เมื่อเห็นเหล่าขุนนางในชุดทางการยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบที่ท่าเรือ ก็ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เขาไม่ได้แจ้งใครนี่นาแน่นอนว่าเขาไม่ได้แจ้งใคร แต่เรื่องที่ลู่เหิงจือจะมาตรวจสอบภาษีที่เจียงหนานได้แพร่ออกไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มออกจากจวนก็มีคนจับตาดูหางเต๋อโย่ว เจ้าเมืองหางโจวพยายามทำคะแนนกับลู่เหิงจือ ไม่เพียงแต่เคลียร์ท่าเรือไม่ให้มีเรืออื่นเข้ามาใกล้ แต่ยังนำเหล่าขุนนางในท้องถิ่นมาต้อนรับด้วยตนเอง เรียกได้ว่าทำให้ลู่เหิงจือได้หน้าไปเต็มๆแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อตัวเขาเองเจ้อเจียงมีหวังเหลียงฮั่น ผู้ตรวจการมณฑลซึ่งเป็นญาติของฮองเฮาดูแลอยู่ เจ้าเมืองหางโจวเล็กๆ อย่างเขาจะไปมีสิทธิ์พูดอะไรได้เรื่องที่ภาษีหายไปถึงหนึ่งในสาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการอะไรได้เลยลู่เหิงจือถูกคนในราชสำนักขนานนามว่า "ยมทูตหน้าตาย" ฆ่าได้แม้แต่ลุงแท้ๆ โดยไม่กะพริบตา ดีไม่ดีอาจจะร้ายยิ่งกว่าหวังเหลียงฮั่นเสียอีกเขาหวังเพียงว่าเมื่อสองผู้มีอำนาจต่อสู้กัน ลู่เหิงจือจะเห็นแก่ไมตรีเล็กน้อยในวันนี้ อย่าให้เรื่องนี้กระทบมาถึงเขาชีวิตนี้เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไรมาก การได้เป็นเจ้
ตอนที่ได้ยินเสียงออดอ้อนของหญิงสาว หางเต๋อโย่วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ส่งข่าวให้เขามาตามเรือผิดลำหรือไม่แต่เมื่อเห็นซ่งเหวิน เขาก็เริ่มเอะใจ ชายคนนี้ดูคุ้นตา คงเป็นบ่าวรับใช้ของลู่เหิงจือแน่ๆ ทำให้เขารู้สึกทั้งตกใจและกระอักกระอ่วนไปพร้อมกันหางเต๋อโย่วเคยไปถวายรายงานที่เมืองหลวงมาก่อน เมื่อปีก่อนที่เขาไปยังได้ยินมาว่าลู่เหิงจือยังไม่ได้แต่งงานและไม่เคยสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนข่าวลือนี้เป็นที่รู้กันดีในเมืองหลวง จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ยินว่าท่านอัครมหาเสนาบดีลู่เพิ่งแต่งงานไป ก็ยังคิดว่าเขาคงถูกครอบครัวเร่งให้แต่ง คงไม่ได้ชอบภรรยาที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาเท่าไหร่นักแต่ใครจะรู้ว่าพอถึงวันนี้ เขากลับได้มาเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาหน้าแดงด้วยความอายพอหันไปดูที่ลู่เหิงจืออีกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งไร้อารมณ์ ไม่เสียทีที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีชาญฉลาดแห่งราชสำนัก!ในใจของเขารู้สึกนับถือขึ้นมาในทันที จึงรีบยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดีอย่าได้ตำหนิข้าน้อยเลย ข้าน้อยตัดสินใจมาเองเพื่อมาแสดงการต้อนรับ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา"แม้คนที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีมั
ลู่เหิงจือเผชิญหน้ากับความโกรธของนางอย่างสงบ "ข้าไม่ได้แจ้งพวกเขาจริงๆ แต่เรื่องการตรวจสอบภาษีเป็นเรื่องใหญ่ คงมีคนในวังบอกพวกเขาแล้ว""..." ซูชิงลั่วระบายความโกรธออกมาไม่ได้ จึงตะโกนถามไปเสียงดัง "เช่นนั้นที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของข้าสินะ?""เป็นความผิดของข้า" ลู่เหิงจือยอมรับผิดทันที "ข้าควรจะคิดได้ว่าพวกเขาจะมารับ นี่เป็นความสะเพร่าของข้าเอง"ความจริงเขาไม่ได้สะเพร่าอะไร เพียงแต่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอก เพราะไม่อยากให้ซูชิงลั่วกังวลล่วงหน้า ใครจะไปคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงพูดจาดีๆ ปลอบใจนางไม่รู้ทำไม เมื่อเขาพูดจบ ซูชิงลั่วกลับรู้สึกเหมือนเขาดูเป็นฝ่ายที่โดนรังแก นางเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำตัวงี่เง่าไปหน่อยซูชิงลั่วหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างไม่พอใจต่อ "แล้วเหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงยอมรับว่าข้าเป็นฮูหยินท่านเล่า? ข้าอุตส่าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นแค่อนุภรรยาของท่านน่ะ!"ลู่เหิงจือตอบด้วยเสียงนุ่มนวล "พวกเขาทุกคนรู้ว่าข้าจะพาฮูหยินมาด้วย""..."ความหมายคือ หากนางไม่ยอมรับ แล้วจะไปหาภรรยาที่ไหนมาแทนดูเหมือนว่าต่อให้พูดอย่างไร ความผิดก็ไม่ตกอยู่ที่ลู่เ
ซ่งเหวินหยิบเงินสองตำลึงออกมาด้วยความเจ็บใจ แล้วโยนให้บริกรในร้านบริกรรับเงินด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและยิ่งรีบพาทุกคนนั่งที่โต๊ะอย่างเอาใจใส่ เช็ดโต๊ะให้สะอาดสองสามรอบ ก่อนจะเชิญฮูหยินท่านนี้ให้นั่งลงบริกรคนนี้ดูคล่องแคล่วใช้ได้เลยทีเดียวหลังจากทุกคนได้นั่งลงและสั่งอาหารไปแล้ว ซูชิงลั่วอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า "นึกไม่ถึงเลยว่าเมืองหางโจวจะรุ่งเรืองกว่าจินหลิงมากขนาดนี้ แม้แต่ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย"ลู่เหิงจือยกคิ้วขึ้น แต่ไม่ตอบอะไรซูชิงลั่วเห็นท่าทางของเขา จึงเดาออกว่า "ท่านว่าจะมีคนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่?"ลู่เหิงจือตอบช้าๆ ว่า "หากฮูหยินเป็นบุรุษ คงได้ตำแหน่งขุนนางไปแล้ว"ซ่งเหวินที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ คิดในใจ อะไรนะ? นี่มันเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ? เขาเองก็รู้นะ แต่ทำไมไม่เห็นใต้เท้าจะชมเขาบ้าง?เมืองหางโจวสมเป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งเจียงหนาน แม้แต่ในโรงเตี๊ยมธรรมดายังมีหญิงสาวมาขับร้องเพลงสร้างความเพลิดเพลินหญิงสาวผู้นั้นดูจะอายุสักสิบห้าสิบหกปี รูปร่างผอมบางราวต้นไผ่ หน้าตาก็สะอาดสะอ้านเสียงที่อ่อนหวานไพเราะของนางขับร้องเพลงพื้นเมืองเจียงหนานจนได้รับเสียงปรบมือไปหลายร
ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเรียบ "ให้ข้าป้อนเจ้าหรือไม่?""..." นางจึงยอมเอาหมูพะโล้เข้าปากอย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกบังคับให้กินปลาอีกครึ่งตัว กุ้งอีกเจ็ดแปดตัว และข้าวอีกครึ่งชามหลังกินอาหารเสร็จ คณะของพวกเขากำลังจะออกจากร้าน ทันใดนั้น ก็มีชายร่างสูงใหญ่ ท่าทางดุดัน เข้ามาพร้อมพรรคพวกอีกเจ็ดแปดคน ตะโกนลั่น "บริกรยกอาหารมา เหมือนเดิม!"ภายในโรงเตี๊ยมเงียบสนิทไปทันทีผู้คนตามโต๊ะข้างๆ รีบลุกขึ้นออกไปทีละคนสองคน แม้แต่บางโต๊ะที่เพิ่งได้อาหารยังไม่ได้กินเลยก็ลุกแล้วซูชิงลั่วรู้สึกกังวลอยู่บ้าง นางมองไปที่ลู่เหิงจือหนึ่งครั้ง แล้วคิดถึงหน้าตาอัปลักษณ์ของตนในตอนนี้ ดูท่าจะไม่มีอะไรน่ากลัว นางจึงนั่งตัวตรงทันทีตอนนี้ บริกรที่เพิ่งรับใช้พวกเขาเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาเติมน้ำและกระซิบเสียงเบา "ท่านทั้งหลาย หากไม่อยากมีเรื่อง รีบออกไปเสียเถิด"พูดจบ เขาก็รีบวิ่งไปราวกับปลาในน้ำ รีบไปเทน้ำชารับรองพวกคนโต๊ะนั้นต่อทันทีซูชิงลั่วถาม "เราจะไปหรือไม่?"ลู่เหิงจือเอ่ยเรียบๆ "เจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?""แน่นอนว่า...ยังไม่อิ่ม""ถ้าเช่นนั้นก็นั่งกินต่อไป"ลู่เหิงจือพูดแล้ว ซูชิงลั่วจึงคลายกังวลลง นางก็ไม่รู
ลี่หลุนได้ยินดังนั้น ก็ลุกขึ้นพร้อมมองไปยังลู่เหิงจือด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นก็หันไปมองซูชิงลั่วที่อยู่ข้างๆสายตาเขาเหมือนงูพิษ มองซูชิงลั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า "รูปร่างก็ดีอยู่หรอก น่าเสียดายที่หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ถ้าปิดหน้าไว้ก็พอรับไหว"สายตาของลู่เหิงจือพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในทันทีซ่งเหวินคิดในใจว่า ลี่หลุนคงจบสิ้นแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสายตาแบบนี้จากลู่เหิงจือ คือตอนที่เขาตัดสินประหารชีวิตลุงของตัวเองลี่หลุนรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ดูประหลาดนัก ทั้งที่ข้อมือและลำคอของนางขาวขนาดนั้น แต่เหตุใดใบหน้าถึง...?เขาหรี่ตาเพ่งดูอย่างละเอียด ก่อนจะหัวเราะออกมา "แต่งหน้าเอาสินะ"เขาเดินท่องในยุทธภพมานาน เรื่องแบบนี้ก็เคยเจอมาก่อน คิดไปคิดมาก็เข้าใจได้ทันที ว่าหญิงสาวคนนี้คงแต่งหน้าแบบนี้เพื่อสะดวกในการเดินทาง...ถ้าเช่นนั้น แม่นางผู้นี้จะงดงามมากขนาดไหนกัน?ซูชิงลั่วเริ่มตื่นตระหนกในใจนางไม่คาดคิดเลยว่าการปลอมตัวจะถูกจับได้ร่างกายของนางแข็งทื่อในทันที ความทรงจำที่เคยถูกหนิงไห่ลู่ลักพาตัวผุดขึ้นมาในหัวอย่างฉับพลัน นางจับมือของลู่เ
ทันทีที่เขาเข้ามา ลี่หลุนก็หัวเราะอย่างน่ากลัวสองครั้ง ตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ฟังไม่ชัด "ซ่า (ฆ่า)! ซ่าลัน (ฆ่ามัน)!"เมื่อท่านเจ้าเมืองหางเห็นสภาพอันน่าสยดสยองของลี่หลุนถึงกับตกใจ แต่ก็ไม่สนใจ รีบคุกเข่าลงและพูดว่า "คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี โปรดอภัยให้ข้าด้วย เป็นความบกพร่องของข้าเอง"ลี่หลุนหน้าถอดสีในทันทีทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง"เป็นท่านอัครมหาเสนาบดีจริงๆ หรือ? ลี่หลุนคงจบเห่แล้วสินะ?""ไม่แปลกใจเลยที่ลงมือหนักขนาดนี้ ขนาดฮูหยินของท่านอัครมหาเสนาบดีลี่หลุนกล้าไปลวนลาม ถุยถุย!""สมน้ำหน้า ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเขารังแกคนไปมากแค่ไหนแล้ว"ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "จับตัวลี่หลุนเข้าคุก เดี๋ยวข้าจะสอบสวนเขาเอง"เจ้าเมืองหางชะงักไป แล้วรีบตอบรับทันทีทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากถนนและพูดว่า "ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยขอแจ้งความ ลี่หลุนบังคับข่มเหงภรรยาของข้า ทำให้ภรรยาข้าน้อยต้องฆ่าตัวตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว ขอท่านอัครมหาเสนาบดีโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!""ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าน้อยก็ต้องการแจ้งความลี่หลุนที่ทำร้ายพี่ชายข้าน้อยจนขาพิการทั้งสองข
นอกจากช่วงล่างแล้ว บริเวณลูกกระเดือกก็เป็นจุดอ่อนเช่นกันโฉวกว่างสอนตรงไปตรงมา คือให้โจมตีจุดทั้งสองของชายหนุ่มอย่างไม่ยั้งซูชิงลั่วฝึกซ้อมกับจื๋อหยวนอย่างหนักตลอดบ่าย ทั้งคู่กลิ้งไปกลิ้งมาจนตัวเต็มไปด้วยดินและเหงื่อ เหนื่อยจนไม่มีแรงจึงหยุดพักนางถามโฉวกว่างว่า "เจ้าคิดว่าวันนี้ข้าจะชนะพี่สามได้หรือไม่"โฉวกว่างตอบด้วยความสัตย์จริงว่า "เกรงว่าคงไม่ได้"ซูชิงลั่วก้มศีรษะ ดูเหมือนจะท้อใจโฉวกว่างพูดว่า "ฮูหยินวางใจได้ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านฝึกซ้อม แม้จะแพ้ก็เป็นเรื่องปกติ วันนี้ระหว่างที่อูหยินฝึกซ้อมกับใต้เท้า ข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ชี้แนะจุดบกพร่องของฮูหยิน"ซูชิงลั่วพยักหน้า ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้นมาทันที "ถ้าอย่างนั้นข้าจะจู่โจมอย่างฉับพลันได้หรือไม่"โฉวกว่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "ได้"ซูชิงลั่วตื่นเต้นมาก "ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวข้าจะใช้การปาถ้วยเป็นสัญญาณ เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่มุมมืดห้ามเตือนเขา"“……”ฮูหยินของใต้เท้าคงอ่านบทบรรยายมากเกินไปจนถึงกับปาถ้วยเป็นสัญญาณโฉวกว่างตอบ "ขอครับ"นอกหน้าต่างค่อยๆ มืดลง มีเพียงดาวกระจายอยู่บนท้องฟ้าเพียงเล็กน้อยซูชิงลั่วนั่