ทันใดนั้นเองซ่งเหวินก็เคาะประตูเข้ามา น้ำเสียงของลู่เหิงจือแสดงออกถึงความเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด : "มีเรื่องอันใดอีก"แม้ในยามปกติเขาจะเฉยชาเคร่งขรึม แต่ก็มีเวลาที่หมดความอดทนกันบ้าง ซ่งเหวินหัวใจเต้นตึกตัก แต่ก็พูดออกมา : "เมื่อครู่นายหญิงมาที่นี่ แต่มาถึงหน้าประตูก็กลับไปเสียก่อน"สีหน้าของลู่เหิงจือพลันอ่อนโยนลงมาทันทีนางจะต้องเป็นห่วงเขามาก แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนเขาถึงได้ทำเช่นนี้เขาสั่งให้ซ่งเหวินออกไป แล้วกลับลงมานั่งอีกครั้ง ทว่าจิตใจกลับไม่ได้อยู่กับงานราชการอย่างชัดเจนเหยาชั่วพูดแทงใจดำ : "ใต้เท้าต้องจิตใจแน่วแน่อยู่กับเรื่องที่กำลังหารือ จะมัวลุ่มหลงอยู่กับสาวงามไม่ได้"เซี่ยถิงอวี่ก็เป็นเช่นนี้้ เขาก็เป็นเช่นนี้ การใหญ่ของพวกเขาจะยังทำต่อไปหรือไม่ลู่เหิงจือจ้องมองเขาปราดหนึ่ง เหยาชั่วรีบปิดปากเงียบทันทีลู่เหิงจือไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมานิ่งๆ : "หากข้าพาภรรยาของข้าไปเจียงหนานด้วย เห็นเช่นไร"ตกตะลึงราวกับฟ้าผ่าลงกลางหัวอย่างไม่ต้องสงสัยเหยาชั่วนิ่งอึ้งไปราวกับท่อนไม้ สงสัยว่าตนได้ยินผิดไปลู่เหิงจือหัวเราะเบาๆ : "หวังเหลียงฮั่นผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย
แววตาของลู่เหิงจือลุ่มลึกกว่าเดิมเขาหัวเราะเบาๆ : "ช่างกล้าหาญยิ่งนัก"ซูชิงลั่วหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้นาง...นางก็แค่รู้สึกว่าเขาจะต้องไปแล้ว เมื่อครู่ลองเปิดหนังสือดู ทั้งยังแบกหน้าไปถามฉู่หมัวมัวมาอีกด้วยฉู่หมัวมัวบอกนางว่า บุรุษต่างก็ชอบแบบนี้ทั้งสิ้นหรือว่า...ลู่เหิงจือจะไม่ชอบระหว่างที่นางกำลังสงสัย ตรงหน้าพลันว่างเปล่า ลู่เหิงจือไม่รู้ว่านอนลงไปตั้งแต่เมื่อใด ก่อนจะยกนางขึ้นไปบนตัวเขาเขาช้อนปลายคางนางขึ้นเบาๆๆ : "ให้ข้าดูหน่อย เจ้าเรียนสิ่งใดมาบ้างแล้ว"ใบหูของซูชิงลั่วเริ่มแดง พลันหลับตาลงได้ยินเสียงเสียงถ่านเผาไหม้ประสานกับเสียงออดอ้อนของนางเสื้อผ้าค่อยๆ ถูกโยนลงมาที่พื้นทีละชิ้นๆเขาประครองเอวคอดบางของนางไว้ ออกแรงสลับกับเบาแรงเป็นระยะ ความปรารถนาในดวงตาล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆท่วงท่าของนางแฝงไว้ด้วยความหมายอื่น ดูเหมือนจงใจจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อเอาใจเขา ราวกับปีศาจสาวในหนังสือนิยายที่คอยยั่วยวนผู้คนผมยาวสะบัดอยู่กลางอากาศเบาๆ สะบัดโดนข้อมือของเขา ทั้งเสียวและชาร่างกายก็กำลังโยกขึ้นลง จนเขาเกิดอาการตาลาย จนเขาแทบจะเสียการควบคุมแทบจะสามารถตายแทบอ
ความประหลาดใจในดวงตาเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ลู่เหิงจือพยักหน้า"ในเมื่อชวนเจ้าไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้"การเดินทางครั้งนี้มีองครักษ์ลับของเซี่ยถิงอวี่ติดตามไปด้วย อีกทั้งเรื่องที่ต้องตรวจสอบคือเรื่องเงินภาษี ไม่มีสิ่งใดเป็นอันตรายอีกอย่างเมื่อมีนางอยู่ด้วย เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการไปช้าๆ ได้ ไม่ต้องรีบกลับเมืองหลวง ระหว่างทางยังสามารถพานางไปจินหลิงได้อีกด้วยซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเก็บของนะเจ้าคะ"ลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "เดินทางครั้งนี้เรียบง่าย เจ้าพาสาวใช้ไปได้เพียงคนเดียว""ข้าจะพาจื๋อหยวนไป ข้ากับนางต่างก็ขี่ม้าเป็นทั้งคู่ ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน" นางพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะรีบสวมเสื้อซับชั้นในแล้วลงจากเตียงไปความจริงแล้วที่นางกล้าพูดเรื่องไปเจียงหนานกับลู่เหิงจือก็เพราะถือว่าตนขี่ม้าได้ ท่านพ่อทำธุรกิจ มีลูกสาวเพียงคนเดียว อยากจะให้นางสืบทอดกิจการต่อ พอนางเพิ่งจะอายุได้สิบแปดก็สอนให้นางฝึกขี่ม้า"ที่แท้น้องหญิงก็ขี่ม้าเป็น มิน่าล่ะ" น้ำเสียงราวกับไตร่ตรองอะไรบางอย่างซูชิงลั่วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้กันทะหัน ออกแรงชกแผงอกลู่เหิงจือไปหนึ่งหมัด
เมื่อวานหิมะตกเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้ หิมะด้านนอกก็ละลายไปจนหมดสิ้นลู่เหิงจือและซูชิงลั่วบอกลาทุกคน ก่อนจะขึ้นรถม้าไปรถม้ากว้างขวาง ทั้งยังมีเตียงเล็กแคบๆ หนึ่งเตียง หากเหนื่อยก็สามารถนอนพักได้ลู่เหิงจือนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือเรียกนางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างเป็นธรรมชาติซูชิงลั่วชะงักไปชั่วขณะในหัวพลันผุดภาพคู่ชายหญิงบนรถม้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นขึ้นมากะทันหัน แล้วพลอยนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เคยอ่านตอนยังไม่รู้เดียงสา บุรุษและหญิงงามตกลงปลงใจกันบนรถม้า นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา"ข้าไม่ค่อยชินกับการนั่งบนเตียง นั่งที่นี่ก็พอ" นางยิ้มแห้งๆลู่เหิงจือสบายๆ ไม่ได้ถือสาอะไรนัก ก่อนจะหยิบหนังสือจากหีบที่อยู่ใต้เตียงออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านซูชิงลั่วโล่งอกยังดีที่ลู่เหิงจือไม่ได้มีความชอบประหลาดๆลู่เหิงจือค่อยๆ พลิกหนังสืออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สายตากวาดมาที่นางปราดหนึ่ง แล้วกลับไปอยู่บนหนังสือต่อไม่รู้ว่าเพราะประหม่าหรืออย่างไร นางมักจะรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เหิงจือมองนางแฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มนางเผลอตัวหดไปอ
นางก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้นเองลู่เหิงจือเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี คิดๆ ดูแล้วคงไม่มีทางทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนั้น ยามนี้ก็ไม่ดูไม่มีทีท่าจะปลุกเร้านางเลย ในที่สุดนางก็โล่งใจได้เสียที พูดเบาๆ : "ข้าก็แค่กลัวจะสร้างปัญหาให้ท่าน"ข้ออ้างนี้ทำให้นางดูรู้ความอยู่ไม่น้อยลู่เหิงจือแม้จะรู้ทันก็ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ขยับไปที่ปลายเตียงเล็กน้อยซูชิงลั่วรีบเลิกผ้าห่มออก แล้วเข้าไปนอนห่อตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยความรีบร้อน ในที่สุดก็ไม่หนาวขนาดนั้นแล้วแต่ก็ไม่ได้อุ่นนักผ้าห่มเย็นๆ เตียงก็เย็นอีกทั้งยังแข็ง ไม่แปลกเลยที่หญิงชราไม่ยอมให้นางมา ทรมานมากจริงๆลู่เหิงจือถือหนังสือไว้ในมือ พลางหันมาถามนาง : "ต้องการโถน้ำร้อนหรือไม่"ซูชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย : "มีหรือเจ้าคะ""มี""เช่นนั้น..." นางกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง "ช่างมันเถอะ"หากจะเอาโถน้ำร้อนก็ต้องหยุดรถ เป็นการลำบากผู้อื่น นางบอกเองว่าไม่อยากสร้างปัญหาให้เขาลู่เหิงจือสั่งหยุดรถ บอกให้ซ่งเหวินส่งโถน้ำร้อนมาซูชิงลั่วรีบก้มหน้าด้วยความเขินอายคนทั้งขบวนต่างก็รู้แล้วว่าลู่เหิงจือสั่งหยุดรถเพื่อเอาโถน้
“……”ลู่เหิงจือก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงมีความคิดเช่นนี้ แม้แต่เขาเองยังรู้สึกขำการที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่มีสาเหตุทำให้ซูชิงลั่วยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าเดิม ผงะถอยหลังไป หลังชนเข้ากับผนังรถม้า นางมองเขาตาปริบๆ ด้วยดวงตากลมโตที่น่าสงสาร เผยให้เห็นสายตาวิงวอนลู่เหิงจือหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มที่คลุมบริเวณหน้าอกนางอยู่หน้าอกโล่งเปล่าทันควัน ซูชิงลั่วรีบกอดอกแล้วงอขาเข้ามา พลางมองเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเขาคงจะไม่...เป็นอย่างที่ฉู่หมัวมัวกล่าวไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีผู้ใดได้เรื่องสักคน กับเรื่องเช่นนี้ล้วนแต่ต้องการความหลากหลายแปลกใหม่จู่ๆ ลมด้านนอกเบาลงกะทันหัน จึงได้ยินเสียงโหวกเหวกจากข้างนอกอยู่ลางๆซ่งเหวินส่งเสียงมาจากด้านนอก : "ใต้เท้า พวกเราใกล้จะเข้าตัวเมืองแล้วขอรับ""อืม" ลู่เหิงจือขานรับ สายตาค่อยๆ มองไปที่นางช้าๆ ปราดหนึ่งซูชิงลั่วกลัวยิ่งกว่าเดิมสายตาของลู่เหิงจือเผยให้เห็นความร้ายกาจ พลันเอื้อมมือออกไปอุ้มนางขึ้นมาแล้วหมุนตัวครึ่งรอบ ก่อนจะให้นางคุกเข่าลงบนเตียงแล้วสวมกอดนางจากด้านหลังมือของนางถูกบังคับให้ค้ำอยู่ที่ผนังรถม้า พลางพูดพึมพำ : "เ
สายฝนพร่างพราย ปกคลุมทั่วท้องฟ้าเมืองฉางอันท้องฟ้ามืดมัว เทียนเล่มหนึ่งที่ถูกจุดสว่างไว้บนเชิงเทียนถูกลมพัดเบาๆ แสงไฟสั่นไหว ฝีเข็มที่กำลังปักตรงหน้าจึงไหวตามไปด้วยเล็กน้อยซูชิงลั่วถูกเข็มทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างไม่ทันระวัง เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านขึ้นมาทันทีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนชุดแต่งงานที่ยังปักไม่เสร็จในมือ และหยดเปื้อนสีแดงลงบนตำแหน่งของนกยวนยางพอดิบพอดีชุดแต่งงานเปื้อนเลือด เป็นลางไม่ดีอย่างมากจื๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผลของซูชิงลั่วไว้ทันที"คุณหนูวันนี้ฝนตก ท้องฟ้ามืดมัว ไม่สู้ไว้ปักวันอื่นเถิดเจ้าค่ะ อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี ทันแน่อยู่แล้ว"ซูชิงลั่วก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรรับใช้ซูชิงลั่วมาเป็นเวลาหกปี จื๋อหยวนรู้สึกว่าคุณหนูของนางยิ่งสวยขึ้นทุกวัน หรืออาจจะเป็นเพราะโตขึ้นก็ได้ผิวของนางขาวเนียนดุจหยก ดวงตาคู่สวยสดใสดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย ความงามสดใสของวัยสาวทำให้นางดูมีเสน่ห์ในแบบเด็กสาวปลายนิ้วยาวเรียวพันด้ายเรียบร้อย ซูชิงลั่วพูดเสียงเบาว่า "งั้นก็ไม่ปักแล้ว เราออกไปข้างนอกกัน"จื๋
ฝนยังคงตกและดูเหมือนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆซูชิงลั่วไม่อยากข้องเกี่ยวกับคู่หญิงร้ายชายเลวนี้อีก นางตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนกลับไปยังจวนลู่ทันทีโดยไม่รอให้รถม้ามาถึง เพราะอย่างไรระยะทางก็เพียงแค่สองถนนเท่านั้นเมื่อมาถึงตรอกของประตูข้าง นางก็หยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ไม่อยากเข้าประตูไป ได้แต่กอดจื๋อหยวนแล้วร้องไห้ออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่พ่อแม่ของนางเสียชีวิตตอนนางอายุได้เพียงสิบปี จากนั้นนางจึงได้ติดตามลู่โย่วผู้เป็นน้าชายย้ายจากจินหลิงมายังบ้านตระกูลลู่ของท่านยายในเมืองหลวงแม้ว่าท่านยายจะดูแลนางดียิ่งกว่าหลานสาวแท้ๆ ของตัวเอง แต่นางก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของคนอื่นหลังจากนั้นลู่เหยียนก็ปรากฏตัวขึ้นเขาเป็นคนที่อ่อนโยนและสุภาพ อีกทั้งมักจะส่งของที่พวกผู้หญิงชื่นชอบมาให้นาง เช่น เครื่องหอมจากตะวันตก ปิ่นหยก แจกันดอกไม้ต่างๆบ้านตระกูลซูเป็นคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในจินหลิง แม้ว่าของพวกนี้นางจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็รู้สึกว่าลู่เหยียนนั้นใส่ใจในตัวนางภายหลังท่านยายและน้าหญิงของนางจัดแจงให้นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน นางก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แถมยังเริ่มคาดหวังเรื่องการมีครอบคร