ซูชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความเขินอายนางยกมือยันหน้าอกของลู่เหิงจือไว้ พลางได้ยินเขาพูดว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เจ้าคิดดีกว่าเถิดว่าจะทำอย่างไรให้ข้ามีความสุขในตอนนี้"เสียงของเขาทุ้มต่ำอยู่ในลำคอ ค่อยๆ จูบเช็ดน้ำตาของนางอย่างแผ่วเบาริมฝีปากอ่อนนุ่มไล่จูบจากเปลือกตาลงมาจนถึงแก้ม และไล่ลงไปถึงปลายคางของนาง"เหตุใดเจ้าถึงขี้ขลาดนัก?" ลู่เหิงจือนึกถึงเรื่องเมื่อครั้งอยู่บนเรือ ริมฝีปากหยุดที่ริมฝีปากของนางก่อนจะเอ่ยเบาๆเหตุการณ์ทั้งหมดก็ผ่านมาหกถึงเจ็ดปีแล้ว นางกลับยังกลัวจนร้องไห้ได้แต่เมื่อซูชิงลั่วได้ยินคำพูดนั้น ความหมายมันกลับแปรเปลี่ยนไป นางคิดว่าเขากำลังเยาะเย้ยตัวนางในตอนนี้นางหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดึงคอเสื้อของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเสียหน่อย"ลู่เหิงจือหันหน้าหนีเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงดวงตาของนางส่องประกายราวกับจิ้งจอกน้อย มีความไร้เดียงสาและดื้อดึงอยู่ในที บนใบหน้าของนางปรากฏแววของคนที่ตัดสินใจแล้วลู่เหิงจือยังไม่ทันเข้าใจความหมายของสีหน้านางในตอนนี้ ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วจูบเขาลู่เหิงจือสะดุ้งต
ซูชิงลั่วกลับมาจากเรือนของท่านย่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ อยู่ดีๆ นางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ว่า นางควรจะดูตำรานั่นดีไหมนะอย่างไรในอนาคต...พวกเขาก็น่าจะต้องเข้าหอกันแต่พอเดินไปถึงหน้าเก้าอี้ที่วางกล่องอยู่ ยื่นมือไปจะหยิบตำราที่ซ่อนอยู่ใต้กล่อง นางก็รู้สึกตัวขึ้นมา สงสัยตัวเองว่าถูกสาปหรือไร ถึงได้มีความคิดเช่นนี้ รีบปิดกล่องลงราวกับถูกไฟลวกนางนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง หยิบด้ายมาเย็บเสื้อของลู่เหิงจือเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกระหว่างที่เย็บไปเรื่อยๆ ในหัวกลับไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้นึกถึงฉากที่เขากอดจูบนางใต้ผ้าห่มเมื่อคืน ยิ่งคิดใบหน้าของนางเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้งนางเย็บไปพลาง ตีผ้าสีขาวนวลในมือตัวเองไปพลาง "ต้องโทษท่านนั่นแหละ!"วันนี้นางเอาแต่คิดอะไรเหลวไหลอยู่ได้?จื๋อหยวนเดินเข้ามารับใช้นางพอดี เมื่อเห็นท่าทางของซูชิงลั่วก็สงสัย "โทษใครหรือเจ้าคะ?"ซูชิงลั่วทำหน้าไม่ถูก พึ่งจะรู้ตัวว่าพูดความคิดในใจออกมา จึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด "ไปชงชาให้ข้าหน่อย ข้าคอแห้ง"จื๋อหยวนรีบไปชงชาให้ตามคำสั่งทันทีหลังจากดื่มชา นางก็เริ่มปักเสื้อต่อ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องเมื่อคืน
"ไหนเขาบอกว่าจะต้องเจอหลายคนไม่ใช่หรือ?"ซ่งเหวินตอบว่า "บรรดาขุนนางพวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงปลายปี กรมขุนนางต้องทำการประเมิน ใต้เท้ามีฎีการอที่ต้องจัดการเต็มไปหมด กองราวเป็นภูเขาเลยจริงๆ จนไม่มีเวลามาทานข้าวได้ขอรับ"แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลามาหา แต่ก็ยังเรียกให้นางไปทานข้าวด้วยกันซูชิงลั่วรู้สึกว่าความไม่พอใจในใจก่อนหน้านี้ได้จางหายไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็นว่านางดีใจมากเกินไป ดูจะไม่สุภาพนางจึงตอบเสียงเรียบๆ ว่า "รู้แล้ว เจ้ากลับไปรายงานก่อน ข้าจะไปในไม่ช้า"ซ่งเหวินยิ้มรับคำแล้วส่งสายตาเชิงว่า "เร็วหน่อย" ให้จื๋อหยวนซ่งเหวินเพิ่งออกไป ซูชิงลั่วก็คว้ามือจื๋อหยวนแล้วพูดว่า "เร็ว เติมหน้าให้ข้าใหม่เร็วๆ หน่อย อย่าให้เขารอนานเกินไป"จื๋อหยวนรู้สึกขบขัน แต่ก็รีบแต่งหน้าเติมแป้งและสีปากให้กับนางซูชิงลั่วมองกระจกอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นพูดว่า "ไปกันเถอะ"แม้ลู่เหิงจือจะบอกแล้วว่าจื๋อหยวนและอวี้จู๋สามารถเข้าออกเรือนหน้าได้ตามสบาย แต่เมื่อต้องไปข้างนอกจื๋อหยวนมักรับหน้าที่เป็นคนติดตามซูชิงลั่ว อวี้จู๋มองตามจื๋อหยวนที่ติดตามซูชิงลั่วออกไปก็ได้แต่อิจฉาเมื่อเข้ามาในลาน
