ซ่งเหวินหยิบเงินสองตำลึงออกมาด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้บริกรในร้านบริกรรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและยิ่งรีบพาทุกคนนั่งที่โต๊ะอย่างเอาใจใส่ เช็ดโต๊ะให้สะอาดสองสามรอบ ก่อนจะเชิญฮูหยินท่านนี้ให้นั่งลงบริกรคนนี้ดูคล่องแคล่วใช้ได้เลยทีเดียวหลังจากทุกคนได้นั่งลงและสั่งอาหารไปแล้ว ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า "นึกไม่ถึงเลยว่าเมืองหางโจวจะรุ่งเรืองกว่าจินหลิงมากขนาดนี้ แม้แต่ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย"ลู่เหิงจือยกคิ้วขึ้น แต่ไม่ตอบอะไรซูชิงลั่วเห็นท่าทางของเขา จึงเดาออกว่า "ท่านว่าจะมีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบช้าๆ ว่า "หากฮูหยินเป็นบุรุษ คงได้ตำแหน่งขุนนางไปแล้ว"ซ่งเหวินที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ คิดในใจ อะไรนะ? นี่มันเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ? เขาเองก็รู้นะ แต่ทำไมไม่เห็นใต้เท้าจะชมเขาบ้าง?เมืองหางโจวสมเป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งเจียงหนาน แม้แต่ในโรงเตี๊ยมธรรมดายังมีหญิงสาวมาขับร้องเพลงสร้างความเพลิดเพลินหญิงสาวผู้นั้นดูจะอายุสักสิบห้าสิบหกปี รูปร่างผอมบางราวต้นไผ่ หน้าตาก็สะอาดสะอ้านเสียงที่อ่อนหวานไพเราะของนางขับร้องเพลงพื้นเมืองเจียงหนานจนได้รับเสียงปรบมือไปหลายร
ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ "ให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่?""..." นางจึงยอมเอาหมูพะโล้เข้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกบังคับให้กินปลาอีกครึ่งตัว กุ้งอีกเจ็ดแปดตัว และข้าวอีกครึ่งชามหลังกินอาหารเสร็จ คณะของพวกเขากำลังจะออกจากร้าน ทันใดนั้น ก็มีชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดัน เข้ามาพร้อมพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคน ตะโกนลั่น "บริกรยกอาหารมา เหมือนเดิม!"ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสนิทไปทันทีผู้คนตามโต๊ะข้างๆ รีบลุกขึ้นออกไปทีละคนสองคน แม้แต่บางโต๊ะที่เพิ่งได้อาหารยังไม่ได้กินเลยก็ลุกแล้วซูชิงลั่วรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางมองไปที่ลู่เหิงจือหนึ่งครั้ง แล้วคิดถึงหน้าตาอัปลักษณ์ของตนในตอนนี้ ดูท่าจะไม่มีอะไรน่ากลัว นางจึงนั่งตัวตรงทันทีตอนนี้ บริกรที่เพิ่งรับใช้พวกเขาเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาเติมน้ำและกระซิบเสียงเบา "ท่านทั้งหลาย หากไม่อยากมีเรื่อง รีบออกไปเสียเถิด"พูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปราวกับปลาในน้ำ รีบไปเทน้ำชารับรองพวกคนโต๊ะนั้นต่อทันทีซูชิงลั่วถาม "เราจะไปหรือไม่?"ลู่เหิงจือเอ่ยเรียบๆ "เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?""แน่นอนว่า...ยังไม่อิ่ม""ถ้าเช่นนั้นก็นั่งกินต่อไป"ลู่เหิงจือพูดแล้ว ซูชิงลั่วจึงคลายกังวลลง นางก็ไม่รู
ลี่หลุนได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นพร้อมมองไปยังลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันไปมองซูชิงลั่วที่อยู่ข้างๆสายตาเขาเหมือนงูพิษ มองซูชิงลั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า "รูปร่างก็ดีอยู่หรอก น่าเสียดายที่หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ถ้าปิดหน้าไว้ก็พอรับไหว"สายตาของลู่เหิงจือพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในทันทีซ่งเหวินคิดในใจว่า ลี่หลุนคงจบสิ้นแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากลู่เหิงจือ คือตอนที่เขาตัดสินประหารชีวิตลุงของตัวเองลี่หลุนรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ดูประหลาดนัก ทั้งที่ข้อมือและลำคอของนางขาวขนาดนั้น แต่เหตุใดใบหน้าถึง...?เขาหรี่ตาเพ่งดูอย่างละเอียด ก่อนจะหัวเราะออกมา "แต่งหน้าเอาสินะ"เขาเดินท่องในยุทธภพมานาน เรื่องแบบนี้ก็เคยเจอมาก่อน คิดไปคิดมาก็เข้าใจได้ทันที ว่าหญิงสาวคนนี้คงแต่งหน้าแบบนี้เพื่อสะดวกในการเดินทาง...ถ้าเช่นนั้น แม่นางผู้นี้จะงดงามมากขนาดไหนกัน?ซูชิงลั่วเริ่มตื่นตระหนกในใจนางไม่คาดคิดเลยว่าการปลอมตัวจะถูกจับได้ร่างกายของนางแข็งทื่อในทันที ความทรงจำที่เคยถูกหนิงไห่ลู่ลักพาตัวผุดขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลัน นางจับมือของลู่เ
ทันทีที่เขาเข้ามา ลี่หลุนก็หัวเราะอย่างน่ากลัวสองครั้ง ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ฟังไม่ชัด "ซ่า (ฆ่า)! ซ่าลัน (ฆ่ามัน)!"เมื่อท่านเจ้าเมืองหางเห็นสภาพอันน่าสยดสยองของลี่หลุนถึงกับตกใจ แต่ก็ไม่สนใจ รีบคุกเข่าลงและพูดว่า "คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี โปรดอภัยให้ข้าด้วย เป็นความบกพร่องของข้าเอง"ลี่หลุนหน้าถอดสีในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง"เป็นท่านอัครมหาเสนาบดีจริงๆ หรือ? ลี่หลุนคงจบเห่แล้วสินะ?""ไม่แปลกใจเลยที่ลงมือหนักขนาดนี้ ขนาดฮูหยินของท่านอัครมหาเสนาบดีลี่หลุนกล้าไปลวนลาม ถุยถุย!""สมน้ำหน้า ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเขารังแกคนไปมากแค่ไหนแล้ว"ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "จับตัวลี่หลุนเข้าคุก เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเขาเอง"เจ้าเมืองหางชะงักไป แล้วรีบตอบรับทันทีทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากถนนและพูดว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยขอแจ้งความ ลี่หลุนบังคับข่มเหงภรรยาของข้า ทำให้ภรรยาข้าน้อยต้องฆ่าตัวตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว ขอท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!""ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยก็ต้องการแจ้งความลี่หลุนที่ทำร้ายพี่ชายข้าน้อยจนขาพิการทั้งสองข
นอกจากช่วงล่างแล้ว บริเวณลูกกระเดือกก็เป็นจุดอ่อนเช่นกันโฉวกว่างสอนตรงไปตรงมา คือให้โจมตีจุดทั้งสองของชายหนุ่มอย่างไม่ยั้งซูชิงลั่วฝึกซ้อมกับจื๋อหยวนอย่างหนักตลอดบ่าย ทั้งคู่กลิ้งไปกลิ้งมาจนตัวเต็มไปด้วยดินและเหงื่อ เหนื่อยจนไม่มีแรงจึงหยุดพักนางถามโฉวกว่างว่า "เจ้าคิดว่าวันนี้ข้าจะชนะพี่สามได้หรือไม่"โฉวกว่างตอบด้วยความสัตย์จริงว่า "เกรงว่าคงไม่ได้"ซูชิงลั่วก้มศีรษะ ดูเหมือนจะท้อใจโฉวกว่างพูดว่า "ฮูหยินวางใจได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านฝึกซ้อม แม้จะแพ้ก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้ระหว่างที่อูหยินฝึกซ้อมกับใต้เท้า ข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ชี้แนะจุดบกพร่องของฮูหยิน"ซูชิงลั่วพยักหน้า ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้นมาทันที "ถ้าอย่างนั้นข้าจะจู่โจมอย่างฉับพลันได้หรือไม่"โฉวกว่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ได้"ซูชิงลั่วตื่นเต้นมาก "ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวข้าจะใช้การปาถ้วยเป็นสัญญาณ เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดห้ามเตือนเขา"“……”ฮูหยินของใต้เท้าคงอ่านบทบรรยายมากเกินไปจนถึงกับปาถ้วยเป็นสัญญาณโฉวกว่างตอบ "ขอครับ"นอกหน้าต่างค่อยๆ มืดลง มีเพียงดาวกระจายอยู่บนท้องฟ้าเพียงเล็กน้อยซูชิงลั่วนั่
ลู่เหิงจือรับรู้ทันที ก้มลงคว้าข้อมือของนางไว้แน่น “ฮูหยินนี่จะทำอะไรหรือ”เสียงพูดของเขายังแฝงไปด้วยความเย้าแหย่ซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกตัวเลย นางรู้สึกว่าการโจมตีครั้งแรกของนางไม่สำเร็จ จึงรีบใช้ท่าที่สองทันทีด้วยความประหลาดใจที่เกินจริงตามที่โฉวกว่างสอนในช่วงบ่าย นางจึงพูดด้วยสีหน้าตกใจว่า “ข้าง ข้างหลังท่านมีอะไร”ลู่เหิงจือย่อมไม่เชื่อคำพูดเท็จเช่นนี้ แต่ด้วยความอยากรู้ว่านางกำลังเล่นแง่อะไรอยู่ จึงหันกลับไปมองซูชิงลั่วดีใจมาก รีบใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นอีกครั้ง และใช้ศีรษะโจมตีไปที่ลูกกระเดือกของเขาอย่างแรงทว่าลู่เหิงจือหลบได้อย่างง่ายดายจากนั้นเขาก็บิดแขนทั้งสองข้างของนางจนเป็นเกลียว แล้วจับนางกดลงบนเตียงซูชิงลั่วแทบมองไม่เห็นด้วยว่าเขาลงมืออย่างไรนางดิ้นรนหันกลับไป “ท่านปล่อยข้า”ดวงตาของลู่เหิงจือฉายแววเยาะเย้ยเล็กน้อย “ที่แท้วันนี้ฮูหยินอยากเล่นบทบังคับนี่เอง”ซูชิงลั่ว "......?"จะเริ่มจากตรงไหนดีแล้วบทบังคับที่ว่าคืออะไร นางไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย นางไม่เคยอ่านตำราเช่นนั้นมาก่อนขณะที่นางกำลังงงงัน ลู่เหิงจือก็เอื้อมมือมาคลายเข็มขัดของนาง แล้วมัดมือทั้งสองข้างขอ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ลู่เหิงจือดูไม่สบอารมณ์ และค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบพอรุ่งเช้า ซูชิงลั่วตื่นนอน ลู่เหิงจือก็ออกไปแล้วเมื่อนางตื่นขึ้นมาก็เห็นโฉวกว่างสวมชุดดำคุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว สันหลังตรง แสดงถึงความหยิ่งผยองในตนเองแน่นอนว่าถูกลู่เหิงจือลงโทษให้คุกเข่าซูชิงลั่วรู้สึกเขินอายจึงสั่งให้เขาลุกขึ้นโฉวกว่างลุกขึ้น และแสดงสีหน้าเขินอาย แล้วพูดว่า “ใต้เท้าบอกว่าฮูหยินยังไม่มีพื้นฐาน ฝึกท่าทางจู่โจมฉับพลันก็คงไม่สำเร็จ ควรฝึกยืนม้าก่อน แล้วค่อยฝึกท่าพื้นฐานอีกสักสองสามกระบวนท่า วันนี้ข้าจะสอนฮูหยินเอง"ซูชิงลั่วพยายามทำสีหน้าคงดิม และพูดว่า “ได้ ข้าจะให้จื๋อหยวนมาฝึกเป็นเพื่อนข้า”ช่วงนี้ ลู่เหิงจือยุ่งอยู่กับการไต่สวนคดีของลี่หลุน ออกเช้ากลับดึกซูชิงลั่วจึงฝึกท่าพื้นฐานกับจื๋อหยวน รู้สึกว่ามือเริ่มมีแรงขึ้น ไม่ได้อ่อนนิ่มเหมือนเมื่อก่อน นางก็รู้สึกมีความสุขมากความสุขที่กำลังเบ่งบานก็ต้องมาสะดุดลง เมื่อลูกน้องของผู้บัญชาการนครลี่หลูเดินทางมาส่งมอบหญิงสาวสองคนให้กับลู่เหิงจือทั้งอายุน้อย รูปร่างดี และมีใบหน้าที่งดงามพอควรซึ่งระหว่างที่ซ่งเหวินและฉางชิงตามลู่เห
ลู่เหิงจือหันมามองนางอีกครั้งและพูดว่า “เรื่องภายในเรือน จากไปนี้เจ้าจัดการเองได้ทั้งหมด จะไม่ต้องมาเสียอารมณ์เพราะเรื่องนี้อีก”ซูชิงลั่วกลั้นหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ยังพูดด้วยความเศร้าใจโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะรับหรือไม่ หากใต้เท้าอยากได้ขึ้นมาล่ะ”ลู่เหิงจือชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ยกมือเรียกจื๋อหยวนออกไปซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างสูงใหญ่ราวกับต้นสนของเขา เงาของเขาทอดลงมาปกคลุมร่างของนางเขาโน้มตัวลงมา วางมือทั้งสองข้างบนพนักเก้าอี้ไม้ และพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่รู้กฎของข้าหรือ ข้าเคยรับสตรีใดบ้าง”เขาเข้าใกล้นางมากจนลมหายใจสัมผัสใบหน้าของเขา“นั่น นั่นคือเมื่อก่อน” ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ถูกเขาบีบจนต้องถอยหลังไปเล็กน้อย หลังของนางชนกับพนักเก้าอี้ที่แข็งแรง และถอยไปไม่ได้อีกแล้ว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ายามนี้ท่าน...”"ยามนี้ต่างอย่างไร" เขาพูดแทรกด้วยเสียงเรียบเฉย "ยามนี้หรือภายภาคหน้า จะมีเพียงเจ้าเท่านั้น"เขาผู้นี้แม้แต่ยามพูดเกี้ยวพาราสี น้ำเสียงก็เรียบเฉยคงเดิมราวกับผิวน้ำสงบนิ่งทว่าความสงบเช่นนี้กลับทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะซูชิงล
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป