เขาแค่ทำตามคำสั่งของนางหลิ่วที่ให้ไปเกลี่ยกล่อมซูชิงลั่วก็เท่านั้น ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวกับนางเลย ถึงขั้นสนใจร่างกายของหลิ่วเยียนหรานมากกว่าเสียอีกเนื่องจากซูชิงลั่วเป็นคนมีระเบียบ สุภาพและดูน่าเบื่อราวกับตำราธรรมะ ทำให้เขาไม่รู้สึกสนใจเลยทว่าขณะนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงเขาก้มลงทำความเคารพนางโดยไม่ทันได้คิด เสียงของเขามีความนุ่มนวลที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว "น้องซูเพิ่งไปน้อมทักอณุสวัสดิ์ท่านยายมาหรือ"เมื่อคำพูดลั่นออกมา เขาถึงกับตกใจก่อนซูชิงลั่วย่อมรู้สึกประหลาดใจ นางนึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่แสดงท่าทีเกลียดนางเลย เมื่อใดที่ลู่เหยียนใจกว้างขนาดนี้แต่นางไม่อยากคุยกับเขามาก เพราะนางแต่งงานแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงความสงสัยนางตอบเพียง "อืม" แล้วพาคนจากไปนางเพียงรู้สึกในใจว่าชุดขาวนวลราวแสงจันทราไม่เหมาะกับลู่เหยียนเอาเสียเลย ไม่เหมือนลู่เหิงจือ เมื่อสวมใส่ชุดสีขาวนวลราวแสงจันทรา ก็ดูสง่างามราวเทพเซียน ไม่เหมือนคนทั่วไปทว่าคืนนั้นเขากลับ...บนร่างกายของนางเอิ่ม พอนึกถึงลู่เหิงจือ นางก็เขินอายมากรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็วลู่เหยียนมองแผ่นหลังที่จากไ
เมื่อยามค่ำคืน ฉางชิงคุกเข่าอยู่กลางสายลมหนาวอย่างหนาวสั่นเขารู้สึกว่าถูกใส่ร้ายเขากลับมาจากการออกไปทำงานเพียงครึ่งค่อนปี เหตุใดสถานการณ์ในจวนของใต้เท้าถึงเปลี่ยนพลิกฟ้าเช่นนี้พวกฉางเฟิงและฉางเหอที่สมคงอิจฉาที่เขาได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ดูดีมีสง่าราศี จึงจงใจไม่เตือนเขาแน่ๆทว่าฮูหยินคนใหม่ได้รับความโปรดปรานมากขนาดนี้เลยหรือ?ห้องหนังสือที่มีเอกสารสำคัญจำนวนมากสามารถเข้าออกและย้ายของได้ตามใจชอบเช่นนี้เลยหรือประตูห้องหนังสือเปิดออก ลู่เหิงจือเดินออกมาพร้อมกับซูชิงลั่วในอ้อมแขน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกนิดหน่อย เจ้าไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อนเถอะ หากเหนื่อยก็เข้านอนได้เลย”คำว่าเหนื่อยดูเหมือนมีนัยยะแฝงซูชิงลั่วใบหน้าแดงก่ำและพยักหน้า วันนี้นางจัดห้องหนังสือเสร็จแล้วก็มาจัดห้องนอนต่อ ก็รู้สึกเหนื่อยจริงๆลมหนาวพัดกระหน่ำเข้ามาในเสื้อผ้า ซูชิงลั่วหันไปมองฉางชิงที่คุกเข่าอยู่หน้าประตู จึงอยากจะขอร้องแทนเขา “อากาศหนาวมาก เขา...”ลู่เหิงจือขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมว่า "ให้เขาได้บทเรียนสักหน่อย"ฉางชิงทำหน้าบึ้งไม่กล้าโต้แย้งซูชิงลั่วไม่รู้จะ
หลังจากจบลง เขาก้มลงไปจูบน้ำตาที่มุมตาของนางแล้วพูดว่า “ขอโทษ......”ซูชิงลั่วมองเขาและพูดว่า “ท่านหึงหนักมาก ข้าแทบไม่ได้พูดคุยกับลู่เหยียนเลย”ลู่เหิงจือนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่สายตากลับยังคงลึกล้ำไม่ใช่ว่าจะตำหนินาง เพียงแต่อดอิจฉาไม่ได้เขามีความยึดมั่นในสิ่งหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นหลังจากที่นางหมั้นหมายกับลู่เหยียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะอยู่กับคนอื่นเมื่อนึกถึงซูชิงลั่วที่เคยชอบลู่เหยียน หัวใจของเขาก็แอบเจ็บแปลบ และควบคุมไม่อยู่ซูชิงลั่วดูเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาและกุมแก้มทั้งสองข้างของเขา "ท่านไม่ใช่คิดว่าข้ายังมีใจให้ลู่เหยียนอยู่ใช่หรือไม่ เป็นไปได้อย่างไร ยามนั้นเขา...แบบนั้น""ไม่ใช่" น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมากไม่ใช่เรื่องนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องในอดีต?ซูชิงลั่วเม้มริมฝีปาก โน้มตัวเข้าไปข้างหูของเขาแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้ว ฉข้าหมั้นหมายกับเขา หลักๆ ก็เพราะท่านยายของข้า ข้าไม่ได้...กับเขาเลย"ไม่มีอะไร แต่กลับพูดไม่ออกเพราะไม่ต้องการเชื่อมโยงคำว่าหวั่นไหวกับลู่เหยียนนางหยุดชะงักชั่วขณะ และลู่เหิงจือก็วางมือบนหลังนาง แล้วถามว่า "ไม่มีอะไรหรือ"นี่เป็นครั้งแรกที่เ
