“ตูม! ปลาติดเบ็ด”
คนที่นั่งซดเบียร์ตรงเก้าอี้ริมสระพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงน้ำแตกกระจายเมื่อใครสักคนพุ่งตัวลงไปในสระว่ายน้ำ คนที่นอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ จึงต้องลดหนังสือลงมามอง แล้วถามอย่างงุนงง “มีอะไร? ปลาที่ไหนติดเบ็ด?” แถวนี้มีแต่พี่ชายของตนทั้งสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนอีกคนนั้นกำลังจ้วงแขนว่ายน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย “ปลาฉลามในสระ” “ปลาไหลไฟฟ้าต่างหาก” ถามเองแย้งเอง...อันที่จริงภพธรไม่มั่นใจหรอกว่าคนในสระว่ายน้ำเป็นปลาไหลไฟฟ้าได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ...พี่ชายใหญ่ไม่เหมาะกับปลาฉลามนักล่าอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้ออกล่าเหยื่อ แต่เขาอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่าวางกับดักแล้วรอให้เหยื่อหลงมาติดกับเอง “อ้าว! มึงด่าเฮียธีร์ว่ากะล่อนตอแหลแหรอ” ชนกันต์ทำเสียงโวยวาย ฟังก็รู้ว่าตั้งใจจะให้คนในสระได้ยิน ซึ่งภพธรได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา รู้ว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พี่ชายคนที่สามหลอกด่าพี่ชายใหญ่เสียแล้ว เขาคิดจะจบเรื่อง...แต่ต่อมอยากรู้รั้งไว้เสียก่อน “ช่วงนี้เฮียธีร์เครียดเรื่องอะไร” “เรื่องเมียไง” “เมียเก่า?” “ก็นั่นแหละ...คนนั้นคนเดียว” “บ้าหรือเปล่า เรื่องผ่านมาสองปีแล้ว ป่านนี้น้องกวางเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปแล้วมั้ง” “สองปีที่ไหน แค่ปีกว่าเอง...ว่าแต่นายสนิทสนมกับเมียของเฮีย ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน มีผัวใหม่ไปหรือยัง” “ตอนที่น้องกวางเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านเรา ฉันก็เทกแคร์เธอไปตามหน้าที่น้องสามี เพราะไม่อยากให้เธอเคว้ง แต่พอพวกเขาหย่ากัน ฉันก็เคารพการตัดสินใจของทั้งสองคน ฉันไม่ได้ติดต่อกับน้องกวางอีก เพราะฉันเป็นน้องของเฮีย ฉันกลัวเธอลำบากใจ นายก็รู้ว่าตอนเลิกกัน สภาพของน้องกวางย่ำแย่แค่ไหน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา...ถ้าตอนนี้น้องกวางเริ่มต้นใหม่กับผู้ชายคนอื่น มันก็เป็นสิทธิ์ของเธอ เพราะเรื่องของเธอกับเฮียมันจบลงแล้ว” ภาพเหตุการณ์ที่ชีวาพรตามไปเฝ้าธีทัตที่บริษัทหลังจากพวกเขาหย่าขาดกันแล้วยังติดตาภพธร เธอนั่งเหม่อลอยน้ำตาไหลอยู่บนโซฟาตรงมุมรับแขกภายในห้องทำงานของธีทัต โดยที่เจ้าของห้องไม่สนใจ ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน มันทำให้ภพธรสงสารเธอจับใจ ในตอนนั้นเขาต้องเมินหน้าหนี เพราะไม่อยากเห็น เขาไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ เขาปล่อยให้เธออยู่กับตัวเองต่อไป เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรถึงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น “ตอนแรกฉันเห็นว่ากวางดูเป็นผู้ใหญ่ วางตัวดี แต่พอแต่งงานกับเฮีย เธอกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน” ชนกันต์พูดแล้วส่ายหน้า คิดไปว่าตนคงมองผู้หญิงไม่ออกจริงๆ ส่วนภพธรได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ...อะไรกันล่ะที่สามารถเปลี่ยนผู้หญิงเข้มแข็งคนหนึ่งให้กลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอได้ในเวลาไม่กี่เดือน ภพธรไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานเพื่อควบธุรกิจตั้งแต่ต้น มันเป็นการนำคนสองคนมาเล่นเกมความรู้สึกกัน ใครชนะก็อยู่ต่อ ส่วนคนแพ้ก็บอบช้ำปางตาย แต่เขาห้ามใครไม่ได้ เพราะตอนนั้นทั้งพ่อทั้งพี่ชายใหญ่ก็มองทุกเรื่องง่ายดายไปเสียหมด...ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ผิดจากที่เขาคิดไว้ที่ไหนกัน “เมื่อวานเลขาฯ ของเฮียสะกิดบอกฉันว่าลูกชายของอานพไปพบเฮียที่บริษัท” ชนกันต์พูดขึ้นมาอย่างนึกได้ เพราะเขากำลังสงสัยว่าธีทัตเครียดเรื่องอะไร ถึงตอนนี้เจ้าตัวยังจ้วงเอาๆ โดยไม่ยอมพัก “เขามีธุระอะไรถึงไปพบเฮีย?” ภพธรอยากรู้ขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาจำได้ดีว่าในช่วงที่คุณนพดำเนินการขายหุ้นบริษัท ลูกชายของเขาไม่ได้สนใจสถานการณ์ย่ำแย่ของครอบครัวเลย เจ้าตัวย้ำถามแต่ว่าตัวเองจะได้ส่วนแบ่งจากการขายหุ้นเท่าไร ภพธรเห็นใจคุณนพมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะดูเหมือนว่านอกจากลูกสาวคนเล็กแล้วไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลย...ไม่เว้นแม้แต่ลูกอีกสองคน “ไม่รู้สิ อาจมาถามถึงพ่อของเขาก็ได้ อานพไม่สบายอยู่นี่นา” “นอกจากพวกเราแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเฮียธีร์กำลังดูแลอานพอยู่ แม้แต่ลูกของอานพทั้งสามคน เราสองคนก็รู้เรื่องนี้จากเฮียก่อ อานพขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นลับ เพราะไม่อยากให้ลูกๆ ไม่สบายใจ” “ถ้าลูกชายของอานพไม่ได้มาถามถึงพ่อ...ถ้าอย่างนั้นก็คงมีอยู่เรื่องเดียว” “เรื่องเงินเหรอ?” ชนกันต์หัวเราะหยันในลำคอเป็นคำตอบให้กับน้องชาย...เมื่อมองลึกเข้าไปในชีวิตของชายวัยกลางคน ความรู้สึกของเขามันมากเกินกว่าคำว่าสงสาร...เรียกได้ว่าเวทนาและหดหู่ใจทีเดียว “สมัยเราเริ่มโต พ่อพาเราไปเรียนรู้งานในบริษัท ฉันรู้จักอานพในฐานะนักธุรกิจที่มีชื่อในช่วงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าแค่สิบกว่าปีต่อมา มันเป็นเวลาที่ไม่นานเลย ชีวิตของอานพกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ” ภพธรพูดถึงอดีตที่เขายังจำได้อย่างแม่นยำ...นอกจากชีวิตของคุณนพจะล้มคว่ำแล้ว เขากำลังสงสัยว่าชีวาพรอาจไม่รอดด้วยเช่นกัน เมื่อคนเป็นพ่อมีพี่ชายของเขาเป็นคนดูแล แล้วลูกสาวคนเล็กของคุณนพล่ะ...ตอนนี้มีใครอยู่เคียงข้างเธอหรือเปล่าชีวาพรทำข้าวกล่องสามสิบกล่องเสร็จในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา วันนี้มีเมนูหมูทอดกระเทียมพริกไทยกับหมูผัดพริกหยวก โดยเธอต้องออกไปใช้ห้องครัวที่ต่อเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันกลิ่นอาหารเข้ามารบกวนภายในพื้นที่ของร้านกาแฟ ระหว่างนั้นเธอจึงต้องวิ่งรอกดูแลลูกค้าที่มาซื้อกาแฟพร้อมกับดูแลลูกชายไปในตัว นิสาหายไปเกือบครึ่งวัน เธอนึกสงสัยว่าเพื่อนหายไปทำอะไรตั้งนาน ตั้งใจว่าเมื่อทำงานเสร็จแล้วจะโทร.ไปถามสักหน่อย ทว่าเพียงครู่เดียว นิสาก็กลับมาพร้อมกับอารมณ์เคร่งเครียด “ฉันทำข้าวกล่องเสร็จพอดี เธอให้รถมอเตอร์ไซค์เอาไปส่งลูกค้าได้เลยนะ” “ได้สิ ขอโทษด้วยนะที่หายไปนาน เลยไม่ได้ช่วยเธอทำงาน พอดีเจ้าของที่เช่าร้านโทร.มาคุยเรื่องต่อสัญญา ฉันเลยขี่รถไปหาเขาที่บ้านเสียเลย เห็นหน้าเห็นตากันจะได้คุยกันง่ายขึ้น” “เรื่องที่เขาจะเอาร้านคืนใช่ไหม” “ใช่ ฉันขอยืดเวลาหนึ่งปี เขาไม่ตกลง แต่ยอมเซ็นสัญญาเช่าให้ฉันอยู่ต่ออีกหกเดือน พอครบหกเดือนแล้วค่อยว่ากันใหม่ เฮ้อ! พอไม่ใช่ที่ของเรา มันก็ยุ่งยากอย่างนี้แหละ” “เขาจะเอาร้านคืน หรือเขาแค่อยากขึ้นค่าเช่าเพราะเห็นว่ายอดขายของร้านเราดีขึ้น” ชีวาพรอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าอาจมั
ประตูห้องทำงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของสำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปถูกเปิดออก หลังจากเจ้าของห้องอนุญาตให้คนที่มาพบเขาเข้ามาในห้องได้ธีทัตปรายตามองชายร่างสูงวัยไล่เลี่ยกับเขาที่เดินเข้ามา ซึ่งฝ่ายนั้นก็มองเขาอย่างประเมินเช่นกัน “เชิญนั่งครับคุณเด่นภูมิ เมื่อวานคุณมาพบผมด้วยใช่ไหม”ธีทัตพูดเข้าเรื่อง เพราะเขาไม่อยากเสวนากับ ‘พี่ชายของอดีตเมีย’ ให้ยืดเยื้อนัก แม้การพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่เขาเชื่อว่าตนดูคนไม่พลาด...ธีทัตไม่ได้แปลกใจที่รู้ว่าเด่นภูมิปล่อยให้พ่อที่สุขภาพไม่ดีกับน้องสาวที่ด้อยประสบการณ์ในธุรกิจต้องแบกรับภาระกันเพียงสองคน แถมตัวเองยังเรียกร้องเงินจากพ่ออยู่เรื่อยๆ แม้ภายหลังจะรู้กิจการของครอบครัวย่ำแย่แล้วก็ตาม“ใช่ แต่ผมไม่ได้เจอคุณ เลขาฯ ของคุณบอกว่าถ้าผมจะคุยกับคุณ ผมจะต้องนัดเวลาล่วงหน้า” น้ำเสียงของเด่นภูมิเจือความหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก หากคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ยังคงใจเย็น บอกด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย“เมื่อวานผมติดประชุมทั้งวัน ปกติผมไม่ค่อยอยู่ที่ห้องทำงาน ไม่ทราบว่าคุณเด่นภูมิอยากคุยกับผมเรื่องอะไร”“ผมอยากรู้เรื่องบ้าน ทนายความบอกว่าบ้านของครอบครัวผมถูก
“ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่การหางานทำ ยังไงก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์งาน ถึงเบื้องต้นจะสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ได้ แต่ขั้นตอนสุดท้ายเขาก็มักเรียกไปเจอตัวกันก่อนอยู่ดี”เมื่อนึกถึงรายละเอียดแต่ละขั้นตอนในการย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ ชีวาพรก็พบว่ามันยังมีเรื่องติดขัดอยู่หลายเรื่อง“ข้ามขั้นตอนนั้นไปได้ไหม เธอโทร.ไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักให้เขาช่วยหางานทำ เธอจะเป็นเด็กเส้นหรืออะไรก็ช่างเถอะ เวลานี้เอาตัวเองให้รอดก็พอ”“ฉันไม่กลัวถูกหาว่าเป็นเด็กเส้นหรอก แต่ฉันกำลังคิดเรื่องอื่น”เมื่ออยู่ในจุดที่ต้องดิ้นรน ชีวาพรก็พบว่าความคิดของตนได้เปลี่ยนไปจากเดิมหลายเรื่อง...“เรื่องที่คนเหล่านั้นเป็นคนรู้จักของพ่อเธอใช่ไหม เธอกลัวว่าถ้าขอให้พวกเขาช่วยหางานให้ทำ แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเธอมีบูบุ๊ย สุดท้ายพ่อของเธอก็จะรู้ด้วย”“ใช่ ความจริงฉันไม่คิดจะปิดเรื่องน้องพร้อมไปตลอดหรอก ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางปิดกันได้ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จากใคร น้องพร้อมไม่ได้ทำอะไรผิด แกควรได้ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย สักวันหนึ่งทุกคนต้องรู้อยู่ดีว่าฉันมีน้องพร้อม เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฉันตั้งใจจะรอให้ตัวเองแข็งแรงก่อน แต่ตอน
น้องพร้อมหวีดเสียงร้องอย่างชอบใจเมื่อตัวเองถูกยกขึ้นสูงคล้ายนกกำลังบิน ทุกคราวที่นายแพทย์อคินลดแขนต่ำลง หนูน้อยจะกระพือแขนเป็นเชิงบอกว่า ‘หนูขอบินสูงๆ อีก’ ซึ่งลุงหมอก็ตามใจ พาเจ้าตัวกลมบินร่อนอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสิบนาที ชีวาพรจึงขอให้คุณหมอหยุด เพราะเธอรู้สึกเกรงใจ น้ำหนักตัวของน้องพร้อมไม่น้อยเลย เธอกลัวว่าแขนของคุณหมอจะล้าไปเสียก่อน อีกทั้งคิดว่าลูกชายเล่นสนุกพอแล้ว เมื่อหญิงสาวขอลูกคืนมา หมอหนุ่มก็ส่งเด็กชายให้เธอแต่โดยดี แต่กลับเป็นเจ้าตัวกลมที่จับคอเสื้อของลุงหมอไว้แน่น มือป้อมๆ กำอย่างไม่ยอมปล่อย ชีวาพรตกใจ เธอรีบแกะมือของลูกให้คลายออก...ไม่วายที่จะขอโทษขอโพยเขาไปด้วย “ขอโทษด้วยนะคะ เสื้อคุณหมอยับหมดเลย” “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมต้องกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่บ้านพักอยู่แล้ว” สายตาของหมอหนุ่มอ่อนโยน หากมันทำให้หญิงสาวต้องถอยห่างจากเขาไปถึงสองก้าว... นายแพทย์อคินไม่ได้น่ากลัว ในทางกลับกันเขาสุภาพกับเธออย่างคงเส้นคงวา เขาไม่เคยแสดงท่าทางคุกคามหรือทำให้เธออึดอัดใจ แต่ชีวาพรรู้ว่ายิ่งเขาดีกับเธอและลูกมากเท่าไร เธอก็ควรรักษาระยะห่างเอาไว้ เพรา
‘คนอย่างคุณธีร์ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ราชเวคิน กรุ๊ปยิ่งใหญ่ เขาขายวิญญาณให้ธุรกิจไปแล้ว พี่รู้จักเขาดี พี่เลยไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งกับเขา‘ชีวาพรยังจำการสนทนาข้ามทวีปกับพี่สาวได้ วันนั้นเธอโทร.ไปแจ้งสถานการณ์ของครอบครัว โดยบอกว่าพ่อตกลงขายหุ้นให้ราชเวคิน กรุ๊ปแล้ว พี่สาวนิ่งไปนานทีเดียว จนเธอรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต่างรู้กันว่าถ้ามีการตกลงขายหุ้นบริษัทเกิดขึ้น ย่อมหมายถึงจะมีการแต่งงานระหว่างธีทัตกับลูกสาวของพ่อ ซึ่งถ้าไม่ใช่พี่สาวของเธอ เจ้าสาวก็จะเป็นเธอเอง‘พี่แพมพูดน่ากลัว กวางไม่เห็นคุณธีร์เป็นแบบนั้นเลย คุณธีร์น่ารักดี เขาเข้าใจครอบครัวของเรา เขาไม่ได้ต้องการหุ้นของบริษัทเราตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะคุณพ่อขอร้องให้คุณลุงเนตรช่วยซื้อกิจการเราต่างหาก...คุณพ่ออยากพัก แต่ถ้าไม่มีใครรับช่วงกิจการ คุณพ่อก็ยังพักไม่ได้’ในตอนท้ายน้ำเสียงของชีวาพรเบาลง เพราะเธอสงสารพ่อ หากคนฟังกลับตีความเป็นอย่างอื่น‘เธอตั้งใจพูดให้พี่รู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับไปแบกรับกิจการของที่บ้านเราใช่ไหม พี่ไม่เคยอยากทำ คุณพ่อก็รู้ตั้งแต่ต้น พี่มีงานของพี่อยู่ทางนี้แล้ว เธออยู่กับพ่อก็ช่วยพ่อทำไปสิ’‘กวางไม่ได้มีความรู้ควา
“ตาบวมอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอเป็นภูมิแพ้ เพราะฉันไม่เชื่อ” ทันทีมาถึงร้านกาแฟในเช้าวันใหม่ ชีวาพรก็ได้รับคำทักทายที่ตบท้ายด้วยการดักทางเสียเสร็จสรรพ จนเธอแทบค้อนใส่คนทัก คุณแม่ลูกหนึ่งวางลูกชายตัวป้อมลงในคอกกั้นที่มีเบาะนุ่มรองรับ ทารกน้อยช่างรู้ความ หันไปหาของเล่นที่วางอยู่โดยไม่กวนแม่เลย“บูบุ๊ยโตจนใกล้จะวิ่งได้แล้ว แต่เธอยังคิดถึงเขา แล้วอย่างนี้พอกลับไปที่กรุงเทพฯ อาการเธอไม่โคม่ากว่าอยู่เชียงรายหรือ”“ฉันไม่ได้คิดถึงเขาทุกวันสักหน่อย”“คิดถึงพอกรุบกริบก็พอ อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมาทำลายอนาคต พวกเรายังอยู่ในวัยเริ่มต้นชีวิต ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ออกมาดูโลกกว้างหลังจากเรียนหนังสือจบ แต่เธอกลับทำหน้าอมทุกข์เหมือนแม่แก่”“ฉันไม่เหมือนเธอนี่นา”“ไม่เหมือนตรงไหน เธอยังเหมือนฉันและเหมือนเพื่อนของเราทุกคน ต่างกันตรงที่เธอมีแต้มต่อเป็นเจ้าบูบุ๊ยเท่านั้น”นิสาแสร้งกลอกตาไปมาคล้ายเหนื่อยหน่ายใจ จนชีวาพรต้องตีแขนเพื่อนด้วยข้อหาหมั่นไส้เจ้าตัวนักพลันท่าทางของนิสาก็เปลี่ยนไป จากร่าเริงอยู่ดีๆ กลายเป็นมุ่นคิ้วคิดหนัก ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกมา “เธอจัดการเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ ได้แล้ว เพราะฉันไ
ภายในรถคันหรูที่แล่นบนถนนบริเวณกลางเมืองกรุงเทพฯ ในเวลาบ่ายสามโมง คนขับรถกำลังพูดสายกับใครสักคน ซึ่งเสียงที่ลอดออกมานั้นเป็นเสียงของผู้หญิงสาว ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ต้องเงี่ยหูฟัง“ผมคุ้นเคยกับคุณพ่อของคุณกวาง ยังไงผมก็จำคุณได้ครับ ส่วนเรื่องงาน...โรงแรมของเรามีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพียงแต่ไม่มีสาขาที่จังหวัดเชียงรายเลย”“กวางจะกลับกรุงเทพฯ ค่ะ กวางอยากหางานในกรุงเทพฯ ทำ”“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา คุณกวางมีความรู้และความสามารถอยู่แล้ว ผมพอจะมีตำแหน่งงานเสนอให้คุณ เอาไว้พรุ่งนี้ช่วงเช้าคุณกวางโทร.มาหาผมเพื่อคุยรายละเอียดอีกที พอดีตอนนี้ผมกำลังขับรถ ผมกำลังจะไปรับลูกสาวที่โรงเรียน”“ได้ค่ะ กวางขอบคุณคุณป๊อบมากนะคะ พรุ่งนี้กวางจะโทร.ไปค่ะ”เมื่อตัดสายจากกัน คนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารภายในรถเก๋งคันงามก็ถามขึ้นมาโดยไว“ใครโทร.มาหรือคะ”“คุณกวาง...ลูกสาวของคุณนพ แพทจำเธอได้ใช่ไหม”“เมียเก่าของธีร์น่ะเหรอ เธอโทร.มาหาคุณป๊อบทำไม”“โทร.มาของานทำ ตอนนี้เธออยู่ที่เชียงราย แต่กำลังจะย้ายกลับมาที่กรุงเทพฯ”“เธอรู้หรือเปล่าว่าคุณป๊อบรู้จักกับก่อและธีร์”ก่อฤกษ์และธีทัต...ฝาแฝดจ
เก้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ชีวาพรเตรียมการพูดคุยกับคุณป๊อบ มันเป็นการเป็นสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกอย่างผ่านได้ด้วยดี ชีวาพรมีทางเลือกสองทาง นั่นคือทำงานในโรงแรมใหญ่ที่อยู่กลางเมือง หรืออยู่ประจำโรงแรมสาขาที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก หากนั่นแหละ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอแล้ว เพราะมันถูกขายไปแล้ว“ถ้าคุณกวางทำงานที่สาขาชานเมือง ที่นั่นมีห้องพักสำหรับพนักงานไว้พักชั่วคราว คุณสามารถพักจนกว่าจะหาที่อยู่ถาวรได้”“กวางสนใจทำงานที่โรงแรมสาขาชานเมืองค่ะ แต่กวางตั้งใจจะหาที่อยู่เอง”“ทำไมล่ะครับ คุณกวางไม่เข้าไปดูห้องพักก่อนหรือ ผมคิดว่าห้องกว้างและสะดวกสบายพอสำหรับอยู่คนเดียว”“กวางไม่ได้อยู่คนเดียว”“คุณกวางมีครอบครัวมาด้วยหรือครับ”“ใช่ค่ะ”คุณป๊อบชะงัก เขาเหลือบมองใครสักคนที่อยู่อีกฝั่งซึ่งชีวาพรไม่อาจมองเห็น เพราะมันพ้นจากรัศมีกล้องโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกใจแป้วพิกล เพราะกลัวพลาดโอกาสทำงาน“กวางจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ให้กระทบกับงานได้ค่ะ กวางเลือกสถานรับเลี้ยงเด็กไว้แล้ว ถ้างานเข้าออกเป็นเวลา มันก็ไม่มีปัญหา กวางบริหารเวลาได้”สิ้นคำพูดนั้น คนในหน้า
โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ย่านหลักสี่เป็นสถานที่ที่รถสปอร์ตแล่นปราดไปจอด หัวใจของคนขับรถกำลังเต้นแรง เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอเธอ“ผมมาพบคุณชีวาพรครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่”ตีขลุมขอพบเธอเอาดื้อๆ โดยไม่คิดจะถามก่อนว่าเธอทำงานที่นี่หรือเปล่า และคำตอบที่ได้รับนั้นมันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายกำลังสูบฉีดแรง“กวางกลับไปตั้งแต่บ่ายสามโมงค่ะ มันเป็นเวลาเลิกงานของเธอ เพราะเธอต้องไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก”“ไม่ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหนครับ ผม...เอ่อ เป็นญาติของเธอ มีธุระคุยกับเธอครับ”ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นสามีและพ่อของเด็ก เพราะกลัวคำถามที่อาจย้อนกลับมาว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องของลูกเมีย ซึ่งข้ออ้างนี้มันก็ผ่านฉลุย“ดิฉันรู้แต่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ใกล้กับที่พักของเธอ”“กวางพักอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ”ธีทัตบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ตรงปากซอยบ้านเดิมของชีวาพรได้อย่างแม่นยำ พนักงานโรงแรมจึงไม่เอะใจสงสัยในตัวเขา เมื่อเธอตอบว่าใช่ เขาจึงรีบผละออกมาโดยไม่ยอมเสี
การเคลื่อนไหวของคนที่ตามหาชีวาพรอยู่ในสายตาของรปภ.ประจำคอนโดมิเนียม เมื่อหญิงสาวต้องออกไปทำงานทุกวัน รปภ.จึงเปิดประตูด้านหลังให้เธอเดินออกไปเพื่อหลบสายตาของคนพวกนั้น โดยชีวาพรได้บอกความจริงว่าตนเพิ่งบุกรุกเข้าไปในบ้านท้ายซอย พร้อมกับบอกเหตุผลให้รู้ว่าตนเข้าไปทำไม เธอหวังจะให้รปภ.เข้าใจและช่วยปกป้องอันตรายให้เธอกับลูกในอีกสองวันข้างหน้านิสาต้องกลับไปที่เชียงราย จากกำหนดเดิมที่จะอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เนื่องจากพ่อค้าที่เคยมีร้านขายของติดกันโทร.มาบอกว่าได้ทำเลเปิดร้านใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ว่างพอสำหรับเธอ นิสาจึงอยากไปดูด้วยตัวเอง“พรุ่งนี้พาบูบุ๊ยไปฝากเลี้ยงก็แล้วกันนะ ฉันจะเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งวัน จะได้เห็นว่าเขาเลี้ยงหลานยังไง”“เขาจะยอมให้เราเฝ้าเหรอ”“ไม่ยอมก็ต้องยอม หรือเธอกล้าพาลูกไปฝากไว้โดยที่ไม่รู้ว่าลูกกินนอนยังไง”การมีนิสาอยู่ข้างๆ มันดีอย่างนี้เอง ชีวาพรรู้สึกว่าตนยังไม่เด็ดขาดพอ บ่อยครั้งที่เธอคิดอะไรไม่รอบคอบ ซึ่งเพื่อนคนนี้จะช่วยเธอคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นในวันต่อมา น้องพร้อมจึงถูกนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับ
“คราวหน้าฉันจะระวังตัว ไม่เผลอเดินเข้าไปแล้ว”“ไม่ใช่ระวังตัวธรรมดา แต่เธอต้องระวังตัวให้มากๆ ต่อไปเธอต้องอยู่กับบูบุ๊ยกันแค่สองคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอยังต้องอยู่ดูแลลูก เธอต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทสักก้าวเดียว อีกอย่าง...ฉันว่าเธองดพาบูบุ๊ยไปเดินเล่นในพื้นที่ว่างใกล้บ้านเดิมเถอะ เพราะมันไม่ปลอดภัยแล้ว ฉันกลัวเจ้าของบ้านคนใหม่จะหาเรื่องใส่ความเธอ อย่างเช่นบอกว่าของในบ้านหาย โบ้ยว่าเธอเป็นคนเอาไป มันจะซวยเอานะ”คล้ายพูดเป็นตุเป็นตะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระและดูแลตัวเองมานานอย่างนิสาย่อมเคยพบเห็นเรื่องทำนองนี้ คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ยาก ในแต่ละวันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของใคร...เมื่อหันไปมองเพื่อนและหลานรัก นิสาจึงอดที่จะหนักใจไม่ได้เฮ้อ! ฉันวางใจยายกวางให้อยู่กับบูบุ๊ยที่กรุงเทพฯ ได้ไหมเนี่ย“เธอมันคุณหนูใสซื่อ ไม่ทันเหลี่ยมคน” นิสาพูดขึ้นมาตามใจคิด“แต่คนที่ซื้อบ้านของพ่อได้ก็ต้องมีเงินมากพอ เขาจะต้องการอะไรจากฉันอีก ฉันไม่มีอะไรให้เขาสักหน่อย”นิสาส่งค้อน เ
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่นะเฮีย อยากกลับไปเป็นผัวเมียกับกวางเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนกันต์กระเซ้าถาม“เปล่า”“อ้าว!”น้องชายทั้งคู่อุทานพร้อมกัน...เป็นใครจะไม่ร้องอ้าว! ในเมื่อธีทัตทำท่าเหมือนขาดชีวาพรไม่ได้ เขาไม่ยอมหย่า แถมยังตามหาเธอจนวุ่นไปหมด แต่พอถามว่าต้องการอะไร อยากกลับไปคืนดีกันไหม เจ้าตัวกลับปฏิเสธ...จะมีใครทำตัวเข้าใจยากเหมือนพี่ชายเขาอีกไหม“กวางไม่ได้กลับมาคนเดียว”รู้ว่าน้องชายกำลังงงตน ธีทัตจึงให้เหตุผล สีหน้าของเขาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด“เมียของเฮียมีผัวใหม่มาด้วยเหรอ”ชนกันต์ถามเสียงซื่อ เมื่ออยากจะเข้าใจพี่ชายให้กระจ่าง เขาจึงถามตรงๆ หากคำถามของเขากลับเสียดแทงหัวใจคนฟัง“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้”“ผมแค่ถาม มันใช่หรือไม่ใช่ เฮียก็ตอบมาสิ”“กูยังไม่รู้”“เฮียบอกว่ากวางไม่ได้กลับมาคนเดียว มันหมายความว่ายังไง กวางกลับมากับใคร”“เด็ก...” เสียงของธีทัตแหบพร่า ทั้งที่พยายามจะปรับ
ตั้งแต่กลางซอยไปจนถึงปากซอยมีคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายตึก ธีทัตเดินตามหาชีวาพรด้วยวิธีเดิม นั่นคือนำรูปของเธอกับเด็กชายตัวกลมที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาถามกับคนแถวนั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ต่างกับคราวถามจากพ่อค้าโรตีสายไหม“รูปไม่ชัด ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของคุณจริงๆ คุณน่าจะมีรูปถ่ายของเธอที่ชัดกว่ารูปจากกล้องวงจรปิด”ยามรักษาความปลอดภัยประจำคอนโดมิเนียมตรงปากซอยบอกถึงสาเหตุที่ไม่อาจให้คำตอบกับเขา แถมเขายังได้รับสายตาไม่ไว้ใจกลับมา มันทำให้ธีทัตฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเปิดรูปเก่าของชีวาพรที่ยังเก็บไว้ในโทรศัพท์ออกมาโชว์ รูปถ่ายรูปนี้ชัดเจน เธอยิ้มสดใสให้เขา แววตาของเธออ่อนหวานขณะมองกล้องที่เขาเป็นคนถ่ายเธอเอง “เธอเป็นเมียของผม ทีนี้บอกได้หรือยังว่าพี่เห็นเธอหรือเปล่า”“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ”“ลูกของผม”ธีทัตบอกพลางหรี่ตามองรปภ. ท่าทางคนคนนี้มองยากกว่าพ่อค้าโรตีสายไหม จนเขาต้องพูดหยั่งเชิงไปก่อน“ผมกำลังตามหาลูกเมียของผม เธองอนผม เราทะเลาะกันนิดหน่อย...พี่เห็นเธอใช่ไหม พี่รู้ด้วยใช่ไหมว่าเธอพักอยู่แถวไหน”“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่นี่มีแต่ลูกบ้านที่อยู่มานาน ไม่มีลูกเมียของคุณหรอก”คำตอบนั้นทำให้
โชคดีที่การสัญจรบนถนนกำลังคล่องตัว หากรถทุกคันยังแล่นไปช้าๆ คนในรถสปอร์ตคันสีดำรู้สึกมือไม้สั่น เขาจึงพารถคันงามเบี่ยงเข้าข้างทางได้อย่างทันท่วงที ตุ๊กตาหมีหน้ากลม...ธีทัตเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สายตาของเขาคงพร่าเลือนกระมังถึงได้เห็นว่าตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมแขนของชีวาพรนั้นเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าตัวกลมแหงนหน้ามองตามที่ชีวาพรชี้บอก แถมยังยกมือป้อมๆ ขึ้นมาประกบไหว้...เขามองเจ้าหนูนั่นอย่างพิจารณา แล้วจึงเห็นว่าเจ้าตัวมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูเกินกว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีเด็กที่ไหน... คำถามอื้ออึงอยู่ในอก ธีทัตยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคำพูดของก่อฤกษ์วนเข้ามาในหัวอีกหน หากคราวนี้เขาสลัดมันออกไปอย่างเร็ว เด็กคนนั้นเป็นใคร เขาไม่สนใจ ชีวาพรมีสามีใหม่หรือเปล่า เขาไม่อยากคิด... รู้แต่ว่าเวลานี้เขาต้องพบตัวเธอให้ได้ก่อน“เฮียธีร์ต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน อยู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเมียเก่ากลางห้องประชุม แล้วผลุนผลันออกไป ทั้งที่ผู้บริหารยังนั่งอยู่ครบองค์ประชุม”ชนกันต์ที่อยู่ในเหตุการณ์ชวนงงเดินเข้ามาในห้องทำงานของภพธรแล้วบอกเสียงเหนื่อยหน่ายใจ เขารู้สึกว่างานนี้พี่ชายใหญ่ทำเรื่องเพี้
มือเรียวบางลูบศีรษะเล็กทุยที่มีเรือนผมสีดำปกคลุม น้องพร้อมเป็นเด็กทารกที่มีผมดกดำและนุ่มมือ อีกทั้งแววตาที่เหมือนรู้ความเกินกว่าเด็กวัยสิบเดือน ยังไม่นับรวมถึงการเจริญเติบโตด้านร่างกายที่ได้ไต่ไปอยู่ตรงขอบบนของเกณฑ์เด็กวัยเดียวกันแล้ว...ทั้งหมดนี้ทำให้น้องพร้อมกลายเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและน่ามองสำหรับผู้คนที่ได้พบเห็น บ่อยครั้งที่ใครต่อใครมักเข้ามาทักทายและหยอกเย้าลูกของเธอ ชีวาพรนำลูกใส่ในเป้อุ้มเด็กแล้วเดินเลียบถนนในซอยเข้าไปด้านใน ทารกน้อยตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเธอก็พูดคุยกับลูกไปด้วย “เมื่อก่อนคุณตา คุณลุง คุณป้า และแม่เคยอยู่ที่นี่ บ้านเดิมของเราอยู่ในซอยนี้ แม่จะพาน้องพร้อมไปดูบ้านของครอบครัวเรานะคะ”ทารกวัยสิบเดือนอาจไม่เข้าใจว่าแม่กำลังพูดเรื่องอะไร แต่เจ้าตัวคงจับสัญญาณความรู้สึกของแม่ได้ ดวงหน้าเล็กกลมจึงเงยขึ้นไปมองแม่ จนแม่ต้องก้มลงไปหอมแก้มกลมๆ...ซึ่งเพียงเท่านั้นคนเป็นแม่ก็ได้รับรอยยิ้มอย่างเด็กอารมณ์ดีจากลูกคืนมาแล้ว“ตอนแม่เป็นเด็ก หลังกลับจากโรงเรียน แม่จะชวนพี่เลี้ยงออกมาเดินเล่นในซอยนี้ โน่นไง น้องพร้อมเห็นไหม รถเข็นขายขนมยังอยู
เช้าวันต่อมา รถรับจ้างขนของจากเชียงรายแล่นมาถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่ย่านรามอินทราในเวลาสาย หลังจากข้าวของถูกขนย้ายเข้าไปในห้องพักของผู้อาศัยที่ย้ายมาอยู่ใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ใช้เวลาจัดห้องเกือบทั้งวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จลงได้ก็แทบหมดแรงหากมีคนคนหนึ่งที่ยังสดชื่น เจ้าตัวคลานออกมาจากห้องนอนแล้วนั่งมองแม่กับคุณน้า ก่อนจะยิ้มเผล่หน้าเป็น“หนูตื่นแล้วหรือคะ”ชีวาพรปราดไปอุ้มลูกชายตัวกลมไว้ในอ้อมแขน ในระหว่างที่จัดห้องอยู่ด้านนอก เธอพาลูกเข้าไปนอนกลางวันอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วนแม้เป็นสถานที่แปลกใหม่ แต่น้องพร้อมไม่ได้ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นนอนแล้วไม่เห็นแม่ แต่เจ้าตัวกลมกลับคลานออกมาหาแม่ตามเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยตัวเอง“เด็กอะไรรู้ความขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอพาไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก บูบุ๊ยจะร้องไห้หรือเปล่า”นิสาพูดไปตามความรู้สึก หากชีวาพรหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามเข้มแข็ง หากหัวอกของแม่ย่อมไม่อยากห่างจากลูก เธอมีความเป็นห่วงลูกอยู่เต็มหัวใจ จนถึงวันนี้เธอยังกลัวไปสารพัด...กลัวว่าใครจะทำให้ลูกของเธอเจ็บ เมื่อลูกกลัวและร้องไห้ แล้วจะมีใครอุ้มและปลอบโยนลูกของเธอไ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก