การส่งเขาไปตรวจสอบภาษีที่เจียงหนาน ขณะที่ประเมินผลงานของขุนนางนั้น ถือเป็นการเตือนเขาไปในตัวหากไม่ใช่เพราะเซี่ยถิงอวี่ไม่เคยสนใจศึกษาเล่าเรียนและมัวแต่เที่ยวเตร่ คงจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ยากยิ่งกว่าเดิมก่อนหน้านี้เขาเป็นคนโดดเดี่ยวไม่กลัวอะไร แต่ยามนี้เขามีซูชิงลั่วแล้ว ทุกอย่างเขาก็ต้องคิดถึงนางเป็นหลักซูชิงลั่วถามว่า “แล้วท่านจะไปเมื่อใด”ลู่เหิงจือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบว่า “อีกสองสามวันนี้แหละ”นางประหลาดใจ “รีบขนาดนั้นเลยหรือ”“เป็นพระราชโองการ ไม่อาจปฏิเสธได้” เขาตอบเสียงนิ่งเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวทางนั้นดูยุ่งยากพอสมควร ข้าก็อยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในช่วงตรุษจีน”คนในอ้อมกอดดูเหมือนจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจลู่เหิงจือใจอ่อนดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามีแต่ความอ่อนโยนอย่างท่วมท้นในใจ อยากจะมอบให้นาง อยากเห็นนางมีความสุขเขาจึงก้มศีรษะบังคับให้นางมองหน้าแล้วจูบนางไม่ได้แตะต้องเขามาหลายวัน เขาก็จะไปเจียงหนานแล้ว ซูชิงลั่วก็อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา ดูเชื่องฟังอย่างมาก แทบจะยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจเขาเอื้อมมืออ
ค่ำคืนนี้ซูชิงลั่วนอนไม่ค่อยหลับฝันร้ายตลอดทั้งคืน ประเดี๋ยวฝันเห็นลู่เหิงจือถูกคนลอบสังหาร ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลอาบกาย เปื้อนเลือดไปทั่วทั้งชุดประเดี๋ยวก็ฝันเห็นเขาถูกบังคับให้กระโดดลงจากเรือจมน้ำ หายใจรวยรินและถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง แล้วถูกเด็กสาวช่วยไว้หญิงสาวผู้นั้นสวยมาก และบอกกับหลู่เหิงจือว่าชอบเขามากลู่เหิงจือเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสีหน้าซับซ้อน - ราวกับภาพวาดที่หยุดนิ่งอยู่ในขณะนั้นซูชิงลั่วลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นแสงรุ่งอรุณแล้ว แต่ผ้าห่มข้างกายยังคงเย็นเฉียบ ลู่เหิงจือไม่ได้กลับมาทั้งคืนนางลุกขึ้นเรียกจื๋อหยวนเข้ามาและถามว่า “พี่สามยังอยู่เรือนหน้าอยู่หรือไม่”"เจ้าค่ะ ซ่งเหวินมาบอกขณะยามสี่ว่ายังยุ่งอยู่เจ้าค่ะ” จื๋อหยวนช่วยนางแต่งตัวและหวีผมซูชิงลั่วจ้องมองภาพสะท้อนในกระจกทองแดงด้วยดวงตาเหม่อลอย และนึกถึงฉากในความฝันความฝันของนางมักจะแม่นยำเสมอก่อนหน้านี้ความฝันเกี่ยวกับลู่เหยียนและหนิงไห่ลู่ก็เป็นจริงทั้งหมดแล้วไม่ถูก…แต่ก่อนนางก็เคยฝันว่าลู่เหิงจือจะไม่แต่งงานชัดๆ แต่ยามนี้เขากลับแต่งงานกับนางแล้วหรือว่าเรื่องในความฝันจะเปลี่ยนแปลงไปต
ซูชิงลั่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงพูดสิ่งเหล่านี้กับนาง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ายังดูกลัวว่านางจะทำลายอนาคตที่ก้าวหน้าของเขาเสียขนาดนั้น เหตุใดเวลานี้กลับยอมโอนอ่อนขึ้นมากะทันหันหรือจะเป็นเพราะเงินทองไม่พอใช้คิดไปคิดมา ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เหตุผลนี้ความรู้สึกรังเกียจที่นางมีต่อลู่เหยียนเพิ่มขึ้นทันควัน น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด : "เรื่องที่ไม่สลักสำคัญเหล่านั้น ข้าลืมไปหมดแล้ว ยามนี้ ข้าแต่งกับพี่สามของท่านแล้ว ท่านยังเอาแต่เรียกข้าว่าน้องซูจะเหมาะสมได้เช่นไร ท่านควรเรียกข้าว่าพี่สะใภ้สามถึงจะถูก"ลู่เหยียนชะงักงัน สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อยลู่เหิงจือขำออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปซูชิงลั่วได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยจึงหันไป ลู่เหิงจือเพิ่งกลับมาจากว่าราชการ ยังไม่ทันได้ถอดชุดคลุมพญางูสีน้ำเงินทำให้มีความรู้สึกกดดันที่ยากจะอธิบายบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา เพียงแค่ความรู้สึกกดดันนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดสำหรับนาง แต่กลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำเขาเดินตรงเข้ามา แล้วเอ่ยนิ่งๆ : "ไม่ได้ยินหรือ เรียกพี่สะใภ้สาม"ลู่เหยียนเกิดอาการลนลานขึ้นมาชั่วขณะลู่เหิง
แค่เห็นท่าทางของลู่เหิงจือก็รู้ว่าคำขอนี้เกินกว่าเหตุไปมากสตรีในรัชสมัยนี้ยึดถือหลักสามปฏิบัติสี่จรรยา อยู่เรือนเลี้ยงลูกช่วยเหลือสามี จะตามสามีออกไปข้างนอกได้เช่นไร นับประสาอะไรกับเขาที่ออกไปทำการใหญ่ของราชการ จะให้นางตามไปด้วยก็ไม่เหมาะซูชิงลั่วรีบเอ่ย : "ข้าเพียงแค่พูดไปเช่นนั้น"รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูฝืนเกร็ง ทั้งยังพยายามปกปิดความรู้สึกด้วยการจัดเสื้อผ้าบนตัวเขา "พอดีตัวมากจริงๆ ข้าจะช่วยทำให้ท่านอีกหลายๆ ชุด แม้หน้าหนาวของเจียงหนานจะไม่หนาวเช่นเมืองหลวง แต่ถ้าหากหนาวขึ้นมาแล้ว ทั้งเปียกชื้นและเย็นยะเยือก ก็ทรมานไม่น้อย ข้าจะรีบเย็บเสื้อนวมให้ท่านอีกสองตัว""ไม่รีบร้อน ข้ายังไม่ถึงขั้นไม่มีเสื้อนวมใส่" ลู่เหิงจือถอนหายใจเบาๆ สวมกอดนางจากเบื้องหลัง เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับรสชาติของความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิงก่อหน้าเขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว ไม่ว่าทำจะสิ่งใด หากคิดจะไปก็ออกเดินทางทันที เวลานี้จึงเกิดความอาวรณ์กับบ้านเกิดที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ขึ้นมาไม่น้อยซูชิงลั่วอดพูดไม่ได้ : "พวกเรายังแต่งงานกันได้ไม่ถึงครึ่งเดือน..."ก็ต้องแยกจากกันแล้วน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล
ทันใดนั้นเองซ่งเหวินก็เคาะประตูเข้ามา น้ำเสียงของลู่เหิงจือแสดงออกถึงความเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด : "มีเรื่องอันใดอีก"แม้ในยามปกติเขาจะเฉยชาเคร่งขรึม แต่ก็มีเวลาที่หมดความอดทนกันบ้าง ซ่งเหวินหัวใจเต้นตึกตัก แต่ก็พูดออกมา : "เมื่อครู่นายหญิงมาที่นี่ แต่มาถึงหน้าประตูก็กลับไปเสียก่อน"สีหน้าของลู่เหิงจือพลันอ่อนโยนลงมาทันทีนางจะต้องเป็นห่วงเขามาก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเขาถึงได้ทำเช่นนี้เขาสั่งให้ซ่งเหวินออกไป แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ทว่าจิตใจกลับไม่ได้อยู่กับงานราชการอย่างชัดเจนเหยาชั่วพูดแทงใจดำ : "ใต้เท้าต้องจิตใจแน่วแน่อยู่กับเรื่องที่กำลังหารือ จะมัวลุ่มหลงอยู่กับสาวงามไม่ได้"เซี่ยถิงอวี่ก็เป็นเช่นนี้้ เขาก็เป็นเช่นนี้ การใหญ่ของพวกเขาจะยังทำต่อไปหรือไม่ลู่เหิงจือจ้องมองเขาปราดหนึ่ง เหยาชั่วรีบปิดปากเงียบทันทีลู่เหิงจือไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมานิ่งๆ : "หากข้าพาภรรยาของข้าไปเจียงหนานด้วย เห็นเช่นไร"ตกตะลึงราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวอย่างไม่ต้องสงสัยเหยาชั่วนิ่งอึ้งไปราวกับท่อนไม้ สงสัยว่าตนได้ยินผิดไปลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ : "หวังเหลียงฮั่นผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย
แววตาของลู่เหิงจือลุ่มลึกกว่าเดิมเขาหัวเราะเบาๆ : "ช่างกล้าหาญยิ่งนัก"ซูชิงลั่วหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้นาง...นางก็แค่รู้สึกว่าเขาจะต้องไปแล้ว เมื่อครู่ลองเปิดหนังสือดู ทั้งยังแบกหน้าไปถามฉู่หมัวมัวมาอีกด้วยฉู่หมัวมัวบอกนางว่า บุรุษต่างก็ชอบแบบนี้ทั้งสิ้นหรือว่า...ลู่เหิงจือจะไม่ชอบระหว่างที่นางกำลังสงสัย ตรงหน้าพลันว่างเปล่า ลู่เหิงจือไม่รู้ว่านอนลงไปตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะยกนางขึ้นไปบนตัวเขาเขาช้อนปลายคางนางขึ้นเบาๆๆ : "ให้ข้าดูหน่อย เจ้าเรียนสิ่งใดมาบ้างแล้ว"ใบหูของซูชิงลั่วเริ่มแดง พลันหลับตาลงได้ยินเสียงเสียงถ่านเผาไหม้ประสานกับเสียงออดอ้อนของนางเสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนลงมาที่พื้นทีละชิ้นๆเขาประครองเอวคอดบางของนางไว้ ออกแรงสลับกับเบาแรงเป็นระยะ ความปรารถนาในดวงตาล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆท่วงท่าของนางแฝงไว้ด้วยความหมายอื่น ดูเหมือนจงใจจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาใจเขา ราวกับปีศาจสาวในหนังสือนิยายที่คอยยั่วยวนผู้คนผมยาวสะบัดอยู่กลางอากาศเบาๆ สะบัดโดนข้อมือของเขา ทั้งเสียวและชาร่างกายก็กำลังโยกขึ้นลง จนเขาเกิดอาการตาลาย จนเขาแทบจะเสียการควบคุมแทบจะสามารถตายแทบอ
ความประหลาดใจในดวงตาเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ลู่เหิงจือพยักหน้า"ในเมื่อชวนเจ้าไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"การเดินทางครั้งนี้มีองครักษ์ลับของเซี่ยถิงอวี่ติดตามไปด้วย อีกทั้งเรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องเงินภาษี ไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายอีกอย่างเมื่อมีนางอยู่ด้วย เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการไปช้าๆ ได้ ไม่ต้องรีบกลับเมืองหลวง ระหว่างทางยังสามารถพานางไปจินหลิงได้อีกด้วยซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเก็บของนะเจ้าคะ"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เดินทางครั้งนี้เรียบง่าย เจ้าพาสาวใช้ไปได้เพียงคนเดียว""ข้าจะพาจื๋อหยวนไป ข้ากับนางต่างก็ขี่ม้าเป็นทั้งคู่ ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน" นางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะรีบสวมเสื้อซับชั้นในแล้วลงจากเตียงไปความจริงแล้วที่นางกล้าพูดเรื่องไปเจียงหนานกับลู่เหิงจือก็เพราะถือว่าตนขี่ม้าได้ ท่านพ่อทำธุรกิจ มีลูกสาวเพียงคนเดียว อยากจะให้นางสืบทอดกิจการต่อ พอนางเพิ่งจะอายุได้สิบแปดก็สอนให้นางฝึกขี่ม้า"ที่แท้น้องหญิงก็ขี่ม้าเป็น มิน่าล่ะ" น้ำเสียงราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่างซูชิงลั่วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้กันทะหัน ออกแรงชกแผงอกลู่เหิงจือไปหนึ่งหมัด
เมื่อวานหิมะตกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ หิมะด้านนอกก็ละลายไปจนหมดสิ้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วบอกลาทุกคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปรถม้ากว้างขวาง ทั้งยังมีเตียงเล็กแคบๆ หนึ่งเตียง หากเหนื่อยก็สามารถนอนพักได้ลู่เหิงจือนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือเรียกนางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะในหัวพลันผุดภาพคู่ชายหญิงบนรถม้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมากะทันหัน แล้วพลอยนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านตอนยังไม่รู้เดียงสา บุรุษและหญิงงามตกลงปลงใจกันบนรถม้า นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา"ข้าไม่ค่อยชินกับการนั่งบนเตียง นั่งที่นี่ก็พอ" นางยิ้มแห้งๆลู่เหิงจือสบายๆ ไม่ได้ถือสาอะไรนัก ก่อนจะหยิบหนังสือจากหีบที่อยู่ใต้เตียงออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านซูชิงลั่วโล่งอกยังดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้มีความชอบประหลาดๆลู่เหิงจือค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สายตากวาดมาที่นางปราดหนึ่ง แล้วกลับไปอยู่บนหนังสือต่อไม่รู้ว่าเพราะประหม่าหรืออย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เหิงจือมองนางแฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มนางเผลอตัวหดไปอ