ความประหลาดใจในดวงตาเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ลู่เหิงจือพยักหน้า"ในเมื่อชวนเจ้าไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"การเดินทางครั้งนี้มีองครักษ์ลับของเซี่ยถิงอวี่ติดตามไปด้วย อีกทั้งเรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องเงินภาษี ไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายอีกอย่างเมื่อมีนางอยู่ด้วย เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการไปช้าๆ ได้ ไม่ต้องรีบกลับเมืองหลวง ระหว่างทางยังสามารถพานางไปจินหลิงได้อีกด้วยซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเก็บของนะเจ้าคะ"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เดินทางครั้งนี้เรียบง่าย เจ้าพาสาวใช้ไปได้เพียงคนเดียว""ข้าจะพาจื๋อหยวนไป ข้ากับนางต่างก็ขี่ม้าเป็นทั้งคู่ ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน" นางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะรีบสวมเสื้อซับชั้นในแล้วลงจากเตียงไปความจริงแล้วที่นางกล้าพูดเรื่องไปเจียงหนานกับลู่เหิงจือก็เพราะถือว่าตนขี่ม้าได้ ท่านพ่อทำธุรกิจ มีลูกสาวเพียงคนเดียว อยากจะให้นางสืบทอดกิจการต่อ พอนางเพิ่งจะอายุได้สิบแปดก็สอนให้นางฝึกขี่ม้า"ที่แท้น้องหญิงก็ขี่ม้าเป็น มิน่าล่ะ" น้ำเสียงราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่างซูชิงลั่วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้กันทะหัน ออกแรงชกแผงอกลู่เหิงจือไปหนึ่งหมัด
เมื่อวานหิมะตกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ หิมะด้านนอกก็ละลายไปจนหมดสิ้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วบอกลาทุกคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปรถม้ากว้างขวาง ทั้งยังมีเตียงเล็กแคบๆ หนึ่งเตียง หากเหนื่อยก็สามารถนอนพักได้ลู่เหิงจือนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือเรียกนางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะในหัวพลันผุดภาพคู่ชายหญิงบนรถม้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมากะทันหัน แล้วพลอยนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านตอนยังไม่รู้เดียงสา บุรุษและหญิงงามตกลงปลงใจกันบนรถม้า นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา"ข้าไม่ค่อยชินกับการนั่งบนเตียง นั่งที่นี่ก็พอ" นางยิ้มแห้งๆลู่เหิงจือสบายๆ ไม่ได้ถือสาอะไรนัก ก่อนจะหยิบหนังสือจากหีบที่อยู่ใต้เตียงออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านซูชิงลั่วโล่งอกยังดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้มีความชอบประหลาดๆลู่เหิงจือค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สายตากวาดมาที่นางปราดหนึ่ง แล้วกลับไปอยู่บนหนังสือต่อไม่รู้ว่าเพราะประหม่าหรืออย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เหิงจือมองนางแฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มนางเผลอตัวหดไปอ
นางก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้นเองลู่เหิงจือเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีทางทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนั้น ยามนี้ก็ไม่ดูไม่มีทีท่าจะปลุกเร้านางเลย ในที่สุดนางก็โล่งใจได้เสียที พูดเบาๆ : "ข้าก็แค่กลัวจะสร้างปัญหาให้ท่าน"ข้ออ้างนี้ทำให้นางดูรู้ความอยู่ไม่น้อยลู่เหิงจือแม้จะรู้ทันก็ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ขยับไปที่ปลายเตียงเล็กน้อยซูชิงลั่วรีบเลิกผ้าห่มออก แล้วเข้าไปนอนห่อตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยความรีบร้อน ในที่สุดก็ไม่หนาวขนาดนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้อุ่นนักผ้าห่มเย็นๆ เตียงก็เย็นอีกทั้งยังแข็ง ไม่แปลกเลยที่หญิงชราไม่ยอมให้นางมา ทรมานมากจริงๆลู่เหิงจือถือหนังสือไว้ในมือ พลางหันมาถามนาง : "ต้องการโถน้ำร้อนหรือไม่"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "มีหรือเจ้าคะ""มี""เช่นนั้น..." นางกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ช่างมันเถอะ"หากจะเอาโถน้ำร้อนก็ต้องหยุดรถ เป็นการลำบากผู้อื่น นางบอกเองว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาลู่เหิงจือสั่งหยุดรถ บอกให้ซ่งเหวินส่งโถน้ำร้อนมาซูชิงลั่วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายคนทั้งขบวนต่างก็รู้แล้วว่าลู่เหิงจือสั่งหยุดรถเพื่อเอาโถน้
“……”ลู่เหิงจือก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงมีความคิดเช่นนี้ แม้แต่เขาเองยังรู้สึกขำการที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุทำให้ซูชิงลั่วยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ผงะถอยหลังไป หลังชนเข้ากับผนังรถม้า นางมองเขาตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตที่น่าสงสาร เผยให้เห็นสายตาวิงวอนลู่เหิงจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมบริเวณหน้าอกนางอยู่หน้าอกโล่งเปล่าทันควัน ซูชิงลั่วรีบกอดอกแล้วงอขาเข้ามา พลางมองเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเขาคงจะไม่...เป็นอย่างที่ฉู่หมัวมัวกล่าวไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีผู้ใดได้เรื่องสักคน กับเรื่องเช่นนี้ล้วนแต่ต้องการความหลากหลายแปลกใหม่จู่ๆ ลมด้านนอกเบาลงกะทันหัน จึงได้ยินเสียงโหวกเหวกจากข้างนอกอยู่ลางๆซ่งเหวินส่งเสียงมาจากด้านนอก : "ใต้เท้า พวกเราใกล้จะเข้าตัวเมืองแล้วขอรับ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ สายตาค่อยๆ มองไปที่นางช้าๆ ปราดหนึ่งซูชิงลั่วกลัวยิ่งกว่าเดิมสายตาของลู่เหิงจือเผยให้เห็นความร้ายกาจ พลันเอื้อมมือออกไปอุ้มนางขึ้นมาแล้วหมุนตัวครึ่งรอบ ก่อนจะให้นางคุกเข่าลงบนเตียงแล้วสวมกอดนางจากด้านหลังมือของนางถูกบังคับให้ค้ำอยู่ที่ผนังรถม้า พลางพูดพึมพำ : "เ
ย่างเข้าพลบค่ำ ทุกคนหยุดพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณตีนเขาในหมู่บ้านมีผู้คนอาศัยอยู่เพียงร้อยหลังคาเรือน กลางดึกเงียบสงัด ให้ความรู้สึกสงบเป็นอย่างยิ่งซูชิงลั่วคลุมเสื้อคลุมหลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก่อนจะพินิจดูกระท่อมหลังเล็กหลังนี้ รู้สึกถึงความลึกลับอัศรจรรย์อย่างบอกไม่ถูกนางไม่เคยอยู่ในกระท่อมมุงจากเช่นนนี้ ทั้งเล็กและเตี้ย เตียงก็ต่ำ เสียงลมพัดกระหน่ำแรงกว่าปกติลู่เหิงจือเดินเข้าไปโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด : "คืนนี้ลำบากหน่อยนะ""ไม่เลย ที่นี่แม้จะเล็ก แต่น่าสนใจมาก ข้าชอบ" นางดูกระตือรือร้นไม่น้อยหวังว่าเดี๋ยวความกระตือรือร้นของนางจะยังคงสูงเช่นนี้ได้อยู่ลู่เหิงจือยิ้มมุมปากเบาๆ ทันใดนั้นเองก็มีเสียง "บรู๋ว" ดังมาจากนอกหน้าต่างซูชิงลั่วพลันจับเสื้อลู่เหิงจือไว้แน่น : "นั่นเสียงอะไร หมาป่าหรือ""อืม" ลู่เหิงจือตอบ นึกว่านางจะกลัว คิดไม่ถึงว่านางจะกลับผลักเขาเอาแล้ววิ่งไปที่ริมหน้าต่างด้วยความตื่นเต้นทันที แล้วพูดอย่างลิงโลด "มีหมาป่าด้วย ที่นี่มีหมาป่าเสียด้วย ข้าไม่เคยเห็นหมาป่ามาก่อน"นางเกาะขอบหน้าต่างพลางชะโงกออกไปดูด้านนอก เห็ดได้ชัดเจนว่านางไม่เจอสิ่งใดเล
ตื่นขึ้นมาเช้าวันรุ่งขึ้น รอยแดงของซูชิงลั่วจางลงไปแทบจะหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รอยแดงไม่กี่รอยบริเวณข้อมือที่ยังไม่จางหายไปลู่เหิงจือคว้าข้อมือขาวเนียนของนางขึ้นมาจูบเบาๆ สีหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกผิด ก่อนจะลุกขึ้นสวมเสื้อชั้นในแล้วไปหยิบยามาทาบริเวณข้อมือของนางเบาๆ : "เหตุใดไม่บอกว่ามัดแน่นเกินไป"ซูชิงลั่วก้มหน้า : "ยามนั้นไม่ได้รู้สึกว่าแน่น"ตอนแรกรู้สึกว่าทนได้ หลังจากนั้นดูเหมือนจะลืมความเจ็บไปแล้วลู่เหิงจือมองดูส่วนอื่นบนร่างของนาง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่เป็นไร ถึงจะขยับเข้าไปข้างหูนางแล้วขบติ่งหูนางเบาๆ : "เมื่อคืนรู้สึกดีจนลืมเจ็บเลยหรือ"“……”ซูชิงลั่วผลักเขาออกด้วยใบหน้าแดงก่ำ : "ลุกขึ้นแล้ว"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ลูบปลายคางนาง ก่อนจะลุกขึ้นปล่อยนางไปซูชิงลั่วรู้สึกโล่งใจที่เขาลุกไปกลัวเหลือเกินว่าตอนเช้าเขาจะเกิดคึกขึ้นมาอีก เช่นนั้นนางคงจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆแต่งตัวเสร็จแล้วออกมาก็เห็นฉางชิงและซ่งเหวินยืนอยู่ที่มุมสวน ทั้งสองต่างก็สอดมือไว้ในแขนเสื้อซ่งเหวินเอ่ย : "คิดไม่ถึงเลยว่าเขาที่ทั้งลูกเล็กและเตี้ยเช่นนี้จะได้ยินเสียงหมาป่าหอนด้วย"ฉางชิงเอ่ย : "บนเ
"……"ซูชิงลั่วดันเขาออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกระแอมเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน "ไปกินข้าวเถอะ"เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เหิงจือก็สั่งให้คนไปซื้อเสื้อผ้าธรรมดาสำหรับสตรีทั่วไป ตัวไหนดูน่าเกลียดก็ซื้อตัวนั้นเนื้อผ้าค่อนข้างหยาบ แต่ซูชิงลั่วก็ยอมเปลี่ยนใส่โดยไม่อิดออด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก เพียงแต่ออกจะเทอะทะไปหน่อยนางเลือกชุดกระโปรงสีเทาที่คิดว่าธรรมดาที่สุดมาใส่ แล้วถามลู่เหิงจือว่าเป็นอย่างไรบ้างลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้น มองสำรวจนางขึ้นลงแล้วขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัวทำไมนางถึงดูสวยกว่าเดิมอีกนะ?แม้ว่าจะเป็นชุดสีเทา แต่นางมีผิวขาวเนียน ผมดำขลับมวยขึ้นอย่างเรียบง่ายและเสียบด้วยปิ่นไม้ กลับยิ่งเสริมให้นางดูเหมือน "ดอกบัวสวยในสระ" สวยงามเกินกว่าจะเป็นแค่สตรีธรรมดาลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "เปลี่ยนอีกชุดเถอะ"เปลี่ยน?ซูชิงลั่วส่องกระจกทองเหลือง คิดว่ามันก็แค่พอดูได้เท่านั้น "แต่นี่เป็นชุดที่เรียบง่ายที่สุดแล้วนะ""เพราะมันเรียบง่ายเกินไปอย่างไร" ลู่เหิงจือกล่าวเสียงเรียบ "เปลี่ยนเป็นชุดที่ดูเชยกว่านี้หน่อยเถอะ"ที่แท้ก็อยากได้ชุดที่เชย นาง
ซูชิงลั่วพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลู่เหิงจือวาดปานดำให้เล็กลงหน่อย แต่เขาปฏิเสธด้วยประโยคที่ว่า "ถ้าวาดเล็กเกินไปก็ไร้ประโยชน์สิ"ซูชิงลั่วมองตัวเองในกระจก รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนี่มันน่าเกลียดเกินไป นางมองทนดูแทบไม่ไหวเลย แม้จะเพื่อการหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ในเมื่อลู่เหิงจือยืนยัน นางก็เลยลำบากใจในตอนนี้เอง จื๋อหยวนได้ยกน้ำชาเข้ามา แล้วก็ชะงักไปก่อนที่กาน้ำชาในมือจะร่วงลงพื้นแตกเสียงดัง "เพล๊ง"ลู่เหิงจือพยักหน้าอย่างพอใจ "ดูท่าจะใช้ได้แล้วจริงๆ"จื๋อหยวนถามออกไปอย่างไม่อาจห้ามใจ "ฮูหยิน นี่เป็นรสนิยมในห้องหอหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่ว "..."ไม่เพียงแต่จื๋อหยวนที่ตกใจ ซ่งเหวินและฉางชิงเองก็ตกตะลึง มองซูชิงลั่วด้วยสายตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม "เกิดอะไรขึ้น" และเมื่อเข้าใจสถานการณ์ สายตานั้นก็กลายเป็นความเห็นใจและเวทนามีเพียงโฉวกว่างที่ยังคงสีหน้าเย็นชา ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆสมแล้วที่เป็นองครักษ์ลับซูชิงลั่วอดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้คนทั้งขบวนเช่าเรือขนาดกลาง เดินทางล่องไปตามแม่น้ำเพื่อมุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองหางโจวในเวลานี้ยังไม่ถึงฤดูหนาว ยังสามา