ซูชิงลั่วสวมชุดสีแดงส้มผ้าไหมจากเมืองซู เดิมเป็นชุดที่ทำให้นางดูสวยงามอยู่แล้ว แต่ท่าทางบ่นของนางก็ทั้งดูน่ารักและน่าเอ็นดู เสียงของนางยังมีน้ำเสียงออดอ้อนปนอยู่ลู่เหิงจืออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย สั่งให้คนนำกล่องอาหารเข้ามา แล้วเดินมาจับมือของนางไว้ “เป็นความผิดของข้าเอง ที่เพิ่งกลับเข้าท้องพระโรงก็ยุ่งไปหน่อย”นางไม่ขยับ ปล่อยให้เขาจับมือนางไว้ และไม่ได้สลัดมือออกลู่เหิงจือก็อุ้มนางขึ้นมาทันทีร่างลอยขึ้นกลางอากาศ ซูชิงลั่วตกใจมาก โอบคอเขาแน่นจื๋อหยวนและอวี้จู๋ก้มหน้าลงพร้อมกันในทันที ไม่กล้าดู หูของอวี้จู๋ดูเหมือนจะแดงเล็กน้อยซูชิงลั่วเองก็เขินอาย พยายามผลักลู่เหิงจือออก “ท่านอย่า......รีบวางขาลง”แรงน้อยนิดของนาง ผลักเขาไม่ออกเลยปล่อยให้เขาอุ้มตัวไปนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ และได้ยินเขาไล่สาวใช้ออกไป “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รอรับใช้”อาหารในกล่องน่าจะเป็นฝีมือพ่อครัว ไม่เหมือนฝีมือของลู่เหิงจือ แม้จะดูประณีต แต่เมื่อเทียบกับอาหารที่ลู่เหิงจื่อทำ ก็ขาดรสชาติของบ้านไปบ้างไม่รู้ว่าเป็นเพราะทั้งสองคนไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานหรือไม่ ลู่เหิงจือจึงดูแลนางเป็นพิเศษ คอยคีบอาหาร
การส่งเขาไปตรวจสอบภาษีที่เจียงหนาน ขณะที่ประเมินผลงานของขุนนางนั้น ถือเป็นการเตือนเขาไปในตัวหากไม่ใช่เพราะเซี่ยถิงอวี่ไม่เคยสนใจศึกษาเล่าเรียนและมัวแต่เที่ยวเตร่ คงจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ยากยิ่งกว่าเดิมก่อนหน้านี้เขาเป็นคนโดดเดี่ยวไม่กลัวอะไร แต่ยามนี้เขามีซูชิงลั่วแล้ว ทุกอย่างเขาก็ต้องคิดถึงนางเป็นหลักซูชิงลั่วถามว่า “แล้วท่านจะไปเมื่อใด”ลู่เหิงจือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบว่า “อีกสองสามวันนี้แหละ”นางประหลาดใจ “รีบขนาดนั้นเลยหรือ”“เป็นพระราชโองการ ไม่อาจปฏิเสธได้” เขาตอบเสียงนิ่งเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวทางนั้นดูยุ่งยากพอสมควร ข้าก็อยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าในช่วงตรุษจีน”คนในอ้อมกอดดูเหมือนจะรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจลู่เหิงจือใจอ่อนดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ามีแต่ความอ่อนโยนอย่างท่วมท้นในใจ อยากจะมอบให้นาง อยากเห็นนางมีความสุขเขาจึงก้มศีรษะบังคับให้นางมองหน้าแล้วจูบนางไม่ได้แตะต้องเขามาหลายวัน เขาก็จะไปเจียงหนานแล้ว ซูชิงลั่วก็อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา ดูเชื่องฟังอย่างมาก แทบจะยอมให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจเขาเอื้อมมืออ
ค่ำคืนนี้ซูชิงลั่วนอนไม่ค่อยหลับฝันร้ายตลอดทั้งคืน ประเดี๋ยวฝันเห็นลู่เหิงจือถูกคนลอบสังหาร ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดไหลอาบกาย เปื้อนเลือดไปทั่วทั้งชุดประเดี๋ยวก็ฝันเห็นเขาถูกบังคับให้กระโดดลงจากเรือจมน้ำ หายใจรวยรินและถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง แล้วถูกเด็กสาวช่วยไว้หญิงสาวผู้นั้นสวยมาก และบอกกับหลู่เหิงจือว่าชอบเขามากลู่เหิงจือเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสีหน้าซับซ้อน - ราวกับภาพวาดที่หยุดนิ่งอยู่ในขณะนั้นซูชิงลั่วลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เห็นแสงรุ่งอรุณแล้ว แต่ผ้าห่มข้างกายยังคงเย็นเฉียบ ลู่เหิงจือไม่ได้กลับมาทั้งคืนนางลุกขึ้นเรียกจื๋อหยวนเข้ามาและถามว่า “พี่สามยังอยู่เรือนหน้าอยู่หรือไม่”"เจ้าค่ะ ซ่งเหวินมาบอกขณะยามสี่ว่ายังยุ่งอยู่เจ้าค่ะ” จื๋อหยวนช่วยนางแต่งตัวและหวีผมซูชิงลั่วจ้องมองภาพสะท้อนในกระจกทองแดงด้วยดวงตาเหม่อลอย และนึกถึงฉากในความฝันความฝันของนางมักจะแม่นยำเสมอก่อนหน้านี้ความฝันเกี่ยวกับลู่เหยียนและหนิงไห่ลู่ก็เป็นจริงทั้งหมดแล้วไม่ถูก…แต่ก่อนนางก็เคยฝันว่าลู่เหิงจือจะไม่แต่งงานชัดๆ แต่ยามนี้เขากลับแต่งงานกับนางแล้วหรือว่าเรื่องในความฝันจะเปลี่ยนแปลงไปต
ซูชิงลั่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงพูดสิ่งเหล่านี้กับนาง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ายังดูกลัวว่านางจะทำลายอนาคตที่ก้าวหน้าของเขาเสียขนาดนั้น เหตุใดเวลานี้กลับยอมโอนอ่อนขึ้นมากะทันหันหรือจะเป็นเพราะเงินทองไม่พอใช้คิดไปคิดมา ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เหตุผลนี้ความรู้สึกรังเกียจที่นางมีต่อลู่เหยียนเพิ่มขึ้นทันควัน น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด : "เรื่องที่ไม่สลักสำคัญเหล่านั้น ข้าลืมไปหมดแล้ว ยามนี้ ข้าแต่งกับพี่สามของท่านแล้ว ท่านยังเอาแต่เรียกข้าว่าน้องซูจะเหมาะสมได้เช่นไร ท่านควรเรียกข้าว่าพี่สะใภ้สามถึงจะถูก"ลู่เหยียนชะงักงัน สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อยลู่เหิงจือขำออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปซูชิงลั่วได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยจึงหันไป ลู่เหิงจือเพิ่งกลับมาจากว่าราชการ ยังไม่ทันได้ถอดชุดคลุมพญางูสีน้ำเงินทำให้มีความรู้สึกกดดันที่ยากจะอธิบายบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา เพียงแค่ความรู้สึกกดดันนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดสำหรับนาง แต่กลับเป็นความรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำเขาเดินตรงเข้ามา แล้วเอ่ยนิ่งๆ : "ไม่ได้ยินหรือ เรียกพี่สะใภ้สาม"ลู่เหยียนเกิดอาการลนลานขึ้นมาชั่วขณะลู่เหิง
แค่เห็นท่าทางของลู่เหิงจือก็รู้ว่าคำขอนี้เกินกว่าเหตุไปมากสตรีในรัชสมัยนี้ยึดถือหลักสามปฏิบัติสี่จรรยา อยู่เรือนเลี้ยงลูกช่วยเหลือสามี จะตามสามีออกไปข้างนอกได้เช่นไร นับประสาอะไรกับเขาที่ออกไปทำการใหญ่ของราชการ จะให้นางตามไปด้วยก็ไม่เหมาะซูชิงลั่วรีบเอ่ย : "ข้าเพียงแค่พูดไปเช่นนั้น"รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูฝืนเกร็ง ทั้งยังพยายามปกปิดความรู้สึกด้วยการจัดเสื้อผ้าบนตัวเขา "พอดีตัวมากจริงๆ ข้าจะช่วยทำให้ท่านอีกหลายๆ ชุด แม้หน้าหนาวของเจียงหนานจะไม่หนาวเช่นเมืองหลวง แต่ถ้าหากหนาวขึ้นมาแล้ว ทั้งเปียกชื้นและเย็นยะเยือก ก็ทรมานไม่น้อย ข้าจะรีบเย็บเสื้อนวมให้ท่านอีกสองตัว""ไม่รีบร้อน ข้ายังไม่ถึงขั้นไม่มีเสื้อนวมใส่" ลู่เหิงจือถอนหายใจเบาๆ สวมกอดนางจากเบื้องหลัง เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับรสชาติของความรักลึกซึ้งระหว่างชายหญิงก่อหน้าเขาอยู่ลำพังตัวคนเดียว ไม่ว่าทำจะสิ่งใด หากคิดจะไปก็ออกเดินทางทันที เวลานี้จึงเกิดความอาวรณ์กับบ้านเกิดที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ขึ้นมาไม่น้อยซูชิงลั่วอดพูดไม่ได้ : "พวกเรายังแต่งงานกันได้ไม่ถึงครึ่งเดือน..."ก็ต้องแยกจากกันแล้วน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล