"ไหนเขาบอกว่าจะต้องเจอหลายคนไม่ใช่หรือ?"ซ่งเหวินตอบว่า "บรรดาขุนนางพวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี กรมขุนนางต้องทำการประเมิน ใต้เท้ามีฎีการอที่ต้องจัดการเต็มไปหมด กองราวเป็นภูเขาเลยจริงๆ จนไม่มีเวลามาทานข้าวได้ขอรับ"แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลามาหา แต่ก็ยังเรียกให้นางไปทานข้าวด้วยกันซูชิงลั่วรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่านางดีใจมากเกินไป ดูจะไม่สุภาพนางจึงตอบเสียงเรียบๆ ว่า "รู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปในไม่ช้า"ซ่งเหวินยิ้มรับคำแล้วส่งสายตาเชิงว่า "เร็วหน่อย" ให้จื๋อหยวนซ่งเหวินเพิ่งออกไป ซูชิงลั่วก็คว้ามือจื๋อหยวนแล้วพูดว่า "เร็ว เติมหน้าให้ข้าใหม่เร็วๆ หน่อย อย่าให้เขารอนานเกินไป"จื๋อหยวนรู้สึกขบขัน แต่ก็รีบแต่งหน้าเติมแป้งและสีปากให้กับนางซูชิงลั่วมองกระจกอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า "ไปกันเถอะ"แม้ลู่เหิงจือจะบอกแล้วว่าจื๋อหยวนและอวี้จู๋สามารถเข้าออกเรือนหน้าได้ตามสบาย แต่เมื่อต้องไปข้างนอกจื๋อหยวนมักรับหน้าที่เป็นคนติดตามซูชิงลั่ว อวี้จู๋มองตามจื๋อหยวนที่ติดตามซูชิงลั่วออกไปก็ได้แต่อิจฉาเมื่อเข้ามาในลาน
ซูชิงลั่วไม่กล้ามองสีหน้าของลู่เหิงจือ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกซ่งเหวินให้ลุกไปกินข้าวกับจื๋อหยวนซ่งเหวินกล่าวขอบคุณไม่หยุด ปากก็ชมซูชิงลั่วไม่ขาดราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ พอนางกลับมานั่ง ลู่เหิงจือก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ กินข้าวไปอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเขามีความคิดที่จะเชิญนางมาร่วมมื้ออาหารนานแล้วหรือไม่ บนโต๊ะจึงมีซาลาเปาไส้น้ำซุปไก่ที่นางชอบมากอยู่ด้วยซูชิงลั่วกัดไปหนึ่งคำ พอกลืนลงไปแล้วก็ถามว่า "นี่ทำจากห้องครัวเล็กของท่านที่นี่หรือ?""อืม" ลู่เหิงจือตอบ พร้อมถามว่า "ไม่อร่อยหรือ?""ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่เหมือนจะสู้ฝีมือซ่งเหวินไม่ได้" ซูชิงลั่วอดที่พูดความเห็นไม่ได้ "แต่ซ่งเหวินยุ่งเช่นนี้ จะให้เขาทำอาหารบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรนางคิดว่าลู่เหิงจือคงเคร่งครัดเรื่องไม่พูดขณะกิน ซูชิงลั่วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ได้กินข้าวกับเขาเงียบๆ แบบนี้นางก็มีความสุขแล้วหลังทานอาหารเสร็จ ซูชิงลั่วมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาที่สูงเหมือนภูเขาแล้วพูดว่า "อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว"ก็?ลู่เหิงจือจับสังเกตได
ยามนั้น เขาขัดสนเรื่องเงินทอง โชคดีที่ยามเด็กร่างกายแข็งแรง ได้เล่าเรียนวิชาต่อสู้ชกต่อยอย่างง่ายๆ มาบ้าง ลู่โย่วจึงเรียกให้เขาไปที่จินหลิง ไปครั้งหนึ่งได้เงินยี่สิบตำลึง เขาจึงไปการดูแลปกป้องเรือทั้งลำก็อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นกันหลังจากที่ช่วยเหลือลู่โย่วและนาง ลู่โย่วก็มอบเงินห้าสิบตำลึงให้เป็นการตอบแทนส่วนนางมอบทองให้หลายก้อน แหวนยกปานจื่อหนึ่งวง พร้อมทั้งเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อผ้าช้ันดีอีกหลายชุดตั้งแต่ยามนั้นก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่เอาใจใส่มาก เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ ต่อให้เขาหาเงินมาได้จริง ก็ไม่มีทางทำใจซื้อลง อีกทั้งทองคำก้อนเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถเตรียมสอบคัดเลือกขุนนางได้อย่างเบาใจในช่วงหลายปีนั้น ไม่ต้องวิ่งวุ่นเพราะเรื่องเงินทองอีกส่วนแหวนวงนั้น หากสอบไม่ผ่านก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้ราคาสูงไม่น้อยแต่เขาทำไม่ลง เก็บรักษาไว้ตลอด กระทั่งได้รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีถึงได้นำออกมาใส่ กลับเหมาะสมกับฐานะของเขาในตอนนี้ยิ่งนักลู่เหิงจือก้มหน้ากวาดสายตามองดูแหวนบนนิ้วหัวแม่มือ ทันใดนั้นเองก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางกะทันหัน ทว่าเพียงพริบตาเดียว ก็กดทับลิ้นของนางตาม
เขายังมีหน้ามาพูดอีกซูชิงลั่วเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด กระแทกประตูเสียงดังถึงอย่างไรลู่เหิงจือก็ปกครองเรือนอย่างเข้มงวด นางจะกระแทกประตูหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไปซ่งเหวินได้ยินก็สะดุ้งตกใจ คิดว่าใต้เท้าของตนหาเรื่องให้นายหญิงโกรธเสียแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเห็นซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเล็กน้อย พอนึกถึงเสียงภายในห้องเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไร พลันก้มหน้า ไม่กล้ามองอีกจื๋อหยวนมองไปที่นางพลางเอ่ยถาม : "นายหญิง เหตุใดปากของท่านถึงบวมได้ ตอนเที่ยงกินอาหารเผ็ดมาหรือ""..." ซูชิงลั่วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก "กลับกัน"จื๋อหยวนมึนงง ซ่งเหวินส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นาง นางก็เข้าใจทันที แล้วก็พลอยหน้าแดงตามไปด้วย ก่อนจะรีบเดินตามไปหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากเรือนไป ซ่งเหวินถึงจะเข้าไปรินน้ำชาให้ลู่เหิงจืออย่างระแวดระวังเห็นฎีกาบนโต๊ะวางกองอยู่อย่างยุ่งเหยิงก็เดินเข้าไปจัดด้วยท่าทางสงบนิ่งโชคดีที่เขาก็เป็นคนข้างกายของอัครมหาเสนาบดี พบเจอเหตุการณ์เล็กใหญ่มาไม่น้อย ทำให้ไม่ลนลานลู่เหิงจือเอนหลังพิงไปบนพนักเก้าอี้ นิ้วมือเคาะบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อยหล
ซูชิงลั่วพลันตีเขาเบาๆ ด้วยความกลัวที่ฝังใจอยู่เล็กน้อย : "ออกไป ท่านออกไป !"“……”นี่ยังไม่เท่าไหร่เลยมือที่ยื่นออกไปของลู่เหิงจือถูกเก็บกลับมากลางคัน : "ข้าไม่ได้ออกแรงมากเท่าใดเลย...""เงียบปาก ท่านเงียบไปเลย !"ลู่เหิงจือกระแอมเบาๆ : "เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำก่อน"ในที่สุดก็สงบลงได้สักทีทว่าซูชิงลั่วพลันนึกขึ้นมาได้ หัวใจที่สงบลงแล้วกลับตื่นตัวขึ้นมาทันควัน : "อะไร ท่านบอกว่าท่านจะทำสิ่งใด""อาบน้ำ" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบซูชิงลั่วมึนงงเล็กน้อย : "อาบ...น้ำ ?"สายตาที่มองมายังนางของลู่เหิงจือก็เรียบเฉยด้วยเช่นนกัน : "อากาศเริ่มหนาวแล้ว เจ้าคงจะไม่ให้ข้าอาบน้ำที่เรือนนู้นก่อนแล้วค่อยมาหรอกใช่หรือไม่ หากมาทั้งที่ผมยังเปียกจะเป็นหวัดได้ง่าย"ซูชิงลั่วไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนหลายวันมานี้ นางเอาแต่หาเวลาที่ลู่เหิงจือไม่มีทางมาอย่างแน่นอนอาบน้ำด้วยความรีบร้อน คิดว่าเขาเองก็เช่นกันนึกว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขากลับจะมาอาบน้ำที่นี่ตั้งแต่ที่บอกว่าชอบนาง เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เหมือนได้คืบจะเอาศอกอยู่เรื่อยนางเงยหน้ามองเขา สายตาของเขาเผยให้เห็นความน่าสงสารอย
