ตื่นขึ้นมาเช้าวันรุ่งขึ้น รอยแดงของซูชิงลั่วจางลงไปแทบจะหมดแล้ว เหลือเพียงแค่รอยแดงไม่กี่รอยบริเวณข้อมือที่ยังไม่จางหายไปลู่เหิงจือคว้าข้อมือขาวเนียนของนางขึ้นมาจูบเบาๆ สีหน้าเผยให้เห็นความรู้สึกผิด ก่อนจะลุกขึ้นสวมเสื้อชั้นในแล้วไปหยิบยามาทาบริเวณข้อมือของนางเบาๆ : "เหตุใดไม่บอกว่ามัดแน่นเกินไป"ซูชิงลั่วก้มหน้า : "ยามนั้นไม่ได้รู้สึกว่าแน่น"ตอนแรกรู้สึกว่าทนได้ หลังจากนั้นดูเหมือนจะลืมความเจ็บไปแล้วลู่เหิงจือมองดูส่วนอื่นบนร่างของนาง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่เป็นไร ถึงจะขยับเข้าไปข้างหูนางแล้วขบติ่งหูนางเบาๆ : "เมื่อคืนรู้สึกดีจนลืมเจ็บเลยหรือ"“……”ซูชิงลั่วผลักเขาออกด้วยใบหน้าแดงก่ำ : "ลุกขึ้นแล้ว"ลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ ลูบปลายคางนาง ก่อนจะลุกขึ้นปล่อยนางไปซูชิงลั่วรู้สึกโล่งใจที่เขาลุกไปกลัวเหลือเกินว่าตอนเช้าเขาจะเกิดคึกขึ้นมาอีก เช่นนั้นนางคงจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆแต่งตัวเสร็จแล้วออกมาก็เห็นฉางชิงและซ่งเหวินยืนอยู่ที่มุมสวน ทั้งสองต่างก็สอดมือไว้ในแขนเสื้อซ่งเหวินเอ่ย : "คิดไม่ถึงเลยว่าเขาที่ทั้งลูกเล็กและเตี้ยเช่นนี้จะได้ยินเสียงหมาป่าหอนด้วย"ฉางชิงเอ่ย : "บนเ
"……"ซูชิงลั่วดันเขาออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะกระแอมเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อน "ไปกินข้าวเถอะ"เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เหิงจือก็สั่งให้คนไปซื้อเสื้อผ้าธรรมดาสำหรับสตรีทั่วไป ตัวไหนดูน่าเกลียดก็ซื้อตัวนั้นเนื้อผ้าค่อนข้างหยาบ แต่ซูชิงลั่วก็ยอมเปลี่ยนใส่โดยไม่อิดออด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก เพียงแต่ออกจะเทอะทะไปหน่อยนางเลือกชุดกระโปรงสีเทาที่คิดว่าธรรมดาที่สุดมาใส่ แล้วถามลู่เหิงจือว่าเป็นอย่างไรบ้างลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้น มองสำรวจนางขึ้นลงแล้วขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัวทำไมนางถึงดูสวยกว่าเดิมอีกนะ?แม้ว่าจะเป็นชุดสีเทา แต่นางมีผิวขาวเนียน ผมดำขลับมวยขึ้นอย่างเรียบง่ายและเสียบด้วยปิ่นไม้ กลับยิ่งเสริมให้นางดูเหมือน "ดอกบัวสวยในสระ" สวยงามเกินกว่าจะเป็นแค่สตรีธรรมดาลู่เหิงจือพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "เปลี่ยนอีกชุดเถอะ"เปลี่ยน?ซูชิงลั่วส่องกระจกทองเหลือง คิดว่ามันก็แค่พอดูได้เท่านั้น "แต่นี่เป็นชุดที่เรียบง่ายที่สุดแล้วนะ""เพราะมันเรียบง่ายเกินไปอย่างไร" ลู่เหิงจือกล่าวเสียงเรียบ "เปลี่ยนเป็นชุดที่ดูเชยกว่านี้หน่อยเถอะ"ที่แท้ก็อยากได้ชุดที่เชย นาง
ซูชิงลั่วพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลู่เหิงจือวาดปานดำให้เล็กลงหน่อย แต่เขาปฏิเสธด้วยประโยคที่ว่า "ถ้าวาดเล็กเกินไปก็ไร้ประโยชน์สิ"ซูชิงลั่วมองตัวเองในกระจก รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนี่มันน่าเกลียดเกินไป นางมองทนดูแทบไม่ไหวเลย แม้จะเพื่อการหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ในเมื่อลู่เหิงจือยืนยัน นางก็เลยลำบากใจในตอนนี้เอง จื๋อหยวนได้ยกน้ำชาเข้ามา แล้วก็ชะงักไปก่อนที่กาน้ำชาในมือจะร่วงลงพื้นแตกเสียงดัง "เพล๊ง"ลู่เหิงจือพยักหน้าอย่างพอใจ "ดูท่าจะใช้ได้แล้วจริงๆ"จื๋อหยวนถามออกไปอย่างไม่อาจห้ามใจ "ฮูหยิน นี่เป็นรสนิยมในห้องหอหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่ว "..."ไม่เพียงแต่จื๋อหยวนที่ตกใจ ซ่งเหวินและฉางชิงเองก็ตกตะลึง มองซูชิงลั่วด้วยสายตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม "เกิดอะไรขึ้น" และเมื่อเข้าใจสถานการณ์ สายตานั้นก็กลายเป็นความเห็นใจและเวทนามีเพียงโฉวกว่างที่ยังคงสีหน้าเย็นชา ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆสมแล้วที่เป็นองครักษ์ลับซูชิงลั่วอดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้คนทั้งขบวนเช่าเรือขนาดกลาง เดินทางล่องไปตามแม่น้ำเพื่อมุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองหางโจวในเวลานี้ยังไม่ถึงฤดูหนาว ยังสามา
แน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นโอกาสแบบนี้ช่างหายากนัก เกรงว่าทั้งชีวิตก็คงมีไม่กี่ครั้งลู่เหิงจือถึงกับนำของขวัญงานแต่งที่เซี่ยถิงอวี่ให้มาด้วย...หนังสือที่แสร้งว่าเป็นจดหมายเหตุท้องถิ่นเล่มนั้นของที่เซี่ยถิงอวี่ให้ ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาลู่เหิงจือกอดซูชิงลั่วแล้วดันนางลงไปบนเตียงเรือโคลงเคลงเบาๆ ทำให้นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย เสียงน้ำกระทบและเสียงฝีเท้าจากข้างนอกยิ่งทำให้นางประหม่า จึงทำได้เพียงกอดคอลู่เหิงจือแน่นลู่เหิงจือบีบปลายคางของนางไว้ "วันนี้ทำไมถึงได้กังวลนัก?"ซูชิงลั่วหน้าแดงโชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้ทรมานนางมากนัก ไม่นานก็เสร็จภารกิจเขาช่างใส่ใจจริงๆหลังจากเสร็จกิจแล้ว ลู่เหิงจือก็ยกน้ำเข้ามาเทลงในถังอาบน้ำด้วยตัวเอง แล้วเรียกให้นางไปอาบน้ำอาจจะเพราะบนเรือนี้มีเพียงจื๋อหยวนที่เป็นบ่าวรับใช้คนเดียว การให้บ่าวรับใช้หญิงยกน้ำเข้ามาเลยดูใจร้ายไปหน่อยวันนี้ลู่เหิงจือดูจะใส่ใจนางเป็นพิเศษซูชิงลั่วนอนแช่อยู่ในถังน้ำ รู้สึกสบายตัวขึ้นมากแต่พอแช่ได้ไม่ถึงสิบห้านาที ก็เห็นลู่เหิงจือเดินเข้ามา"..." ซูชิงลั่วใช้แขนกอดอกไว้ รู้สึกถึงลางไม่ดีในใจ "ท่าน...ท่านจะทำอะไร?
เมื่อเห็นเหล่าขุนนางในชุดทางการยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบที่ท่าเรือ ก็ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาไม่ได้แจ้งใครนี่นาแน่นอนว่าเขาไม่ได้แจ้งใคร แต่เรื่องที่ลู่เหิงจือจะมาตรวจสอบภาษีที่เจียงหนานได้แพร่ออกไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มออกจากจวนก็มีคนจับตาดูหางเต๋อโย่ว เจ้าเมืองหางโจวพยายามทำคะแนนกับลู่เหิงจือ ไม่เพียงแต่เคลียร์ท่าเรือไม่ให้มีเรืออื่นเข้ามาใกล้ แต่ยังนำเหล่าขุนนางในท้องถิ่นมาต้อนรับด้วยตนเอง เรียกได้ว่าทำให้ลู่เหิงจือได้หน้าไปเต็มๆแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อตัวเขาเองเจ้อเจียงมีหวังเหลียงฮั่น ผู้ตรวจการมณฑลซึ่งเป็นญาติของฮองเฮาดูแลอยู่ เจ้าเมืองหางโจวเล็กๆ อย่างเขาจะไปมีสิทธิ์พูดอะไรได้เรื่องที่ภาษีหายไปถึงหนึ่งในสาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการอะไรได้เลยลู่เหิงจือถูกคนในราชสำนักขนานนามว่า "ยมทูตหน้าตาย" ฆ่าได้แม้แต่ลุงแท้ๆ โดยไม่กะพริบตา ดีไม่ดีอาจจะร้ายยิ่งกว่าหวังเหลียงฮั่นเสียอีกเขาหวังเพียงว่าเมื่อสองผู้มีอำนาจต่อสู้กัน ลู่เหิงจือจะเห็นแก่ไมตรีเล็กน้อยในวันนี้ อย่าให้เรื่องนี้กระทบมาถึงเขาชีวิตนี้เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรมาก การได้เป็นเจ้
ตอนที่ได้ยินเสียงออดอ้อนของหญิงสาว หางเต๋อโย่วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ส่งข่าวให้เขามาตามเรือผิดลำหรือไม่แต่เมื่อเห็นซ่งเหวิน เขาก็เริ่มเอะใจ ชายคนนี้ดูคุ้นตา คงเป็นบ่าวรับใช้ของลู่เหิงจือแน่ๆ ทำให้เขารู้สึกทั้งตกใจและกระอักกระอ่วนไปพร้อมกันหางเต๋อโย่วเคยไปถวายรายงานที่เมืองหลวงมาก่อน เมื่อปีก่อนที่เขาไปยังได้ยินมาว่าลู่เหิงจือยังไม่ได้แต่งงานและไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนข่าวลือนี้เป็นที่รู้กันดีในเมืองหลวง จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ยินว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่เพิ่งแต่งงานไป ก็ยังคิดว่าเขาคงถูกครอบครัวเร่งให้แต่ง คงไม่ได้ชอบภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาเท่าไหร่นักแต่ใครจะรู้ว่าพอถึงวันนี้ เขากลับได้มาเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอายพอหันไปดูที่ลู่เหิงจืออีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์ ไม่เสียทีที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีชาญฉลาดแห่งราชสำนัก!ในใจของเขารู้สึกนับถือขึ้นมาในทันที จึงรีบยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าได้ตำหนิข้าน้อยเลย ข้าน้อยตัดสินใจมาเองเพื่อมาแสดงการต้อนรับ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา"แม้คนที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมั
ลู่เหิงจือเผชิญหน้ากับความโกรธของนางอย่างสงบ "ข้าไม่ได้แจ้งพวกเขาจริงๆ แต่เรื่องการตรวจสอบภาษีเป็นเรื่องใหญ่ คงมีคนในวังบอกพวกเขาแล้ว""..." ซูชิงลั่วระบายความโกรธออกมาไม่ได้ จึงตะโกนถามไปเสียงดัง "เช่นนั้นที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของข้าสินะ?""เป็นความผิดของข้า" ลู่เหิงจือยอมรับผิดทันที "ข้าควรจะคิดได้ว่าพวกเขาจะมารับ นี่เป็นความสะเพร่าของข้าเอง"ความจริงเขาไม่ได้สะเพร่าอะไร เพียงแต่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอก เพราะไม่อยากให้ซูชิงลั่วกังวลล่วงหน้า ใครจะไปคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงพูดจาดีๆ ปลอบใจนางไม่รู้ทำไม เมื่อเขาพูดจบ ซูชิงลั่วกลับรู้สึกเหมือนเขาดูเป็นฝ่ายที่โดนรังแก นางเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าไปหน่อยซูชิงลั่วหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างไม่พอใจต่อ "แล้วเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงยอมรับว่าข้าเป็นฮูหยินท่านเล่า? ข้าอุตส่าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นแค่อนุภรรยาของท่านน่ะ!"ลู่เหิงจือตอบด้วยเสียงนุ่มนวล "พวกเขาทุกคนรู้ว่าข้าจะพาฮูหยินมาด้วย""..."ความหมายคือ หากนางไม่ยอมรับ แล้วจะไปหาภรรยาที่ไหนมาแทนดูเหมือนว่าต่อให้พูดอย่างไร ความผิดก็ไม่ตกอยู่ที่ลู่เ
ซ่งเหวินหยิบเงินสองตำลึงออกมาด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้บริกรในร้านบริกรรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและยิ่งรีบพาทุกคนนั่งที่โต๊ะอย่างเอาใจใส่ เช็ดโต๊ะให้สะอาดสองสามรอบ ก่อนจะเชิญฮูหยินท่านนี้ให้นั่งลงบริกรคนนี้ดูคล่องแคล่วใช้ได้เลยทีเดียวหลังจากทุกคนได้นั่งลงและสั่งอาหารไปแล้ว ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า "นึกไม่ถึงเลยว่าเมืองหางโจวจะรุ่งเรืองกว่าจินหลิงมากขนาดนี้ แม้แต่ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย"ลู่เหิงจือยกคิ้วขึ้น แต่ไม่ตอบอะไรซูชิงลั่วเห็นท่าทางของเขา จึงเดาออกว่า "ท่านว่าจะมีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบช้าๆ ว่า "หากฮูหยินเป็นบุรุษ คงได้ตำแหน่งขุนนางไปแล้ว"ซ่งเหวินที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ คิดในใจ อะไรนะ? นี่มันเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ? เขาเองก็รู้นะ แต่ทำไมไม่เห็นใต้เท้าจะชมเขาบ้าง?เมืองหางโจวสมเป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งเจียงหนาน แม้แต่ในโรงเตี๊ยมธรรมดายังมีหญิงสาวมาขับร้องเพลงสร้างความเพลิดเพลินหญิงสาวผู้นั้นดูจะอายุสักสิบห้าสิบหกปี รูปร่างผอมบางราวต้นไผ่ หน้าตาก็สะอาดสะอ้านเสียงที่อ่อนหวานไพเราะของนางขับร้องเพลงพื้นเมืองเจียงหนานจนได้รับเสียงปรบมือไปหลายร