ซูชิงลั่วพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลู่เหิงจือวาดปานดำให้เล็กลงหน่อย แต่เขาปฏิเสธด้วยประโยคที่ว่า "ถ้าวาดเล็กเกินไปก็ไร้ประโยชน์สิ"ซูชิงลั่วมองตัวเองในกระจก รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนี่มันน่าเกลียดเกินไป นางมองทนดูแทบไม่ไหวเลย แม้จะเพื่อการหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนี้ก็ได้แต่ในเมื่อลู่เหิงจือยืนยัน นางก็เลยลำบากใจในตอนนี้เอง จื๋อหยวนได้ยกน้ำชาเข้ามา แล้วก็ชะงักไปก่อนที่กาน้ำชาในมือจะร่วงลงพื้นแตกเสียงดัง "เพล๊ง"ลู่เหิงจือพยักหน้าอย่างพอใจ "ดูท่าจะใช้ได้แล้วจริงๆ"จื๋อหยวนถามออกไปอย่างไม่อาจห้ามใจ "ฮูหยิน นี่เป็นรสนิยมในห้องหอหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่ว "..."ไม่เพียงแต่จื๋อหยวนที่ตกใจ ซ่งเหวินและฉางชิงเองก็ตกตะลึง มองซูชิงลั่วด้วยสายตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม "เกิดอะไรขึ้น" และเมื่อเข้าใจสถานการณ์ สายตานั้นก็กลายเป็นความเห็นใจและเวทนามีเพียงโฉวกว่างที่ยังคงสีหน้าเย็นชา ไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆสมแล้วที่เป็นองครักษ์ลับซูชิงลั่วอดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้คนทั้งขบวนเช่าเรือขนาดกลาง เดินทางล่องไปตามแม่น้ำเพื่อมุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองหางโจวในเวลานี้ยังไม่ถึงฤดูหนาว ยังสามา
แน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นโอกาสแบบนี้ช่างหายากนัก เกรงว่าทั้งชีวิตก็คงมีไม่กี่ครั้งลู่เหิงจือถึงกับนำของขวัญงานแต่งที่เซี่ยถิงอวี่ให้มาด้วย...หนังสือที่แสร้งว่าเป็นจดหมายเหตุท้องถิ่นเล่มนั้นของที่เซี่ยถิงอวี่ให้ ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาลู่เหิงจือกอดซูชิงลั่วแล้วดันนางลงไปบนเตียงเรือโคลงเคลงเบาๆ ทำให้นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย เสียงน้ำกระทบและเสียงฝีเท้าจากข้างนอกยิ่งทำให้นางประหม่า จึงทำได้เพียงกอดคอลู่เหิงจือแน่นลู่เหิงจือบีบปลายคางของนางไว้ "วันนี้ทำไมถึงได้กังวลนัก?"ซูชิงลั่วหน้าแดงโชคดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้ทรมานนางมากนัก ไม่นานก็เสร็จภารกิจเขาช่างใส่ใจจริงๆหลังจากเสร็จกิจแล้ว ลู่เหิงจือก็ยกน้ำเข้ามาเทลงในถังอาบน้ำด้วยตัวเอง แล้วเรียกให้นางไปอาบน้ำอาจจะเพราะบนเรือนี้มีเพียงจื๋อหยวนที่เป็นบ่าวรับใช้คนเดียว การให้บ่าวรับใช้หญิงยกน้ำเข้ามาเลยดูใจร้ายไปหน่อยวันนี้ลู่เหิงจือดูจะใส่ใจนางเป็นพิเศษซูชิงลั่วนอนแช่อยู่ในถังน้ำ รู้สึกสบายตัวขึ้นมากแต่พอแช่ได้ไม่ถึงสิบห้านาที ก็เห็นลู่เหิงจือเดินเข้ามา"..." ซูชิงลั่วใช้แขนกอดอกไว้ รู้สึกถึงลางไม่ดีในใจ "ท่าน...ท่านจะทำอะไร?
เมื่อเห็นเหล่าขุนนางในชุดทางการยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบที่ท่าเรือ ก็ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาไม่ได้แจ้งใครนี่นาแน่นอนว่าเขาไม่ได้แจ้งใคร แต่เรื่องที่ลู่เหิงจือจะมาตรวจสอบภาษีที่เจียงหนานได้แพร่ออกไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มออกจากจวนก็มีคนจับตาดูหางเต๋อโย่ว เจ้าเมืองหางโจวพยายามทำคะแนนกับลู่เหิงจือ ไม่เพียงแต่เคลียร์ท่าเรือไม่ให้มีเรืออื่นเข้ามาใกล้ แต่ยังนำเหล่าขุนนางในท้องถิ่นมาต้อนรับด้วยตนเอง เรียกได้ว่าทำให้ลู่เหิงจือได้หน้าไปเต็มๆแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อตัวเขาเองเจ้อเจียงมีหวังเหลียงฮั่น ผู้ตรวจการมณฑลซึ่งเป็นญาติของฮองเฮาดูแลอยู่ เจ้าเมืองหางโจวเล็กๆ อย่างเขาจะไปมีสิทธิ์พูดอะไรได้เรื่องที่ภาษีหายไปถึงหนึ่งในสาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการอะไรได้เลยลู่เหิงจือถูกคนในราชสำนักขนานนามว่า "ยมทูตหน้าตาย" ฆ่าได้แม้แต่ลุงแท้ๆ โดยไม่กะพริบตา ดีไม่ดีอาจจะร้ายยิ่งกว่าหวังเหลียงฮั่นเสียอีกเขาหวังเพียงว่าเมื่อสองผู้มีอำนาจต่อสู้กัน ลู่เหิงจือจะเห็นแก่ไมตรีเล็กน้อยในวันนี้ อย่าให้เรื่องนี้กระทบมาถึงเขาชีวิตนี้เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรมาก การได้เป็นเจ้
ตอนที่ได้ยินเสียงออดอ้อนของหญิงสาว หางเต๋อโย่วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ส่งข่าวให้เขามาตามเรือผิดลำหรือไม่แต่เมื่อเห็นซ่งเหวิน เขาก็เริ่มเอะใจ ชายคนนี้ดูคุ้นตา คงเป็นบ่าวรับใช้ของลู่เหิงจือแน่ๆ ทำให้เขารู้สึกทั้งตกใจและกระอักกระอ่วนไปพร้อมกันหางเต๋อโย่วเคยไปถวายรายงานที่เมืองหลวงมาก่อน เมื่อปีก่อนที่เขาไปยังได้ยินมาว่าลู่เหิงจือยังไม่ได้แต่งงานและไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนข่าวลือนี้เป็นที่รู้กันดีในเมืองหลวง จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ยินว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่เพิ่งแต่งงานไป ก็ยังคิดว่าเขาคงถูกครอบครัวเร่งให้แต่ง คงไม่ได้ชอบภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาเท่าไหร่นักแต่ใครจะรู้ว่าพอถึงวันนี้ เขากลับได้มาเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอายพอหันไปดูที่ลู่เหิงจืออีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์ ไม่เสียทีที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีชาญฉลาดแห่งราชสำนัก!ในใจของเขารู้สึกนับถือขึ้นมาในทันที จึงรีบยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าได้ตำหนิข้าน้อยเลย ข้าน้อยตัดสินใจมาเองเพื่อมาแสดงการต้อนรับ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา"แม้คนที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมั
ลู่เหิงจือเผชิญหน้ากับความโกรธของนางอย่างสงบ "ข้าไม่ได้แจ้งพวกเขาจริงๆ แต่เรื่องการตรวจสอบภาษีเป็นเรื่องใหญ่ คงมีคนในวังบอกพวกเขาแล้ว""..." ซูชิงลั่วระบายความโกรธออกมาไม่ได้ จึงตะโกนถามไปเสียงดัง "เช่นนั้นที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของข้าสินะ?""เป็นความผิดของข้า" ลู่เหิงจือยอมรับผิดทันที "ข้าควรจะคิดได้ว่าพวกเขาจะมารับ นี่เป็นความสะเพร่าของข้าเอง"ความจริงเขาไม่ได้สะเพร่าอะไร เพียงแต่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอก เพราะไม่อยากให้ซูชิงลั่วกังวลล่วงหน้า ใครจะไปคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงพูดจาดีๆ ปลอบใจนางไม่รู้ทำไม เมื่อเขาพูดจบ ซูชิงลั่วกลับรู้สึกเหมือนเขาดูเป็นฝ่ายที่โดนรังแก นางเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าไปหน่อยซูชิงลั่วหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างไม่พอใจต่อ "แล้วเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงยอมรับว่าข้าเป็นฮูหยินท่านเล่า? ข้าอุตส่าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นแค่อนุภรรยาของท่านน่ะ!"ลู่เหิงจือตอบด้วยเสียงนุ่มนวล "พวกเขาทุกคนรู้ว่าข้าจะพาฮูหยินมาด้วย""..."ความหมายคือ หากนางไม่ยอมรับ แล้วจะไปหาภรรยาที่ไหนมาแทนดูเหมือนว่าต่อให้พูดอย่างไร ความผิดก็ไม่ตกอยู่ที่ลู่เ
ซ่งเหวินหยิบเงินสองตำลึงออกมาด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้บริกรในร้านบริกรรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและยิ่งรีบพาทุกคนนั่งที่โต๊ะอย่างเอาใจใส่ เช็ดโต๊ะให้สะอาดสองสามรอบ ก่อนจะเชิญฮูหยินท่านนี้ให้นั่งลงบริกรคนนี้ดูคล่องแคล่วใช้ได้เลยทีเดียวหลังจากทุกคนได้นั่งลงและสั่งอาหารไปแล้ว ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า "นึกไม่ถึงเลยว่าเมืองหางโจวจะรุ่งเรืองกว่าจินหลิงมากขนาดนี้ แม้แต่ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย"ลู่เหิงจือยกคิ้วขึ้น แต่ไม่ตอบอะไรซูชิงลั่วเห็นท่าทางของเขา จึงเดาออกว่า "ท่านว่าจะมีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบช้าๆ ว่า "หากฮูหยินเป็นบุรุษ คงได้ตำแหน่งขุนนางไปแล้ว"ซ่งเหวินที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ คิดในใจ อะไรนะ? นี่มันเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ? เขาเองก็รู้นะ แต่ทำไมไม่เห็นใต้เท้าจะชมเขาบ้าง?เมืองหางโจวสมเป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งเจียงหนาน แม้แต่ในโรงเตี๊ยมธรรมดายังมีหญิงสาวมาขับร้องเพลงสร้างความเพลิดเพลินหญิงสาวผู้นั้นดูจะอายุสักสิบห้าสิบหกปี รูปร่างผอมบางราวต้นไผ่ หน้าตาก็สะอาดสะอ้านเสียงที่อ่อนหวานไพเราะของนางขับร้องเพลงพื้นเมืองเจียงหนานจนได้รับเสียงปรบมือไปหลายร
ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ "ให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่?""..." นางจึงยอมเอาหมูพะโล้เข้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกบังคับให้กินปลาอีกครึ่งตัว กุ้งอีกเจ็ดแปดตัว และข้าวอีกครึ่งชามหลังกินอาหารเสร็จ คณะของพวกเขากำลังจะออกจากร้าน ทันใดนั้น ก็มีชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดัน เข้ามาพร้อมพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคน ตะโกนลั่น "บริกรยกอาหารมา เหมือนเดิม!"ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสนิทไปทันทีผู้คนตามโต๊ะข้างๆ รีบลุกขึ้นออกไปทีละคนสองคน แม้แต่บางโต๊ะที่เพิ่งได้อาหารยังไม่ได้กินเลยก็ลุกแล้วซูชิงลั่วรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางมองไปที่ลู่เหิงจือหนึ่งครั้ง แล้วคิดถึงหน้าตาอัปลักษณ์ของตนในตอนนี้ ดูท่าจะไม่มีอะไรน่ากลัว นางจึงนั่งตัวตรงทันทีตอนนี้ บริกรที่เพิ่งรับใช้พวกเขาเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาเติมน้ำและกระซิบเสียงเบา "ท่านทั้งหลาย หากไม่อยากมีเรื่อง รีบออกไปเสียเถิด"พูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปราวกับปลาในน้ำ รีบไปเทน้ำชารับรองพวกคนโต๊ะนั้นต่อทันทีซูชิงลั่วถาม "เราจะไปหรือไม่?"ลู่เหิงจือเอ่ยเรียบๆ "เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?""แน่นอนว่า...ยังไม่อิ่ม""ถ้าเช่นนั้นก็นั่งกินต่อไป"ลู่เหิงจือพูดแล้ว ซูชิงลั่วจึงคลายกังวลลง นางก็ไม่รู
ลี่หลุนได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นพร้อมมองไปยังลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันไปมองซูชิงลั่วที่อยู่ข้างๆสายตาเขาเหมือนงูพิษ มองซูชิงลั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า "รูปร่างก็ดีอยู่หรอก น่าเสียดายที่หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ถ้าปิดหน้าไว้ก็พอรับไหว"สายตาของลู่เหิงจือพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในทันทีซ่งเหวินคิดในใจว่า ลี่หลุนคงจบสิ้นแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากลู่เหิงจือ คือตอนที่เขาตัดสินประหารชีวิตลุงของตัวเองลี่หลุนรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ดูประหลาดนัก ทั้งที่ข้อมือและลำคอของนางขาวขนาดนั้น แต่เหตุใดใบหน้าถึง...?เขาหรี่ตาเพ่งดูอย่างละเอียด ก่อนจะหัวเราะออกมา "แต่งหน้าเอาสินะ"เขาเดินท่องในยุทธภพมานาน เรื่องแบบนี้ก็เคยเจอมาก่อน คิดไปคิดมาก็เข้าใจได้ทันที ว่าหญิงสาวคนนี้คงแต่งหน้าแบบนี้เพื่อสะดวกในการเดินทาง...ถ้าเช่นนั้น แม่นางผู้นี้จะงดงามมากขนาดไหนกัน?ซูชิงลั่วเริ่มตื่นตระหนกในใจนางไม่คาดคิดเลยว่าการปลอมตัวจะถูกจับได้ร่างกายของนางแข็งทื่อในทันที ความทรงจำที่เคยถูกหนิงไห่ลู่ลักพาตัวผุดขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลัน นางจับมือของลู่เ