ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ "ให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่?""..." นางจึงยอมเอาหมูพะโล้เข้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกบังคับให้กินปลาอีกครึ่งตัว กุ้งอีกเจ็ดแปดตัว และข้าวอีกครึ่งชามหลังกินอาหารเสร็จ คณะของพวกเขากำลังจะออกจากร้าน ทันใดนั้น ก็มีชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดัน เข้ามาพร้อมพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคน ตะโกนลั่น "บริกรยกอาหารมา เหมือนเดิม!"ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสนิทไปทันทีผู้คนตามโต๊ะข้างๆ รีบลุกขึ้นออกไปทีละคนสองคน แม้แต่บางโต๊ะที่เพิ่งได้อาหารยังไม่ได้กินเลยก็ลุกแล้วซูชิงลั่วรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางมองไปที่ลู่เหิงจือหนึ่งครั้ง แล้วคิดถึงหน้าตาอัปลักษณ์ของตนในตอนนี้ ดูท่าจะไม่มีอะไรน่ากลัว นางจึงนั่งตัวตรงทันทีตอนนี้ บริกรที่เพิ่งรับใช้พวกเขาเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาเติมน้ำและกระซิบเสียงเบา "ท่านทั้งหลาย หากไม่อยากมีเรื่อง รีบออกไปเสียเถิด"พูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปราวกับปลาในน้ำ รีบไปเทน้ำชารับรองพวกคนโต๊ะนั้นต่อทันทีซูชิงลั่วถาม "เราจะไปหรือไม่?"ลู่เหิงจือเอ่ยเรียบๆ "เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?""แน่นอนว่า...ยังไม่อิ่ม""ถ้าเช่นนั้นก็นั่งกินต่อไป"ลู่เหิงจือพูดแล้ว ซูชิงลั่วจึงคลายกังวลลง นางก็ไม่รู
ลี่หลุนได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นพร้อมมองไปยังลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันไปมองซูชิงลั่วที่อยู่ข้างๆสายตาเขาเหมือนงูพิษ มองซูชิงลั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า "รูปร่างก็ดีอยู่หรอก น่าเสียดายที่หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ถ้าปิดหน้าไว้ก็พอรับไหว"สายตาของลู่เหิงจือพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในทันทีซ่งเหวินคิดในใจว่า ลี่หลุนคงจบสิ้นแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากลู่เหิงจือ คือตอนที่เขาตัดสินประหารชีวิตลุงของตัวเองลี่หลุนรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ดูประหลาดนัก ทั้งที่ข้อมือและลำคอของนางขาวขนาดนั้น แต่เหตุใดใบหน้าถึง...?เขาหรี่ตาเพ่งดูอย่างละเอียด ก่อนจะหัวเราะออกมา "แต่งหน้าเอาสินะ"เขาเดินท่องในยุทธภพมานาน เรื่องแบบนี้ก็เคยเจอมาก่อน คิดไปคิดมาก็เข้าใจได้ทันที ว่าหญิงสาวคนนี้คงแต่งหน้าแบบนี้เพื่อสะดวกในการเดินทาง...ถ้าเช่นนั้น แม่นางผู้นี้จะงดงามมากขนาดไหนกัน?ซูชิงลั่วเริ่มตื่นตระหนกในใจนางไม่คาดคิดเลยว่าการปลอมตัวจะถูกจับได้ร่างกายของนางแข็งทื่อในทันที ความทรงจำที่เคยถูกหนิงไห่ลู่ลักพาตัวผุดขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลัน นางจับมือของลู่เ
ทันทีที่เขาเข้ามา ลี่หลุนก็หัวเราะอย่างน่ากลัวสองครั้ง ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ฟังไม่ชัด "ซ่า (ฆ่า)! ซ่าลัน (ฆ่ามัน)!"เมื่อท่านเจ้าเมืองหางเห็นสภาพอันน่าสยดสยองของลี่หลุนถึงกับตกใจ แต่ก็ไม่สนใจ รีบคุกเข่าลงและพูดว่า "คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี โปรดอภัยให้ข้าด้วย เป็นความบกพร่องของข้าเอง"ลี่หลุนหน้าถอดสีในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง"เป็นท่านอัครมหาเสนาบดีจริงๆ หรือ? ลี่หลุนคงจบเห่แล้วสินะ?""ไม่แปลกใจเลยที่ลงมือหนักขนาดนี้ ขนาดฮูหยินของท่านอัครมหาเสนาบดีลี่หลุนกล้าไปลวนลาม ถุยถุย!""สมน้ำหน้า ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเขารังแกคนไปมากแค่ไหนแล้ว"ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "จับตัวลี่หลุนเข้าคุก เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเขาเอง"เจ้าเมืองหางชะงักไป แล้วรีบตอบรับทันทีทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากถนนและพูดว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยขอแจ้งความ ลี่หลุนบังคับข่มเหงภรรยาของข้า ทำให้ภรรยาข้าน้อยต้องฆ่าตัวตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว ขอท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!""ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยก็ต้องการแจ้งความลี่หลุนที่ทำร้ายพี่ชายข้าน้อยจนขาพิการทั้งสองข
นอกจากช่วงล่างแล้ว บริเวณลูกกระเดือกก็เป็นจุดอ่อนเช่นกันโฉวกว่างสอนตรงไปตรงมา คือให้โจมตีจุดทั้งสองของชายหนุ่มอย่างไม่ยั้งซูชิงลั่วฝึกซ้อมกับจื๋อหยวนอย่างหนักตลอดบ่าย ทั้งคู่กลิ้งไปกลิ้งมาจนตัวเต็มไปด้วยดินและเหงื่อ เหนื่อยจนไม่มีแรงจึงหยุดพักนางถามโฉวกว่างว่า "เจ้าคิดว่าวันนี้ข้าจะชนะพี่สามได้หรือไม่"โฉวกว่างตอบด้วยความสัตย์จริงว่า "เกรงว่าคงไม่ได้"ซูชิงลั่วก้มศีรษะ ดูเหมือนจะท้อใจโฉวกว่างพูดว่า "ฮูหยินวางใจได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านฝึกซ้อม แม้จะแพ้ก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้ระหว่างที่อูหยินฝึกซ้อมกับใต้เท้า ข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ชี้แนะจุดบกพร่องของฮูหยิน"ซูชิงลั่วพยักหน้า ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้นมาทันที "ถ้าอย่างนั้นข้าจะจู่โจมอย่างฉับพลันได้หรือไม่"โฉวกว่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ได้"ซูชิงลั่วตื่นเต้นมาก "ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวข้าจะใช้การปาถ้วยเป็นสัญญาณ เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดห้ามเตือนเขา"“……”ฮูหยินของใต้เท้าคงอ่านบทบรรยายมากเกินไปจนถึงกับปาถ้วยเป็นสัญญาณโฉวกว่างตอบ "ขอครับ"นอกหน้าต่างค่อยๆ มืดลง มีเพียงดาวกระจายอยู่บนท้องฟ้าเพียงเล็กน้อยซูชิงลั่วนั่
ลู่เหิงจือรับรู้ทันที ก้มลงคว้าข้อมือของนางไว้แน่น “ฮูหยินนี่จะทำอะไรหรือ”เสียงพูดของเขายังแฝงไปด้วยความเย้าแหย่ซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกตัวเลย นางรู้สึกว่าการโจมตีครั้งแรกของนางไม่สำเร็จ จึงรีบใช้ท่าที่สองทันทีด้วยความประหลาดใจที่เกินจริงตามที่โฉวกว่างสอนในช่วงบ่าย นางจึงพูดด้วยสีหน้าตกใจว่า “ข้าง ข้างหลังท่านมีอะไร”ลู่เหิงจือย่อมไม่เชื่อคำพูดเท็จเช่นนี้ แต่ด้วยความอยากรู้ว่านางกำลังเล่นแง่อะไรอยู่ จึงหันกลับไปมองซูชิงลั่วดีใจมาก รีบใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นอีกครั้ง และใช้ศีรษะโจมตีไปที่ลูกกระเดือกของเขาอย่างแรงทว่าลู่เหิงจือหลบได้อย่างง่ายดายจากนั้นเขาก็บิดแขนทั้งสองข้างของนางจนเป็นเกลียว แล้วจับนางกดลงบนเตียงซูชิงลั่วแทบมองไม่เห็นด้วยว่าเขาลงมืออย่างไรนางดิ้นรนหันกลับไป “ท่านปล่อยข้า”ดวงตาของลู่เหิงจือฉายแววเยาะเย้ยเล็กน้อย “ที่แท้วันนี้ฮูหยินอยากเล่นบทบังคับนี่เอง”ซูชิงลั่ว "......?"จะเริ่มจากตรงไหนดีแล้วบทบังคับที่ว่าคืออะไร นางไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย นางไม่เคยอ่านตำราเช่นนั้นมาก่อนขณะที่นางกำลังงงงัน ลู่เหิงจือก็เอื้อมมือมาคลายเข็มขัดของนาง แล้วมัดมือทั้งสองข้างขอ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ลู่เหิงจือดูไม่สบอารมณ์ และค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบพอรุ่งเช้า ซูชิงลั่วตื่นนอน ลู่เหิงจือก็ออกไปแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นมาก็เห็นโฉวกว่างสวมชุดดำคุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว สันหลังตรง แสดงถึงความหยิ่งผยองในตนเองแน่นอนว่าถูกลู่เหิงจือลงโทษให้คุกเข่าซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายจึงสั่งให้เขาลุกขึ้นโฉวกว่างลุกขึ้น และแสดงสีหน้าเขินอาย แล้วพูดว่า “ใต้เท้าบอกว่าฮูหยินยังไม่มีพื้นฐาน ฝึกท่าทางจู่โจมฉับพลันก็คงไม่สำเร็จ ควรฝึกยืนม้าก่อน แล้วค่อยฝึกท่าพื้นฐานอีกสักสองสามกระบวนท่า วันนี้ข้าจะสอนฮูหยินเอง"ซูชิงลั่วพยายามทำสีหน้าคงดิม และพูดว่า “ได้ ข้าจะให้จื๋อหยวนมาฝึกเป็นเพื่อนข้า”ช่วงนี้ ลู่เหิงจือยุ่งอยู่กับการไต่สวนคดีของลี่หลุน ออกเช้ากลับดึกซูชิงลั่วจึงฝึกท่าพื้นฐานกับจื๋อหยวน รู้สึกว่ามือเริ่มมีแรงขึ้น ไม่ได้อ่อนนิ่มเหมือนเมื่อก่อน นางก็รู้สึกมีความสุขมากความสุขที่กำลังเบ่งบานก็ต้องมาสะดุดลง เมื่อลูกน้องของผู้บัญชาการนครลี่หลูเดินทางมาส่งมอบหญิงสาวสองคนให้กับลู่เหิงจือทั้งอายุน้อย รูปร่างดี และมีใบหน้าที่งดงามพอควรซึ่งระหว่างที่ซ่งเหวินและฉางชิงตามลู่เห
ลู่เหิงจือหันมามองนางอีกครั้งและพูดว่า “เรื่องภายในเรือน จากไปนี้เจ้าจัดการเองได้ทั้งหมด จะไม่ต้องมาเสียอารมณ์เพราะเรื่องนี้อีก”ซูชิงลั่วกลั้นหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ยังพูดด้วยความเศร้าใจโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะรับหรือไม่ หากใต้เท้าอยากได้ขึ้นมาล่ะ”ลู่เหิงจือชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ยกมือเรียกจื๋อหยวนออกไปซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างสูงใหญ่ราวกับต้นสนของเขา เงาของเขาทอดลงมาปกคลุมร่างของนางเขาโน้มตัวลงมา วางมือทั้งสองข้างบนพนักเก้าอี้ไม้ และพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่รู้กฎของข้าหรือ ข้าเคยรับสตรีใดบ้าง”เขาเข้าใกล้นางมากจนลมหายใจสัมผัสใบหน้าของเขา“นั่น นั่นคือเมื่อก่อน” ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ถูกเขาบีบจนต้องถอยหลังไปเล็กน้อย หลังของนางชนกับพนักเก้าอี้ที่แข็งแรง และถอยไปไม่ได้อีกแล้ว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ายามนี้ท่าน...”"ยามนี้ต่างอย่างไร" เขาพูดแทรกด้วยเสียงเรียบเฉย "ยามนี้หรือภายภาคหน้า จะมีเพียงเจ้าเท่านั้น"เขาผู้นี้แม้แต่ยามพูดเกี้ยวพาราสี น้ำเสียงก็เรียบเฉยคงเดิมราวกับผิวน้ำสงบนิ่งทว่าความสงบเช่นนี้กลับทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะซูชิงล
ค่ำคืนนี้ ลู่เหิงจือรังแกนางจนเกือบตีสาม บอกว่าจะมาชดเชยเวลาที่ขาดหายไประหว่างนั้น นางทนไม่ไหว คิดจะใช้กระบวนท่าที่โฉวกว่างสอนมาโจมตีลู่เหิงจือ แต่กลับได้รับบทเรียนที่รุนแรงกว่าเดิมสุดท้ายนางจึงต้องยอมจำนน ขอร้องเขาไม่หยุด เรียกเขาว่าสามี บอกรักเขา และสุดท้ายบอกว่าครั้งหน้าจะขอเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจเอง เขาถึงยอมปล่อยนางไปด้วยความไม่เต็มใจโชคดีที่ร่างกายของนางชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว ครั้งนี้จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เพียงแต่รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัว และหลับไปอย่างรวดเร็วเช้าวันรุ่งขึ้น นางรู้สึกตัวอย่างเลือนรางว่าลู่เหิงจือลุกขึ้นมาแต่งตัว นางก็ไม่ได้ลืมตาเพียงแต่ได้ยินลู่เหิงจือออกไปแล้ว และซ่งเหวินพูดอะไรบางอย่าง ลู่เหิงจือก็ตอบเสียงเบาว่า “อย่าให้นางรู้”ไม่รู้ว่าอะไรที่ไม่ให้นางรู้นางง่วงมาก จึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว และหลับไปอีกครั้งเมื่อตื่นนอน พระอาทิตย์ก็เกือบจะอยู่ตรงศีรษะพอดีโชคดีที่นี่ไม่ใช่จวนลู่ มิเช่นนั้นคงต้องมาฟังคำนินทาว่า “เมื่อคืนเรียกน้ำหลายรอบ” หรือ “ฮูหยินยังไม่ตื่นเลยแม้ตะวันโด่งฟ้าแล้ว ท่านชายสามยอดเยี่ยมจริงๆ”ดูเหมือนเขาจะยอดเยี่ยมจริงๆ แหละ