ซูชิงลั่วไม่กล้ามองสีหน้าของลู่เหิงจือ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกซ่งเหวินให้ลุกไปกินข้าวกับจื๋อหยวนซ่งเหวินกล่าวขอบคุณไม่หยุด ปากก็ชมซูชิงลั่วไม่ขาดราวกับนางเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ พอนางกลับมานั่ง ลู่เหิงจือก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ กินข้าวไปอย่างช้าๆไม่รู้ว่าเขามีความคิดที่จะเชิญนางมาร่วมมื้ออาหารนานแล้วหรือไม่ บนโต๊ะจึงมีซาลาเปาไส้น้ำซุปไก่ที่นางชอบมากอยู่ด้วยซูชิงลั่วกัดไปหนึ่งคำ พอกลืนลงไปแล้วก็ถามว่า "นี่ทำจากห้องครัวเล็กของท่านที่นี่หรือ?""อืม" ลู่เหิงจือตอบ พร้อมถามว่า "ไม่อร่อยหรือ?""ไม่ถึงกับไม่อร่อย แต่เหมือนจะสู้ฝีมือซ่งเหวินไม่ได้" ซูชิงลั่วอดที่พูดความเห็นไม่ได้ "แต่ซ่งเหวินยุ่งเช่นนี้ จะให้เขาทำอาหารบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรนางคิดว่าลู่เหิงจือคงเคร่งครัดเรื่องไม่พูดขณะกิน ซูชิงลั่วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ได้กินข้าวกับเขาเงียบๆ แบบนี้นางก็มีความสุขแล้วหลังทานอาหารเสร็จ ซูชิงลั่วมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาที่สูงเหมือนภูเขาแล้วพูดว่า "อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว"ก็?ลู่เหิงจือจับสังเกตได
ยามนั้น เขาขัดสนเรื่องเงินทอง โชคดีที่ยามเด็กร่างกายแข็งแรง ได้เล่าเรียนวิชาต่อสู้ชกต่อยอย่างง่ายๆ มาบ้าง ลู่โย่วจึงเรียกให้เขาไปที่จินหลิง ไปครั้งหนึ่งได้เงินยี่สิบตำลึง เขาจึงไปการดูแลปกป้องเรือทั้งลำก็อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นกันหลังจากที่ช่วยเหลือลู่โย่วและนาง ลู่โย่วก็มอบเงินห้าสิบตำลึงให้เป็นการตอบแทนส่วนนางมอบทองให้หลายก้อน แหวนยกปานจื่อหนึ่งวง พร้อมทั้งเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อผ้าช้ันดีอีกหลายชุดตั้งแต่ยามนั้นก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่เอาใจใส่มาก เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ ต่อให้เขาหาเงินมาได้จริง ก็ไม่มีทางทำใจซื้อลง อีกทั้งทองคำก้อนเหล่านั้น ทำให้เขาสามารถเตรียมสอบคัดเลือกขุนนางได้อย่างเบาใจในช่วงหลายปีนั้น ไม่ต้องวิ่งวุ่นเพราะเรื่องเงินทองอีกส่วนแหวนวงนั้น หากสอบไม่ผ่านก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้ราคาสูงไม่น้อยแต่เขาทำไม่ลง เก็บรักษาไว้ตลอด กระทั่งได้รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีถึงได้นำออกมาใส่ กลับเหมาะสมกับฐานะของเขาในตอนนี้ยิ่งนักลู่เหิงจือก้มหน้ากวาดสายตามองดูแหวนบนนิ้วหัวแม่มือ ทันใดนั้นเองก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของนางกะทันหัน ทว่าเพียงพริบตาเดียว ก็กดทับลิ้นของนางตาม
เขายังมีหน้ามาพูดอีกซูชิงลั่วเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด กระแทกประตูเสียงดังถึงอย่างไรลู่เหิงจือก็ปกครองเรือนอย่างเข้มงวด นางจะกระแทกประตูหรือไม่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกไปซ่งเหวินได้ยินก็สะดุ้งตกใจ คิดว่าใต้เท้าของตนหาเรื่องให้นายหญิงโกรธเสียแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเห็นซูชิงลั่วหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเล็กน้อย พอนึกถึงเสียงภายในห้องเมื่อครู่นี้ก็เข้าใจแล้วว่ามีเรื่องอะไร พลันก้มหน้า ไม่กล้ามองอีกจื๋อหยวนมองไปที่นางพลางเอ่ยถาม : "นายหญิง เหตุใดปากของท่านถึงบวมได้ ตอนเที่ยงกินอาหารเผ็ดมาหรือ""..." ซูชิงลั่วตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก "กลับกัน"จื๋อหยวนมึนงง ซ่งเหวินส่งสายตากรุ้มกริ่มให้นาง นางก็เข้าใจทันที แล้วก็พลอยหน้าแดงตามไปด้วย ก่อนจะรีบเดินตามไปหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากเรือนไป ซ่งเหวินถึงจะเข้าไปรินน้ำชาให้ลู่เหิงจืออย่างระแวดระวังเห็นฎีกาบนโต๊ะวางกองอยู่อย่างยุ่งเหยิงก็เดินเข้าไปจัดด้วยท่าทางสงบนิ่งโชคดีที่เขาก็เป็นคนข้างกายของอัครมหาเสนาบดี พบเจอเหตุการณ์เล็กใหญ่มาไม่น้อย ทำให้ไม่ลนลานลู่เหิงจือเอนหลังพิงไปบนพนักเก้าอี้ นิ้วมือเคาะบนที่วางแขนเก้าอี้เบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อยหล
ซูชิงลั่วพลันตีเขาเบาๆ ด้วยความกลัวที่ฝังใจอยู่เล็กน้อย : "ออกไป ท่านออกไป !"“……”นี่ยังไม่เท่าไหร่เลยมือที่ยื่นออกไปของลู่เหิงจือถูกเก็บกลับมากลางคัน : "ข้าไม่ได้ออกแรงมากเท่าใดเลย...""เงียบปาก ท่านเงียบไปเลย !"ลู่เหิงจือกระแอมเบาๆ : "เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำก่อน"ในที่สุดก็สงบลงได้สักทีทว่าซูชิงลั่วพลันนึกขึ้นมาได้ หัวใจที่สงบลงแล้วกลับตื่นตัวขึ้นมาทันควัน : "อะไร ท่านบอกว่าท่านจะทำสิ่งใด""อาบน้ำ" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบซูชิงลั่วมึนงงเล็กน้อย : "อาบ...น้ำ ?"สายตาที่มองมายังนางของลู่เหิงจือก็เรียบเฉยด้วยเช่นนกัน : "อากาศเริ่มหนาวแล้ว เจ้าคงจะไม่ให้ข้าอาบน้ำที่เรือนนู้นก่อนแล้วค่อยมาหรอกใช่หรือไม่ หากมาทั้งที่ผมยังเปียกจะเป็นหวัดได้ง่าย"ซูชิงลั่วไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อนหลายวันมานี้ นางเอาแต่หาเวลาที่ลู่เหิงจือไม่มีทางมาอย่างแน่นอนอาบน้ำด้วยความรีบร้อน คิดว่าเขาเองก็เช่นกันนึกว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขากลับจะมาอาบน้ำที่นี่ตั้งแต่ที่บอกว่าชอบนาง เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้เหมือนได้คืบจะเอาศอกอยู่เรื่อยนางเงยหน้ามองเขา สายตาของเขาเผยให้เห็นความน่าสงสารอย
ห้องพลันเงียบสงัดลงไปในพริบตาซูชิงลั่วจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆ ไหลออกมาลู่เหิงจือก้มลงมองดูตามสายตาของนางปราดหนึ่งจึงกระจ่างในทันที พลันผูกเสื้อชั้นในอย่างรวดเร็ว รีบเดินเข้าไปนั่งริมเตียงแล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอด"ข้าไม่ดีเอง"เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นางเสียใจ เพียงแค่ต้องการจะหาวิธีให้ได้คืบหน้าไปอีกขั้นก็เท่านั้น ไม่คิดว่าภรรยาของตนจะใจอ่อนเพียงนี้ แค่เห็นบาดแผลของเขาก็หลั่งน้ำตาเสียแล้วเขาผูกเสื้อแบบลวกๆ เสื้อชั้นในหลวมโคร่งไม่เข้ารูป บริเวณหน้าอกเปิดออกเล็กน้อย มองจากมุมนี้เห็นแผลเป็นพอดีน้ำตาของซูชิงลั่วไหลลงมาที่หลังมือของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดนางลืมความเขินอายไปหมดสิ้น ยื่นมือเข้าไปในคอเสื้อของเขาอย่างระมัดระวัง แล้วใช้ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นที่ยาวเป็นทางรอยนั้นเบาๆผิวหนังตั้งแต่บริเวณด้านบนหัวใจไปจนถึงกระดูกไหล่ซ้ายนูนขึ้นมาเล็กน้อย พื้นผิวเรียบวาวดุจเครื่องลายคราม ไร้ซึ่งรอยยับใดๆหัวใจของเธอปวดแปลบๆ ราวกับถูกตัวเองเมื่อหลายปีก่อนบนเรือแทงด้วยเช่นกัน"ไม่เป็นไรแล้ว ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างสุขสบายดีแล้วไม่ใช่หรือ" ลู่เหิงจือพูดปลอบนา