แค่เห็นท่าทางของลู่เหิงจือก็รู้ว่าคำขอนี้เกินกว่าเหตุไปมากสตรีในรัชสมัยนี้ยึดถือหลักสามปฏิบัติสี่จรรยา อยู่เรือนเลี้ยงลูกช่วยเหลือสามี จะตามสามีออกไปข้างนอกได้เช่นไร นับประสาอะไรกับเขาที่ออกไปทำการใหญ่ของราชการ จะให้นางตามไปด้วยก็ไม่เหมาะซูชิงลั่วรีบเอ่ย : "ข้าเพียงแค่พูดไปเช่นนั้น"รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูฝืนเกร็ง ทั้งยังพยายามปกปิดความรู้สึกด้วยการจัดเสื้อผ้าบนตัวเขา "พอดีตัวมากจริงๆ ข้าจะช่วยทำให้ท่านอีกหลายๆ ชุด แม้หน้าหนาวของเจียงหนานจะไม่หนาวเช่นเมืองหลวง แต่ถ้าหากหนาวขึ้นมาแล้ว ทั้งเปียกชื้นและเย็นยะเยือก ก็ทรมานไม่น้อย ข้าจะรีบเย็บเสื้อนวมให้ท่านอีกสองตัว""ไม่รีบร้อน ข้ายังไม่ถึงขั้นไม่มีเสื้อนวมใส่" ลู่เหิงจือถอนหายใจเบาๆ สวมกอดนางจากเบื้องหลัง เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับรสชาติของความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิงก่อหน้าเขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว ไม่ว่าทำจะสิ่งใด หากคิดจะไปก็ออกเดินทางทันที เวลานี้จึงเกิดความอาวรณ์กับบ้านเกิดที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ขึ้นมาไม่น้อยซูชิงลั่วอดพูดไม่ได้ : "พวกเรายังแต่งงานกันได้ไม่ถึงครึ่งเดือน..."ก็ต้องแยกจากกันแล้วน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล
ทันใดนั้นเองซ่งเหวินก็เคาะประตูเข้ามา น้ำเสียงของลู่เหิงจือแสดงออกถึงความเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด : "มีเรื่องอันใดอีก"แม้ในยามปกติเขาจะเฉยชาเคร่งขรึม แต่ก็มีเวลาที่หมดความอดทนกันบ้าง ซ่งเหวินหัวใจเต้นตึกตัก แต่ก็พูดออกมา : "เมื่อครู่นายหญิงมาที่นี่ แต่มาถึงหน้าประตูก็กลับไปเสียก่อน"สีหน้าของลู่เหิงจือพลันอ่อนโยนลงมาทันทีนางจะต้องเป็นห่วงเขามาก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเขาถึงได้ทำเช่นนี้เขาสั่งให้ซ่งเหวินออกไป แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ทว่าจิตใจกลับไม่ได้อยู่กับงานราชการอย่างชัดเจนเหยาชั่วพูดแทงใจดำ : "ใต้เท้าต้องจิตใจแน่วแน่อยู่กับเรื่องที่กำลังหารือ จะมัวลุ่มหลงอยู่กับสาวงามไม่ได้"เซี่ยถิงอวี่ก็เป็นเช่นนี้้ เขาก็เป็นเช่นนี้ การใหญ่ของพวกเขาจะยังทำต่อไปหรือไม่ลู่เหิงจือจ้องมองเขาปราดหนึ่ง เหยาชั่วรีบปิดปากเงียบทันทีลู่เหิงจือไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมานิ่งๆ : "หากข้าพาภรรยาของข้าไปเจียงหนานด้วย เห็นเช่นไร"ตกตะลึงราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวอย่างไม่ต้องสงสัยเหยาชั่วนิ่งอึ้งไปราวกับท่อนไม้ สงสัยว่าตนได้ยินผิดไปลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ : "หวังเหลียงฮั่นผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย
แววตาของลู่เหิงจือลุ่มลึกกว่าเดิมเขาหัวเราะเบาๆ : "ช่างกล้าหาญยิ่งนัก"ซูชิงลั่วหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้นาง...นางก็แค่รู้สึกว่าเขาจะต้องไปแล้ว เมื่อครู่ลองเปิดหนังสือดู ทั้งยังแบกหน้าไปถามฉู่หมัวมัวมาอีกด้วยฉู่หมัวมัวบอกนางว่า บุรุษต่างก็ชอบแบบนี้ทั้งสิ้นหรือว่า...ลู่เหิงจือจะไม่ชอบระหว่างที่นางกำลังสงสัย ตรงหน้าพลันว่างเปล่า ลู่เหิงจือไม่รู้ว่านอนลงไปตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะยกนางขึ้นไปบนตัวเขาเขาช้อนปลายคางนางขึ้นเบาๆๆ : "ให้ข้าดูหน่อย เจ้าเรียนสิ่งใดมาบ้างแล้ว"ใบหูของซูชิงลั่วเริ่มแดง พลันหลับตาลงได้ยินเสียงเสียงถ่านเผาไหม้ประสานกับเสียงออดอ้อนของนางเสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนลงมาที่พื้นทีละชิ้นๆเขาประครองเอวคอดบางของนางไว้ ออกแรงสลับกับเบาแรงเป็นระยะ ความปรารถนาในดวงตาล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆท่วงท่าของนางแฝงไว้ด้วยความหมายอื่น ดูเหมือนจงใจจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาใจเขา ราวกับปีศาจสาวในหนังสือนิยายที่คอยยั่วยวนผู้คนผมยาวสะบัดอยู่กลางอากาศเบาๆ สะบัดโดนข้อมือของเขา ทั้งเสียวและชาร่างกายก็กำลังโยกขึ้นลง จนเขาเกิดอาการตาลาย จนเขาแทบจะเสียการควบคุมแทบจะสามารถตายแทบอ
ความประหลาดใจในดวงตาเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ลู่เหิงจือพยักหน้า"ในเมื่อชวนเจ้าไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"การเดินทางครั้งนี้มีองครักษ์ลับของเซี่ยถิงอวี่ติดตามไปด้วย อีกทั้งเรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องเงินภาษี ไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายอีกอย่างเมื่อมีนางอยู่ด้วย เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการไปช้าๆ ได้ ไม่ต้องรีบกลับเมืองหลวง ระหว่างทางยังสามารถพานางไปจินหลิงได้อีกด้วยซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเก็บของนะเจ้าคะ"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เดินทางครั้งนี้เรียบง่าย เจ้าพาสาวใช้ไปได้เพียงคนเดียว""ข้าจะพาจื๋อหยวนไป ข้ากับนางต่างก็ขี่ม้าเป็นทั้งคู่ ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน" นางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะรีบสวมเสื้อซับชั้นในแล้วลงจากเตียงไปความจริงแล้วที่นางกล้าพูดเรื่องไปเจียงหนานกับลู่เหิงจือก็เพราะถือว่าตนขี่ม้าได้ ท่านพ่อทำธุรกิจ มีลูกสาวเพียงคนเดียว อยากจะให้นางสืบทอดกิจการต่อ พอนางเพิ่งจะอายุได้สิบแปดก็สอนให้นางฝึกขี่ม้า"ที่แท้น้องหญิงก็ขี่ม้าเป็น มิน่าล่ะ" น้ำเสียงราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่างซูชิงลั่วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้กันทะหัน ออกแรงชกแผงอกลู่เหิงจือไปหนึ่งหมัด
เมื่อวานหิมะตกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ หิมะด้านนอกก็ละลายไปจนหมดสิ้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วบอกลาทุกคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปรถม้ากว้างขวาง ทั้งยังมีเตียงเล็กแคบๆ หนึ่งเตียง หากเหนื่อยก็สามารถนอนพักได้ลู่เหิงจือนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือเรียกนางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะในหัวพลันผุดภาพคู่ชายหญิงบนรถม้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมากะทันหัน แล้วพลอยนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านตอนยังไม่รู้เดียงสา บุรุษและหญิงงามตกลงปลงใจกันบนรถม้า นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา"ข้าไม่ค่อยชินกับการนั่งบนเตียง นั่งที่นี่ก็พอ" นางยิ้มแห้งๆลู่เหิงจือสบายๆ ไม่ได้ถือสาอะไรนัก ก่อนจะหยิบหนังสือจากหีบที่อยู่ใต้เตียงออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านซูชิงลั่วโล่งอกยังดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้มีความชอบประหลาดๆลู่เหิงจือค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สายตากวาดมาที่นางปราดหนึ่ง แล้วกลับไปอยู่บนหนังสือต่อไม่รู้ว่าเพราะประหม่าหรืออย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เหิงจือมองนางแฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มนางเผลอตัวหดไปอ
นางก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้นเองลู่เหิงจือเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีทางทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนั้น ยามนี้ก็ไม่ดูไม่มีทีท่าจะปลุกเร้านางเลย ในที่สุดนางก็โล่งใจได้เสียที พูดเบาๆ : "ข้าก็แค่กลัวจะสร้างปัญหาให้ท่าน"ข้ออ้างนี้ทำให้นางดูรู้ความอยู่ไม่น้อยลู่เหิงจือแม้จะรู้ทันก็ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ขยับไปที่ปลายเตียงเล็กน้อยซูชิงลั่วรีบเลิกผ้าห่มออก แล้วเข้าไปนอนห่อตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยความรีบร้อน ในที่สุดก็ไม่หนาวขนาดนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้อุ่นนักผ้าห่มเย็นๆ เตียงก็เย็นอีกทั้งยังแข็ง ไม่แปลกเลยที่หญิงชราไม่ยอมให้นางมา ทรมานมากจริงๆลู่เหิงจือถือหนังสือไว้ในมือ พลางหันมาถามนาง : "ต้องการโถน้ำร้อนหรือไม่"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "มีหรือเจ้าคะ""มี""เช่นนั้น..." นางกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ช่างมันเถอะ"หากจะเอาโถน้ำร้อนก็ต้องหยุดรถ เป็นการลำบากผู้อื่น นางบอกเองว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาลู่เหิงจือสั่งหยุดรถ บอกให้ซ่งเหวินส่งโถน้ำร้อนมาซูชิงลั่วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายคนทั้งขบวนต่างก็รู้แล้วว่าลู่เหิงจือสั่งหยุดรถเพื่อเอาโถน้
“……”ลู่เหิงจือก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงมีความคิดเช่นนี้ แม้แต่เขาเองยังรู้สึกขำการที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุทำให้ซูชิงลั่วยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ผงะถอยหลังไป หลังชนเข้ากับผนังรถม้า นางมองเขาตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตที่น่าสงสาร เผยให้เห็นสายตาวิงวอนลู่เหิงจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมบริเวณหน้าอกนางอยู่หน้าอกโล่งเปล่าทันควัน ซูชิงลั่วรีบกอดอกแล้วงอขาเข้ามา พลางมองเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเขาคงจะไม่...เป็นอย่างที่ฉู่หมัวมัวกล่าวไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีผู้ใดได้เรื่องสักคน กับเรื่องเช่นนี้ล้วนแต่ต้องการความหลากหลายแปลกใหม่จู่ๆ ลมด้านนอกเบาลงกะทันหัน จึงได้ยินเสียงโหวกเหวกจากข้างนอกอยู่ลางๆซ่งเหวินส่งเสียงมาจากด้านนอก : "ใต้เท้า พวกเราใกล้จะเข้าตัวเมืองแล้วขอรับ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ สายตาค่อยๆ มองไปที่นางช้าๆ ปราดหนึ่งซูชิงลั่วกลัวยิ่งกว่าเดิมสายตาของลู่เหิงจือเผยให้เห็นความร้ายกาจ พลันเอื้อมมือออกไปอุ้มนางขึ้นมาแล้วหมุนตัวครึ่งรอบ ก่อนจะให้นางคุกเข่าลงบนเตียงแล้วสวมกอดนางจากด้านหลังมือของนางถูกบังคับให้ค้ำอยู่ที่ผนังรถม้า พลางพูดพึมพำ : "เ
ย่างเข้าพลบค่ำ ทุกคนหยุดพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณตีนเขาในหมู่บ้านมีผู้คนอาศัยอยู่เพียงร้อยหลังคาเรือน กลางดึกเงียบสงัด ให้ความรู้สึกสงบเป็นอย่างยิ่งซูชิงลั่วคลุมเสื้อคลุมหลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก่อนจะพินิจดูกระท่อมหลังเล็กหลังนี้ รู้สึกถึงความลึกลับอัศรจรรย์อย่างบอกไม่ถูกนางไม่เคยอยู่ในกระท่อมมุงจากเช่นนนี้ ทั้งเล็กและเตี้ย เตียงก็ต่ำ เสียงลมพัดกระหน่ำแรงกว่าปกติลู่เหิงจือเดินเข้าไปโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด : "คืนนี้ลำบากหน่อยนะ""ไม่เลย ที่นี่แม้จะเล็ก แต่น่าสนใจมาก ข้าชอบ" นางดูกระตือรือร้นไม่น้อยหวังว่าเดี๋ยวความกระตือรือร้นของนางจะยังคงสูงเช่นนี้ได้อยู่ลู่เหิงจือยิ้มมุมปากเบาๆ ทันใดนั้นเองก็มีเสียง "บรู๋ว" ดังมาจากนอกหน้าต่างซูชิงลั่วพลันจับเสื้อลู่เหิงจือไว้แน่น : "นั่นเสียงอะไร หมาป่าหรือ""อืม" ลู่เหิงจือตอบ นึกว่านางจะกลัว คิดไม่ถึงว่านางจะกลับผลักเขาเอาแล้ววิ่งไปที่ริมหน้าต่างด้วยความตื่นเต้นทันที แล้วพูดอย่างลิงโลด "มีหมาป่าด้วย ที่นี่มีหมาป่าเสียด้วย ข้าไม่เคยเห็นหมาป่ามาก่อน"นางเกาะขอบหน้าต่างพลางชะโงกออกไปดูด้านนอก เห็ดได้ชัดเจนว่านางไม่เจอสิ่งใดเล