ซูชิงลั่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงพูดสิ่งเหล่านี้กับนาง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ายังดูกลัวว่านางจะทำลายอนาคตที่ก้าวหน้าของเขาเสียขนาดนั้น เหตุใดเวลานี้กลับยอมโอนอ่อนขึ้นมากะทันหันหรือจะเป็นเพราะเงินทองไม่พอใช้คิดไปคิดมา ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เหตุผลนี้ความรู้สึกรังเกียจที่นางมีต่อลู่เหยียนเพิ่มขึ้นทันควัน น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด : "เรื่องที่ไม่สลักสำคัญเหล่านั้น ข้าลืมไปหมดแล้ว ยามนี้ ข้าแต่งกับพี่สามของท่านแล้ว ท่านยังเอาแต่เรียกข้าว่าน้องซูจะเหมาะสมได้เช่นไร ท่านควรเรียกข้าว่าพี่สะใภ้สามถึงจะถูก"ลู่เหยียนชะงักงัน สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อยลู่เหิงจือขำออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปซูชิงลั่วได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยจึงหันไป ลู่เหิงจือเพิ่งกลับมาจากว่าราชการ ยังไม่ทันได้ถอดชุดคลุมพญางูสีน้ำเงินทำให้มีความรู้สึกกดดันที่ยากจะอธิบายบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา เพียงแค่ความรู้สึกกดดันนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดสำหรับนาง แต่กลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำเขาเดินตรงเข้ามา แล้วเอ่ยนิ่งๆ : "ไม่ได้ยินหรือ เรียกพี่สะใภ้สาม"ลู่เหยียนเกิดอาการลนลานขึ้นมาชั่วขณะลู่เหิง
แค่เห็นท่าทางของลู่เหิงจือก็รู้ว่าคำขอนี้เกินกว่าเหตุไปมากสตรีในรัชสมัยนี้ยึดถือหลักสามปฏิบัติสี่จรรยา อยู่เรือนเลี้ยงลูกช่วยเหลือสามี จะตามสามีออกไปข้างนอกได้เช่นไร นับประสาอะไรกับเขาที่ออกไปทำการใหญ่ของราชการ จะให้นางตามไปด้วยก็ไม่เหมาะซูชิงลั่วรีบเอ่ย : "ข้าเพียงแค่พูดไปเช่นนั้น"รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูฝืนเกร็ง ทั้งยังพยายามปกปิดความรู้สึกด้วยการจัดเสื้อผ้าบนตัวเขา "พอดีตัวมากจริงๆ ข้าจะช่วยทำให้ท่านอีกหลายๆ ชุด แม้หน้าหนาวของเจียงหนานจะไม่หนาวเช่นเมืองหลวง แต่ถ้าหากหนาวขึ้นมาแล้ว ทั้งเปียกชื้นและเย็นยะเยือก ก็ทรมานไม่น้อย ข้าจะรีบเย็บเสื้อนวมให้ท่านอีกสองตัว""ไม่รีบร้อน ข้ายังไม่ถึงขั้นไม่มีเสื้อนวมใส่" ลู่เหิงจือถอนหายใจเบาๆ สวมกอดนางจากเบื้องหลัง เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับรสชาติของความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิงก่อหน้าเขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว ไม่ว่าทำจะสิ่งใด หากคิดจะไปก็ออกเดินทางทันที เวลานี้จึงเกิดความอาวรณ์กับบ้านเกิดที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ขึ้นมาไม่น้อยซูชิงลั่วอดพูดไม่ได้ : "พวกเรายังแต่งงานกันได้ไม่ถึงครึ่งเดือน..."ก็ต้องแยกจากกันแล้วน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล
ทันใดนั้นเองซ่งเหวินก็เคาะประตูเข้ามา น้ำเสียงของลู่เหิงจือแสดงออกถึงความเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด : "มีเรื่องอันใดอีก"แม้ในยามปกติเขาจะเฉยชาเคร่งขรึม แต่ก็มีเวลาที่หมดความอดทนกันบ้าง ซ่งเหวินหัวใจเต้นตึกตัก แต่ก็พูดออกมา : "เมื่อครู่นายหญิงมาที่นี่ แต่มาถึงหน้าประตูก็กลับไปเสียก่อน"สีหน้าของลู่เหิงจือพลันอ่อนโยนลงมาทันทีนางจะต้องเป็นห่วงเขามาก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเขาถึงได้ทำเช่นนี้เขาสั่งให้ซ่งเหวินออกไป แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ทว่าจิตใจกลับไม่ได้อยู่กับงานราชการอย่างชัดเจนเหยาชั่วพูดแทงใจดำ : "ใต้เท้าต้องจิตใจแน่วแน่อยู่กับเรื่องที่กำลังหารือ จะมัวลุ่มหลงอยู่กับสาวงามไม่ได้"เซี่ยถิงอวี่ก็เป็นเช่นนี้้ เขาก็เป็นเช่นนี้ การใหญ่ของพวกเขาจะยังทำต่อไปหรือไม่ลู่เหิงจือจ้องมองเขาปราดหนึ่ง เหยาชั่วรีบปิดปากเงียบทันทีลู่เหิงจือไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมานิ่งๆ : "หากข้าพาภรรยาของข้าไปเจียงหนานด้วย เห็นเช่นไร"ตกตะลึงราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวอย่างไม่ต้องสงสัยเหยาชั่วนิ่งอึ้งไปราวกับท่อนไม้ สงสัยว่าตนได้ยินผิดไปลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ : "หวังเหลียงฮั่นผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย
แววตาของลู่เหิงจือลุ่มลึกกว่าเดิมเขาหัวเราะเบาๆ : "ช่างกล้าหาญยิ่งนัก"ซูชิงลั่วหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้นาง...นางก็แค่รู้สึกว่าเขาจะต้องไปแล้ว เมื่อครู่ลองเปิดหนังสือดู ทั้งยังแบกหน้าไปถามฉู่หมัวมัวมาอีกด้วยฉู่หมัวมัวบอกนางว่า บุรุษต่างก็ชอบแบบนี้ทั้งสิ้นหรือว่า...ลู่เหิงจือจะไม่ชอบระหว่างที่นางกำลังสงสัย ตรงหน้าพลันว่างเปล่า ลู่เหิงจือไม่รู้ว่านอนลงไปตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะยกนางขึ้นไปบนตัวเขาเขาช้อนปลายคางนางขึ้นเบาๆๆ : "ให้ข้าดูหน่อย เจ้าเรียนสิ่งใดมาบ้างแล้ว"ใบหูของซูชิงลั่วเริ่มแดง พลันหลับตาลงได้ยินเสียงเสียงถ่านเผาไหม้ประสานกับเสียงออดอ้อนของนางเสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนลงมาที่พื้นทีละชิ้นๆเขาประครองเอวคอดบางของนางไว้ ออกแรงสลับกับเบาแรงเป็นระยะ ความปรารถนาในดวงตาล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆท่วงท่าของนางแฝงไว้ด้วยความหมายอื่น ดูเหมือนจงใจจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาใจเขา ราวกับปีศาจสาวในหนังสือนิยายที่คอยยั่วยวนผู้คนผมยาวสะบัดอยู่กลางอากาศเบาๆ สะบัดโดนข้อมือของเขา ทั้งเสียวและชาร่างกายก็กำลังโยกขึ้นลง จนเขาเกิดอาการตาลาย จนเขาแทบจะเสียการควบคุมแทบจะสามารถตายแทบอ
ความประหลาดใจในดวงตาเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ลู่เหิงจือพยักหน้า"ในเมื่อชวนเจ้าไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"การเดินทางครั้งนี้มีองครักษ์ลับของเซี่ยถิงอวี่ติดตามไปด้วย อีกทั้งเรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องเงินภาษี ไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายอีกอย่างเมื่อมีนางอยู่ด้วย เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการไปช้าๆ ได้ ไม่ต้องรีบกลับเมืองหลวง ระหว่างทางยังสามารถพานางไปจินหลิงได้อีกด้วยซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเก็บของนะเจ้าคะ"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เดินทางครั้งนี้เรียบง่าย เจ้าพาสาวใช้ไปได้เพียงคนเดียว""ข้าจะพาจื๋อหยวนไป ข้ากับนางต่างก็ขี่ม้าเป็นทั้งคู่ ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน" นางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะรีบสวมเสื้อซับชั้นในแล้วลงจากเตียงไปความจริงแล้วที่นางกล้าพูดเรื่องไปเจียงหนานกับลู่เหิงจือก็เพราะถือว่าตนขี่ม้าได้ ท่านพ่อทำธุรกิจ มีลูกสาวเพียงคนเดียว อยากจะให้นางสืบทอดกิจการต่อ พอนางเพิ่งจะอายุได้สิบแปดก็สอนให้นางฝึกขี่ม้า"ที่แท้น้องหญิงก็ขี่ม้าเป็น มิน่าล่ะ" น้ำเสียงราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่างซูชิงลั่วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้กันทะหัน ออกแรงชกแผงอกลู่เหิงจือไปหนึ่งหมัด
เมื่อวานหิมะตกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ หิมะด้านนอกก็ละลายไปจนหมดสิ้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วบอกลาทุกคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปรถม้ากว้างขวาง ทั้งยังมีเตียงเล็กแคบๆ หนึ่งเตียง หากเหนื่อยก็สามารถนอนพักได้ลู่เหิงจือนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือเรียกนางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะในหัวพลันผุดภาพคู่ชายหญิงบนรถม้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมากะทันหัน แล้วพลอยนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านตอนยังไม่รู้เดียงสา บุรุษและหญิงงามตกลงปลงใจกันบนรถม้า นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา"ข้าไม่ค่อยชินกับการนั่งบนเตียง นั่งที่นี่ก็พอ" นางยิ้มแห้งๆลู่เหิงจือสบายๆ ไม่ได้ถือสาอะไรนัก ก่อนจะหยิบหนังสือจากหีบที่อยู่ใต้เตียงออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านซูชิงลั่วโล่งอกยังดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้มีความชอบประหลาดๆลู่เหิงจือค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สายตากวาดมาที่นางปราดหนึ่ง แล้วกลับไปอยู่บนหนังสือต่อไม่รู้ว่าเพราะประหม่าหรืออย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เหิงจือมองนางแฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มนางเผลอตัวหดไปอ
นางก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้นเองลู่เหิงจือเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีทางทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนั้น ยามนี้ก็ไม่ดูไม่มีทีท่าจะปลุกเร้านางเลย ในที่สุดนางก็โล่งใจได้เสียที พูดเบาๆ : "ข้าก็แค่กลัวจะสร้างปัญหาให้ท่าน"ข้ออ้างนี้ทำให้นางดูรู้ความอยู่ไม่น้อยลู่เหิงจือแม้จะรู้ทันก็ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ขยับไปที่ปลายเตียงเล็กน้อยซูชิงลั่วรีบเลิกผ้าห่มออก แล้วเข้าไปนอนห่อตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยความรีบร้อน ในที่สุดก็ไม่หนาวขนาดนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้อุ่นนักผ้าห่มเย็นๆ เตียงก็เย็นอีกทั้งยังแข็ง ไม่แปลกเลยที่หญิงชราไม่ยอมให้นางมา ทรมานมากจริงๆลู่เหิงจือถือหนังสือไว้ในมือ พลางหันมาถามนาง : "ต้องการโถน้ำร้อนหรือไม่"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "มีหรือเจ้าคะ""มี""เช่นนั้น..." นางกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ช่างมันเถอะ"หากจะเอาโถน้ำร้อนก็ต้องหยุดรถ เป็นการลำบากผู้อื่น นางบอกเองว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาลู่เหิงจือสั่งหยุดรถ บอกให้ซ่งเหวินส่งโถน้ำร้อนมาซูชิงลั่วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายคนทั้งขบวนต่างก็รู้แล้วว่าลู่เหิงจือสั่งหยุดรถเพื่อเอาโถน้
“……”ลู่เหิงจือก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงมีความคิดเช่นนี้ แม้แต่เขาเองยังรู้สึกขำการที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุทำให้ซูชิงลั่วยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ผงะถอยหลังไป หลังชนเข้ากับผนังรถม้า นางมองเขาตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตที่น่าสงสาร เผยให้เห็นสายตาวิงวอนลู่เหิงจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมบริเวณหน้าอกนางอยู่หน้าอกโล่งเปล่าทันควัน ซูชิงลั่วรีบกอดอกแล้วงอขาเข้ามา พลางมองเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเขาคงจะไม่...เป็นอย่างที่ฉู่หมัวมัวกล่าวไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีผู้ใดได้เรื่องสักคน กับเรื่องเช่นนี้ล้วนแต่ต้องการความหลากหลายแปลกใหม่จู่ๆ ลมด้านนอกเบาลงกะทันหัน จึงได้ยินเสียงโหวกเหวกจากข้างนอกอยู่ลางๆซ่งเหวินส่งเสียงมาจากด้านนอก : "ใต้เท้า พวกเราใกล้จะเข้าตัวเมืองแล้วขอรับ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ สายตาค่อยๆ มองไปที่นางช้าๆ ปราดหนึ่งซูชิงลั่วกลัวยิ่งกว่าเดิมสายตาของลู่เหิงจือเผยให้เห็นความร้ายกาจ พลันเอื้อมมือออกไปอุ้มนางขึ้นมาแล้วหมุนตัวครึ่งรอบ ก่อนจะให้นางคุกเข่าลงบนเตียงแล้วสวมกอดนางจากด้านหลังมือของนางถูกบังคับให้ค้ำอยู่ที่ผนังรถม้า พลางพูดพึมพำ : "เ
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป