ลู่เหิงจือหันมามองนางอีกครั้งและพูดว่า “เรื่องภายในเรือน จากไปนี้เจ้าจัดการเองได้ทั้งหมด จะไม่ต้องมาเสียอารมณ์เพราะเรื่องนี้อีก”ซูชิงลั่วกลั้นหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ยังพูดด้วยความเศร้าใจโดยไม่รู้ตัว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะรับหรือไม่ หากใต้เท้าอยากได้ขึ้นมาล่ะ”ลู่เหิงจือชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ยกมือเรียกจื๋อหยวนออกไปซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างสูงใหญ่ราวกับต้นสนของเขา เงาของเขาทอดลงมาปกคลุมร่างของนางเขาโน้มตัวลงมา วางมือทั้งสองข้างบนพนักเก้าอี้ไม้ และพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าไม่รู้กฎของข้าหรือ ข้าเคยรับสตรีใดบ้าง”เขาเข้าใกล้นางมากจนลมหายใจสัมผัสใบหน้าของเขา“นั่น นั่นคือเมื่อก่อน” ซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำ ถูกเขาบีบจนต้องถอยหลังไปเล็กน้อย หลังของนางชนกับพนักเก้าอี้ที่แข็งแรง และถอยไปไม่ได้อีกแล้ว “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ายามนี้ท่าน...”"ยามนี้ต่างอย่างไร" เขาพูดแทรกด้วยเสียงเรียบเฉย "ยามนี้หรือภายภาคหน้า จะมีเพียงเจ้าเท่านั้น"เขาผู้นี้แม้แต่ยามพูดเกี้ยวพาราสี น้ำเสียงก็เรียบเฉยคงเดิมราวกับผิวน้ำสงบนิ่งทว่าความสงบเช่นนี้กลับทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะซูชิงล
ค่ำคืนนี้ ลู่เหิงจือรังแกนางจนเกือบตีสาม บอกว่าจะมาชดเชยเวลาที่ขาดหายไประหว่างนั้น นางทนไม่ไหว คิดจะใช้กระบวนท่าที่โฉวกว่างสอนมาโจมตีลู่เหิงจือ แต่กลับได้รับบทเรียนที่รุนแรงกว่าเดิมสุดท้ายนางจึงต้องยอมจำนน ขอร้องเขาไม่หยุด เรียกเขาว่าสามี บอกรักเขา และสุดท้ายบอกว่าครั้งหน้าจะขอเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจเอง เขาถึงยอมปล่อยนางไปด้วยความไม่เต็มใจโชคดีที่ร่างกายของนางชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว ครั้งนี้จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เพียงแต่รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งตัว และหลับไปอย่างรวดเร็วเช้าวันรุ่งขึ้น นางรู้สึกตัวอย่างเลือนรางว่าลู่เหิงจือลุกขึ้นมาแต่งตัว นางก็ไม่ได้ลืมตาเพียงแต่ได้ยินลู่เหิงจือออกไปแล้ว และซ่งเหวินพูดอะไรบางอย่าง ลู่เหิงจือก็ตอบเสียงเบาว่า “อย่าให้นางรู้”ไม่รู้ว่าอะไรที่ไม่ให้นางรู้นางง่วงมาก จึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว และหลับไปอีกครั้งเมื่อตื่นนอน พระอาทิตย์ก็เกือบจะอยู่ตรงศีรษะพอดีโชคดีที่นี่ไม่ใช่จวนลู่ มิเช่นนั้นคงต้องมาฟังคำนินทาว่า “เมื่อคืนเรียกน้ำหลายรอบ” หรือ “ฮูหยินยังไม่ตื่นเลยแม้ตะวันโด่งฟ้าแล้ว ท่านชายสามยอดเยี่ยมจริงๆ”ดูเหมือนเขาจะยอดเยี่ยมจริงๆ แหละ
ซูชิงลั่วเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ยาระบายลมเย็น”บ่าวบอกให้นางไปหาหมอจับชีพจรก่อน หลังจากจับชีพจรและได้รับใบสั่งยาแล้ว จึงค่อยๆ ไปหยิบยาอย่างเชื่องช้าในขณะนั้นเอง ก็มีเด็กสาวชุดเขียวเดินเข้ามา กลิ่นหอมของเครื่องสำอางค์ตลบอบอวลจนรู้สึกอึดอัดทันทีที่เด็กสาวเข้ามา บ่าวดวงตาเป็นประกาย “เสี่ยวเหอมาแล้วรึ ครั้งนี้แม่นางชิงซวงจะเอาอะไรหรือ”เสี่ยวเหอตอบว่า “มีกลิ่นหอมอะไรที่ทำให้คนหลงใหลบ้างหรือไม่”บ่าวหัวเราะ “แม่นางชิงซวงเป็นถึงดาวเด่นของหอหว่างชุน ต้องใช้อันนี้ด้วยหรือ”เสี่ยวเหอกระซิบ “คืนนี้แม่นางจะไปรับใช้ท่านอัครมหาเสนาบดีคนใหม่ กลัวจะพลาด จึงเตรียมไว้ก่อน”บ่าวหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ มือก็ลูบไปที่ข้อมือของนาง “มีสิ มีแน่นอน ครั้งหน้าข้าขอลองกับเจ้าบ้างนะ”เสี่ยวเหอสะบัดมือเขาออก “ทำธุระให้เสร็จก่อน”บ่าวรีบเดินไปด้านหลังซูชิงลั่วที่นั่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร เมื่อได้ยินคำว่าอัครมหาเสนาบดีก็รู้สึกสะดุ้งวาบขึ้นมาทันที – หรือว่าสิ่งที่ลู่เหิงจือไม่อยากให้นางรู้ ก็คือเรื่องนี้?ชั่วครู่ บ่าวก็กลับมาและยัดยาหนึ่งห่อใส่ในมือของเสี่ยวเหอ เสี่ยวเหอรีบจ่ายเงินแล้วจากไปบ่าวใช้เวลานานพอ
ชิงซวงรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่งอย่างน้อยลู่เหิงจือก็จำนางได้แล้ว และยังชี้แนะถึงปิ่นปักผมของนางอีกด้วยหางเต๋อโย่วรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่า เขารู้สึกว่าค่ำคืนนี้เขาจะเอาอกเอาใจอัครมหาเสนาบดีผู้มีอำนาจคับฟ้าของราชสำนักได้สำเร็จ จึงส่งสายตาให้ชิงซวงยืนรออยู่ข้างๆลู่เหิงจือก็ไม่ได้พูดอะไรนั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธหลังจากดื่มอีกหลายรอบ ลู่เหิงจือก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับหางเต๋อโย่วรีบตามไปถามว่า "ยามนี้ดึกมากแล้ว ใต้เท้าพักที่จวนข้าก่อนก็ได้"สายตาของเขาฉายแววฉลาดและเจ้าเล่ห์ลู่เหิงจือลุกขึ้นตอบว่า "ไม่แล้ว"หากอยากให้พวกเขาลดความระแวงลงบ้าง เขาคงไม่ถึงขั้นต้องอยู่ที่นี่นานเพียงนี้เขาลุกขึ้น ขยี้ตาเบาๆ หางเต๋อโย่วเดินตามหลังเข่า "ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยขออาสาไปส่งท่าน""ไม่จำเป็น""อย่างนั้นจะได้อย่างไร" หางเต๋อโย่วพูดด้วยความเคารพอย่างยิ่ง "ถ้าอย่างนั้น ให้แม่นางชิงซวงไปส่งใต้เท้าดีหรือไม่"ลู่เหิงจือรีบร้อนที่จะสลัดเขาทิ้ง จึงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปชิงซวงรีบเดินตามเขาออกไปข้างนอกเขาตัวหอมมาก ราวกับกลิ่นของกิ่งสนที่แผดเผาในหิมะ*บนฟากฟ้ามีพ
แม้แววตาของเขาจะดูนิ่งเฉย แต่สายตาที่มองนางกลับแฝงความหมายว่า "เจ้าเป็นนางโลมก็ยังคิดว่าเป็นสตรีธรรมดาอีกหรือ"ชิงซวงชักสีหน้าตอบว่า "ครอบครัวข้ายากจน ข้าจึงถูกบังคับให้มาอยู่ในที่เช่นนี้ ข้าไม่เคยคิดว่าตนต่ำต้อย"เมืองหางโจวแห่งนี้ บรรดาขุนนางผู้มีอำนาจจำนวนมากล้วนหลงเชื่อนางลู่เหิงจือจ้องมองนางอย่างทะลุทะลวง"ถูกบังคับให้มาอยู่ในที่เช่นนี้มิใช่เรื่องน่าอับอาย แต่สิ่งที่น่าอับอายคือการกระทำของเจ้าในยามนี้""กลิ่นหอมจากถุงหอมของเจ้า ข้าได้กลิ่นมานานแล้ว เจ้าคิดว่ากลิ่นหอมของเมืองหางโจวจะเทียบกับกลิ่นหอมจากวังหลวงได้อย่างนั้นหรือ""ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอย่าได้คิดว่าตนจะงดงามกว่าฮูหยินของข้า เพราะสิ่งที่เจ้าภาคภูมิใจอยู่นั้น เทียบไม่ติดแม้แต่เศษเสี้ยวของฮูหยินข้า"สีหน้าของชิงซวงซีดเผือกเขาพูดเสียงเย็นชาด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า "อย่างเจ้าก็เทียบกับฮูหยินข้าได้อย่างนั้นหรือ"ลู่เหิงจือไม่ใช่คนพูดมาก แต่ค่ำคืนนี้ดื่มสุราไปมากพอสมควร และเขาอดฟังคนอื่นหยามเกียรติซูชิงลั่วไม่ได้ จึงพูดต่ออีกหลายประโยคหลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่คู่ควรที่จะได้รับการตำหนิจากเขา จึงหั
ค่ำคืนนี้ลมไม่แรง นั่งบนหลังม้าซบอยู่ในอ้อมกอดของลู่เหิงจือก็ไม่รู้สึกหนาว เพราะพ้นจากตรอกหน้าประตูจวนไปแล้ว เขาก็ขี่ช้าลงราวกับจะพานางมารับชมแสงจันทราของเมืองหางโจวซูชิงลั่วพิงอยู่บนอกของเขา มุมปากของนางยิ้มไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นางคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็อดถามไม่ได้ว่า "ทำไมท่านถึงพูดว่าปิ่นปักผมอันนั้นไม่คู่ควรกับนางเล่า ท่านยังมีอารมณ์ที่จะมาวิจารณ์ปิ่นปักผมของหญิงอื่นอีกหรือ"นี่เป็นเพียงจุดเดียวที่น่าจับผิดของค่ำคืนนี้นางคิดว่าบางทีคนอย่างลู่เหิงจือที่อยู่ในตำแหน่งสูง คงต้องทำเป็นสนิทสนมกับคนอื่นบ้างเป็นธรรมดาลู่เหิงจือวางมือบนเอวอันอ่อนนุ่มนิ่มของนาง และเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา "นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่อยากเห็นคนอื่นใส่ปิ่นปักผมไข่มุก"ซูชิงลั่วหัวใจเต้นเร็วขึ้นทันที - ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองนางอดใบหน้าแดงก่ำไม่ได้ แล้วก็เอ่ยถามความในใจด้วยความหวานปานน้ำผึังว่า "แล้วที่ท่านพูดเมื่อครู่ว่าสิ่งที่นางภาคภูมิใจก็เทียบข้า ไม่ได้ หมายความอะไรหรือ"ลู่เหิงจือเสียงแหบแห้ง “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”ซูชิงลั่วเมื่อครู่ไม่ได้คิดไปทางนั้น พอเขาพูด นางก็รู้ตัวทันที ทั้ง
ค่ำคืนนี้ ไม่รู้ว่าเขาเอ่ยคำพูดน่าอับอายกับนางไปเท่าใด ถูกเขาพาขึ้นสวรรค์ ถูกเขาดึงให้จมลงไปในกองเมฆอันอ่อนนุ่ม ราวกับกำลังจมน้ำ หายใจไม่ออก......สุดท้ายก็กอดแขนเขาหลับสนิท แม้แต่ในฝันก็ยังถูกเขาข่มเหงทว่าในฝันดูเหมือนนางจะยินยอมให้ข่มเหงวันรุ่งขึ้น นางถูกเสียงและการเคลื่อนไหวของลู่เหิงจือที่ลุกขึ้นทำให้ตื่น นางลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นลู่เหิงจือสวมเสื้อผ้าผูกเข็มขัด เดินกลับมาที่เตียง ก้มลงมาจูบนางเบาๆ แล้วพูดว่า "จื๋อหยวนรออยู่ข้างนอก เจ้านอนต่อได้เลย"ซูชิงลั่วรู้สึกง่วงจึงหลับตาลงและพยักหน้าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ยินเสียงบ่าวถามด้วยความกระตือรือร้นอยู่หน้าประตูว่า “แม่นางชอบกินอะไร ทางร้านทำเสร็จแล้วจะยกมาส่งโดยไม่คิดเงิน”จื๋อหยวนตอบเสียงเรียบว่าไม่เป็นไรบ่าวหัวเราะคิกคักและถามว่า "แม่นางท่านนี้เป็นคนของที่ใดหรือ"ซูชิงลั่วมึนงงไปชั่วขณะ กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพอสมควร นางถึงรู้ว่าบ่าวเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นนางโลมของหอใดสักแห่งก็จริง ใครจะพาฮูหยินของตนเองมาที่โรงเตี๊ยมยามวิกาลกันเล่ายิ่งไปกว่านั้น ในเมืองหางโจวก็รู้กันทั่วว่าฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีใบหน้าอัปลักษ
เมฆครึ้มดำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลังลงโทษประหารลี่หลุน สำนักราชการเมืองหังโจวพลันดูจริงจังหนักแน่นขึ้นทันทีทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือบรรยากศภายในเมืองหังโจวกลับคึกคักกว่าเดิมมาก การค้าขายทำได้ง่าย ไม่มีการฉ้อโกงหลอกลวงเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายวันนี้ ชาวบ้านต่างก็พากันชื่นชมอัครมหาเสนาบดีที่มาใหม่ผู้นี้กันปากต่อปากว่าเอาใจใส่ราษฎร มีสง่าราศีและห้าวหาญแม้แต่คำว่า "ผู้มักมากในกาม" ที่ตอนแรกใครๆ ก็เรียกกัน กลับเปลี่ยนเป็น "ใต้เท้าก็แค่เที่ยวเล่นสนุก ไม่มีสิ่งใดผิด ผู้ชายก็ต้องสนใจเรื่องเล่นสนุกทั้งนั้น"นอกจากนี้ ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่แอบวิจารณ์กันว่าลี่หลูผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มังกรมิอาจสยบงูเจ้าถิ่นได้ ดีไม่ดีอัครมหาเสนาบดีผู้นี้อาจมีอันตรายถึงชีวิตข่าวลือรู้ไปถึงหูซูชิงลั่ว นางจึงเริ่มอดเป็นห่วงไม่ได้ ถึงอย่างไรลี่หลูก็มีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาตกดึก ลู่เหิงจือกลับมา นางก็อดถามไม่ได้ว่าเขาจะมีอัตรายหรือไม่ เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่าไม่เป็นไร นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจอีกวันรุ่งขึ้น เหยาชั่วมาหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเรือนที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ในหังโจวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังเป็นกลาง