึ่งหรือ”“……”เขาใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ ปากแนบชิดกับท้ายทอยของนาง แล้วเรียกชื่อนางเสียงเบาว่า “ชิงลั่ว...…”เสียงของเขา ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลวกพลันให้ชวนนึกถึงคนที่อยู่ในภาพหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา ซูชิงลั่วหันกลับไปเพื่อดูสีหน้าของเขาในยามนี้เขาใช้ฝ่ามืออีกข้างหนุนศีรษะของนางไว้ แล้วจู่ๆ ก็จูบลงบนริมฝีปากของนางหลังจากจูบเสร็จ ลู่เหิงจือขอน้ำอีกแล้วซูชิงลั่วเอนตัวลงบนเตียง ห่มผ้าห่มหนาๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความสิ้นหวังหลังจากล้างตัวเสร็จ ลู่เหิงจือก็กลับมานอนอีกครั้ง ยื่นมือไปโอบเอวบางของนางซูชิงลั่วรีบถอยห่างออกไป พิงกับผนัง “ไม่ไหวแล้ว ไม่ได้แล้ว”ฮือๆ ๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้จื๋อหยวนเอาผ้าห่มออกมาให้ใหม่!“……”ลู่เหิงจือกระแอมเสียงเบา "ไม่แตะต้องเจ้าแล้ว นอนเถอะ""จริงหรือ""จริงสิ"ซูชิงล
ลู่เหิงจือเห็นว่านางโกรธจริงๆ ครั้งนี้จึงลุกขึ้นยืน และยังช่วยนางลดม่านเตียงอย่างใส่ใจ แล้วหันหลังไปใส่เสื้อผ้าและเดินไปยังห้องครัวอย่างเชื่อฟังซูชิงลั่วขดตัวอยู่บนเตียง ขาของนางปวดเมื่อยอย่างมาก พักไปสักครู่จึงเรียกจื๋อหยวนเข้ามาช่วยนางแต่งตัวและหวีผมให้จื๋อหยวนก็ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ถึงกับจะต้องช่วยพยุงฮูหยินของตนจากเตียง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะขณะลงจากเตียง ซูชิงลั่วก็ยังขาอ่อน ทำท่าจะล้มไอ้ผู้ชายเลวทราม!นางอดด่าทอเขาในใจจนหมดเปลือกไม่ได้เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าของลู่เหิงจือเดินเข้ามา นางหันศีรษะจะไล่เขาออกไป แต่ก็ได้กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้ไก่จู่ๆ เสียงอ่อนโยนของลู่เหิงจือก็ดังขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฮูยหิน ซาลาเปาไส้ไก่ที่เจ้าชอบที่สุด”“……”นางรู้สึกเหมือนถูกไอ้ผู้ชายสารเลวควบคุมอย่างไรก็ไม่รู้แต่ซาลาเปาไส้ไก่ก็หอมจริงๆในใจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็อดใจไม่ไหวเพราะฝีมือการทำอาหารของไอ้ผู้ชายสารเลวคนนี้ จึงนั่งลงลู่เหิงจือยกยิ้มมุมปาก ตักเต้าหู้ทรงเครื่องใส่ชามให้นางเพิ่ม “ลองชิมอันนี้ดูสิ เป็นอาหารหังโจว อาจถูกปากเจ้านะ”ต้องบอกว่
เขาแค่ทำตามคำสั่งของนางหลิ่วที่ให้ไปเกลี่ยกล่อมซูชิงลั่วก็เท่านั้น ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวกับนางเลย ถึงขั้นสนใจร่างกายของหลิ่วเยียนหรานมากกว่าเสียอีกเนื่องจากซูชิงลั่วเป็นคนมีระเบียบ สุภาพและดูน่าเบื่อราวกับตำราธรรมะ ทำให้เขาไม่รู้สึกสนใจเลยทว่าขณะนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงเขาก้มลงทำความเคารพนางโดยไม่ทันได้คิด เสียงของเขามีความนุ่มนวลที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว "น้องซูเพิ่งไปน้อมทักอณุสวัสดิ์ท่านยายมาหรือ"เมื่อคำพูดลั่นออกมา เขาถึงกับตกใจก่อนซูชิงลั่วย่อมรู้สึกประหลาดใจ นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่แสดงท่าทีเกลียดนางเลย เมื่อใดที่ลู่เหยียนใจกว้างขนาดนี้แต่นางไม่อยากคุยกับเขามาก เพราะนางแต่งงานแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงความสงสัยนางตอบเพียง "อืม" แล้วพาคนจากไปนางเพียงรู้สึกในใจว่าชุดขาวนวลราวแสงจันทราไม่เหมาะกับลู่เหยียนเอาเสียเลย ไม่เหมือนลู่เหิงจือ เมื่อสวมใส่ชุดสีขาวนวลราวแสงจันทรา ก็ดูสง่างามราวเทพเซียน ไม่เหมือนคนทั่วไปทว่าคืนนั้นเขากลับ...บนร่างกายของนางเอิ่ม พอนึกถึงลู่เหิงจือ นางก็เขินอายมากรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วลู่เหยียนมองแผ่นหลังที่จากไ
เมื่อยามค่ำคืน ฉางชิงคุกเข่าอยู่กลางสายลมหนาวอย่างหนาวสั่นเขารู้สึกว่าถูกใส่ร้ายเขากลับมาจากการออกไปทำงานเพียงครึ่งค่อนปี เหตุใดสถานการณ์ในจวนของใต้เท้าถึงเปลี่ยนพลิกฟ้าเช่นนี้พวกฉางเฟิงและฉางเหอที่สมคงอิจฉาที่เขาได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ดูดีมีสง่าราศี จึงจงใจไม่เตือนเขาแน่ๆทว่าฮูหยินคนใหม่ได้รับความโปรดปรานมากขนาดนี้เลยหรือ?ห้องหนังสือที่มีเอกสารสำคัญจำนวนมากสามารถเข้าออกและย้ายของได้ตามใจชอบเช่นนี้เลยหรือประตูห้องหนังสือเปิดออก ลู่เหิงจือเดินออกมาพร้อมกับซูชิงลั่วในอ้อมแขน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกนิดหน่อย เจ้าไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อนเถอะ หากเหนื่อยก็เข้านอนได้เลย”คำว่าเหนื่อยดูเหมือนมีนัยยะแฝงซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำและพยักหน้า วันนี้นางจัดห้องหนังสือเสร็จแล้วก็มาจัดห้องนอนต่อ ก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆลมหนาวพัดกระหน่ำเข้ามาในเสื้อผ้า ซูชิงลั่วหันไปมองฉางชิงที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู จึงอยากจะขอร้องแทนเขา “อากาศหนาวมาก เขา...”ลู่เหิงจือขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า "ให้เขาได้บทเรียนสักหน่อย"ฉางชิงทำหน้าบึ้งไม่กล้าโต้แย้งซูชิงลั่วไม่รู้จะ
หลังจากจบลง เขาก้มลงไปจูบน้ำตาที่มุมตาของนางแล้วพูดว่า “ขอโทษ......”ซูชิงลั่วมองเขาและพูดว่า “ท่านหึงหนักมาก ข้าแทบไม่ได้พูดคุยกับลู่เหยียนเลย”ลู่เหิงจือนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่สายตากลับยังคงลึกล้ำไม่ใช่ว่าจะตำหนินาง เพียงแต่อดอิจฉาไม่ได้เขามีความยึดมั่นในสิ่งหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นหลังจากที่นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่กับคนอื่นเมื่อนึกถึงซูชิงลั่วที่เคยชอบลู่เหยียน หัวใจของเขาก็แอบเจ็บแปลบ และควบคุมไม่อยู่ซูชิงลั่วดูเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาและกุมแก้มทั้งสองข้างของเขา "ท่านไม่ใช่คิดว่าข้ายังมีใจให้ลู่เหยียนอยู่ใช่หรือไม่ เป็นไปได้อย่างไร ยามนั้นเขา...แบบนั้น""ไม่ใช่" น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมากไม่ใช่เรื่องนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องในอดีต?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก โน้มตัวเข้าไปข้างหูของเขาแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้ว ฉข้าหมั้นหมายกับเขา หลักๆ ก็เพราะท่านยายของข้า ข้าไม่ได้...กับเขาเลย"ไม่มีอะไร แต่กลับพูดไม่ออกเพราะไม่ต้องการเชื่อมโยงคำว่าหวั่นไหวกับลู่เหยียนนางหยุดชะงักชั่วขณะ และลู่เหิงจือก็วางมือบนหลังนาง แล้วถามว่า "ไม่มีอะไรหรือ"นี่เป็นครั้งแรกที่เ
ซูชิงลั่วสวมชุดสีแดงส้มผ้าไหมจากเมืองซู เดิมเป็นชุดที่ทำให้นางดูสวยงามอยู่แล้ว แต่ท่าทางบ่นของนางก็ทั้งดูน่ารักและน่าเอ็นดู เสียงของนางยังมีน้ำเสียงออดอ้อนปนอยู่ลู่เหิงจืออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย สั่งให้คนนำกล่องอาหารเข้ามา แล้วเดินมาจับมือของนางไว้ “เป็นความผิดของข้าเอง ที่เพิ่งกลับเข้าท้องพระโรงก็ยุ่งไปหน่อย”นางไม่ขยับ ปล่อยให้เขาจับมือนางไว้ และไม่ได้สลัดมือออกลู่เหิงจือก็อุ้มนางขึ้นมาทันทีร่างลอยขึ้นกลางอากาศ ซูชิงลั่วตกใจมาก โอบคอเขาแน่นจื๋อหยวนและอวี้จู๋ก้มหน้าลงพร้อมกันในทันที ไม่กล้าดู หูของอวี้จู๋ดูเหมือนจะแดงเล็กน้อยซูชิงลั่วเองก็เขินอาย พยายามผลักลู่เหิงจือออก “ท่านอย่า......รีบวางขาลง”แรงน้อยนิดของนาง ผลักเขาไม่ออกเลยปล่อยให้เขาอุ้มตัวไปนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ และได้ยินเขาไล่สาวใช้ออกไป “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รอรับใช้”อาหารในกล่องน่าจะเป็นฝีมือพ่อครัว ไม่เหมือนฝีมือของลู่เหิงจือ แม้จะดูประณีต แต่เมื่อเทียบกับอาหารที่ลู่เหิงจื่อทำ ก็ขาดรสชาติของบ้านไปบ้างไม่รู้ว่าเป็นเพราะทั้งสองคนไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานหรือไม่ ลู่เหิงจือจึงดูแลนางเป็นพิเศษ คอยคีบอาหาร
การส่งเขาไปตรวจสอบภาษีที่เจียงหนาน ขณะที่ประเมินผลงานของขุนนางนั้น ถือเป็นการเตือนเขาไปในตัวหากไม่ใช่เพราะเซี่ยถิงอวี่ไม่เคยสนใจศึกษาเล่าเรียนและมัวแต่เที่ยวเตร่ คงจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ยากยิ่งกว่าเดิมก่อนหน้านี้เขาเป็นคนโดดเดี่ยวไม่กลัวอะไร แต่ยามนี้เขามีซูชิงลั่วแล้ว ทุกอย่างเขาก็ต้องคิดถึงนางเป็นหลักซูชิงลั่วถามว่า “แล้วท่านจะไปเมื่อใด”ลู่เหิงจือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบว่า “อีกสองสามวันนี้แหละ”นางประหลาดใจ “รีบขนาดนั้นเลยหรือ”“เป็นพระราชโองการ ไม่อาจปฏิเสธได้” เขาตอบเสียงนิ่งเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวทางนั้นดูยุ่งยากพอสมควร ข้าก็อยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในช่วงตรุษจีน”คนในอ้อมกอดดูเหมือนจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจลู่เหิงจือใจอ่อนดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามีแต่ความอ่อนโยนอย่างท่วมท้นในใจ อยากจะมอบให้นาง อยากเห็นนางมีความสุขเขาจึงก้มศีรษะบังคับให้นางมองหน้าแล้วจูบนางไม่ได้แตะต้องเขามาหลายวัน เขาก็จะไปเจียงหนานแล้ว ซูชิงลั่วก็อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา ดูเชื่องฟังอย่างมาก แทบจะยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจเขาเอื้อมมืออ