ห้องพลันเงียบสงัดลงไปในพริบตาซูชิงลั่วจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ ไหลออกมาลู่เหิงจือก้มลงมองดูตามสายตาของนางปราดหนึ่งจึงกระจ่างในทันที พลันผูกเสื้อชั้นในอย่างรวดเร็ว รีบเดินเข้าไปนั่งริมเตียงแล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่ดีเอง"เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นางเสียใจ เพียงแค่ต้องการจะหาวิธีให้ได้คืบหน้าไปอีกขั้นก็เท่านั้น ไม่คิดว่าภรรยาของตนจะใจอ่อนเพียงนี้ แค่เห็นบาดแผลของเขาก็หลั่งน้ำตาเสียแล้วเขาผูกเสื้อแบบลวกๆ เสื้อชั้นในหลวมโคร่งไม่เข้ารูป บริเวณหน้าอกเปิดออกเล็กน้อย มองจากมุมนี้เห็นแผลเป็นพอดีน้ำตาของซูชิงลั่วไหลลงมาที่หลังมือของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดนางลืมความเขินอายไปหมดสิ้น ยื่นมือเข้าไปในคอเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง แล้วใช้ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นที่ยาวเป็นทางรอยนั้นเบาๆผิวหนังตั้งแต่บริเวณด้านบนหัวใจไปจนถึงกระดูกไหล่ซ้ายนูนขึ้นมาเล็กน้อย พื้นผิวเรียบวาวดุจเครื่องลายคราม ไร้ซึ่งรอยยับใดๆหัวใจของเธอปวดแปลบๆ ราวกับถูกตัวเองเมื่อหลายปีก่อนบนเรือแทงด้วยเช่นกัน"ไม่เป็นไรแล้ว ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างสุขสบายดีแล้วไม่ใช่หรือ" ลู่เหิงจือพูดปลอบนา
เหตุใดถึงได้ลืมอยู่ตลอด หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้เขาเอาแต่...เอาแต่...มือของนางชะงักไปเล็กน้อย ไม่กล้าจะคิดต่อลู่เหิงจือตอบนิ่งๆ : "อืม เจ้าว่ามา""ก็คือ...ตอนที่ท่านพ่อของข้าอยู่ที่จินหลิงมักจะช่วยส่งเสียบัณฑิตที่ฐานะยากไร้ ข้าอยากจะใช้ชื่อเสียงของท่านพ่อช่วยส่งเสียบัณฑิตที่เดินทางมาสอบยังเมืองหลวงในนามของร้านขายภาพวาด ไม่รู้ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ จึงอยากจะถามท่าน"เพราะมีข่าวลือว่าฮ่องเต้ทรงช่างระแวงสงสัยยิ่งนัก ลู่เหิงจือก็เป็นรัฐมนตรีผู้มีอำนาจ หากการกระทำนี้ของนางถูกมองเป็นการซื้อใจคนจะไม่เป็นการดีลู่เหิงจือขบคิด : "ได้""จริงหรือเจ้าคะ" ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่านางประหลาดใจเพียงใด ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายสว่าง จ้องมองมาที่เขา"นี่เป็นเรื่องที่ดี" เขาอมยิ้ม ทันใดนั้นเองก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก้มลงมองสายตาของเขาเริ่มมืดขรึมทั้งๆ ที่เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงได้หน้าเปลี่ยนสีกะทันหันเช่นนี้หลังจากนั้นลู่เหิงจือก็หันหน้าแล้วเอื้อมมือไปจับปลายคางของนางเอาไว้ ก่อนจะพยายามบังคับให้ศีรษะของนางหันมาน้ำเสียงของเขาเรียบเฉย : "บัณฑิตผู้นั้นทำให้เจ้านึกถึงเรื่องนี้อย่างนั้น
รุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของลู่เหิงจือ นึกถึงเรื่องที่เขาจะพานางออกไปข้างนอกวันนี้ นางก็อดดีใจไม่ได้รู้สึกถึงการขยับตัวของนาง ลู่เหิงจือเองก็ลืมตาตื่นด้วยเช่นกันสองมือของซูชิงลั่วเกยคาง ดวงตาใสเป็นประกายดุจน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจ้องมองเขา : "วันนี้จะพาข้าไปที่ใด"ลู่เหิงจือชะงักไปชั่วขณะ : "เกือบลืมบอกเจ้าไปเลย วันนี้พวกเราต้องแยกกันออกเดินทาง"ความเลินเล่อเช่นนี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเขา“……”นี่เขาเตรียมการเช่นไรกันแน่ความตื่นเต้นดีใจในน้ำเสียงของซูชิงลั่วหายไปในพริบตา : "เพราะเหตุใด""เซี่ยถิงอวี่อยากพบกับคุณหนูใหญ่เมิ่งแห่งจวนซิ่นกั๋วกง" เขาตอบกระชับได้ใจความ "ฉะนั้นวันนี้เจ้าเรียกนางไปสักการะที่วัดเซิ่งอัน"ซูชิงลั่วนิ่งไปเล็กน้อย แต่ก็ข่มความสงสัยไว้ไม่อยู่ จึงเอ่ยถาม : "พวกเขา..."ดูเหมือนลู่เหิงจือจะรู้ว่านางต้องการถามสิ่งใดจึงพยักหน้า"แต่ข้าได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่เมิ่งถูกหมั้นหมายไว้ให้องค์รัชทายาท""เป็นเช่นนั้นจริง""เช่นนั้น...""แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า"นึกถึงท่าทางเอ้อระเหยลอยชายไม่เป็นโล้เป็นพายของเซี่ยถิงอวี่ตอนอยู่ที่ป่าทไผ่ นางไม่ประทับใจเขาสักเท่าไหร่น
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป