น้องพร้อมหวีดเสียงร้องอย่างชอบใจเมื่อตัวเองถูกยกขึ้นสูงคล้ายนกกำลังบิน ทุกคราวที่นายแพทย์อคินลดแขนต่ำลง หนูน้อยจะกระพือแขนเป็นเชิงบอกว่า ‘หนูขอบินสูงๆ อีก’ ซึ่งลุงหมอก็ตามใจ พาเจ้าตัวกลมบินร่อนอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย
กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสิบนาที ชีวาพรจึงขอให้คุณหมอหยุด เพราะเธอรู้สึกเกรงใจ น้ำหนักตัวของน้องพร้อมไม่น้อยเลย เธอกลัวว่าแขนของคุณหมอจะล้าไปเสียก่อน อีกทั้งคิดว่าลูกชายเล่นสนุกพอแล้ว เมื่อหญิงสาวขอลูกคืนมา หมอหนุ่มก็ส่งเด็กชายให้เธอแต่โดยดี แต่กลับเป็นเจ้าตัวกลมที่จับคอเสื้อของลุงหมอไว้แน่น มือป้อมๆ กำอย่างไม่ยอมปล่อย ชีวาพรตกใจ เธอรีบแกะมือของลูกให้คลายออก...ไม่วายที่จะขอโทษขอโพยเขาไปด้วย “ขอโทษด้วยนะคะ เสื้อคุณหมอยับหมดเลย” “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมต้องกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่บ้านพักอยู่แล้ว” สายตาของหมอหนุ่มอ่อนโยน หากมันทำให้หญิงสาวต้องถอยห่างจากเขาไปถึงสองก้าว... นายแพทย์อคินไม่ได้น่ากลัว ในทางกลับกันเขาสุภาพกับเธออย่างคงเส้นคงวา เขาไม่เคยแสดงท่าทางคุกคามหรือทำให้เธออึดอัดใจ แต่ชีวาพรรู้ว่ายิ่งเขาดีกับเธอและลูกมากเท่าไร เธอก็ควรรักษาระยะห่างเอาไว้ เพราะเธอไม่มีวันเล่นกับความรู้สึกของใคร เมื่อตัดสินใจว่าชีวิตนี้จะไม่รักใครอีก เธอจะขออยู่กับลูกเพียงสองคน เธอก็จะไม่ให้ความหวังกับใครเพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมาในภายหลัง มันอาจสร้างความเจ็บปวดหัวใจให้ใครคนนั้นเสียเปล่าๆ... เพราะตัวเองเคยถูกกระทำ ชีวาพรจึงรู้ดีว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน เธอก็จะไม่มีวันทำร้ายใครให้เจ็บเหมือนอย่างที่เธอเคยเจอ หญิงสาวลูบแผ่นหลังเล็กของลูกที่ซบดวงหน้าบนไหล่บางของเธอ เมื่อน้องพร้อมได้อยู่ในอ้อมอกที่อบอุ่นของแม่ เจ้าตัวก็ไม่ดื้อรั้นที่จะเล่นกับลุงหมออีก “กวางจะพาน้องพร้อมกลับบ้านแล้วนะคะ ตอนนี้เย็นมากแล้ว เดี๋ยวน้ำค้างจะลงค่ะ” “อ้อ! ดีเลยครับ” หมอหนุ่มตอบรับอย่างกระตือรือร้น เขาคอยเฝ้ามองแม่ลูกอ่อนที่กำลังวางทารกน้อยตัวจ้ำม่ำลงในรถเข็น เมื่อเห็นว่าเธอจัดการเสร็จแล้ว เขาจึงเบี่ยงกายเปิดทางให้เธอเข็นรถเข็นพาลูกเดินออกไปจากสวนสาธารณะ เมื่อลับร่างของสองแม่ลูก หมอหนุ่มก็ถอนหายใจยาว เขาถอดแว่นตามาเช็ดฝ้าที่เกาะบนเลนใสออก สีหน้าส่อแววครุ่นคิด ผู้หญิงไม่สนใจ...ไม่สนใจก็คือไม่สนใจ ถอดใจได้แล้วไอ้นิคเอ๊ย! ชายหนุ่มร่างสูงส่ายหน้าให้กับตัวเอง ก่อนเขาจะเดินไปยังลานจอดรถของสวนสาธารณะ ซึ่งอยู่คนละทางกับทิศทางที่ชีวาพรเดินจากไป หากสมองยังทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา... นายแพทย์อคินเฝ้ามองชีวาพรตั้งแต่เธออุ้มลูกน้อยมาพบหมอในโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ในครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ เขาเกิดความเสียดายที่คิดว่าพบเธอช้าเกินไป ผู้หญิงที่เขารู้สึกถูกตาต้องใจคนนี้แต่งงานและมีครอบครัวแล้ว กระทั่งรู้ภายหลังว่าเธอได้หย่าขาดกับสามีที่อยู่กรุงเทพฯ เขาจึงเกิดความหวังขึ้นมา เขายอมรับการเป็นแม่ม่ายลูกติดของชีวาพรได้ ในสายตาของเขามันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะสำหรับเขาแล้ว ถ้าชอบก็คือชอบ เมื่อได้พูดคุยกับเธอ เขาก็ยิ่งชอบอัธยาศัยของเธอ เขาติดใจในตัวเธอ แต่ให้ตายเถอะ! เขาพยายามเทียวไล้เทียวขื่อ หาเรื่องให้ได้พบเธอทุกครั้งที่โอกาสอำนวย แต่ตอนนี้ปาเข้าไปหกเดือนแล้ว มันยังไม่มีอะไรคืบหน้า เพราะเธอยังเป็นเธอคนเดิม ชีวาพรยิ้มแย้ม เธอพูดคุยกับเขาอย่างรักษามารยาท ทว่าเธอยังคงระมัดระวังตัว...วันแรกเป็นอย่างไร วันนี้เธอก็ยังคงเป็นเช่นนั้น นายแพทย์หนุ่มคิดว่าตัวเองได้คำตอบที่ชัดเจนจากผู้หญิงคนนี้แล้ว“เฮียได้คุยกับพี่เมียแล้วใช่ไหม”
เพียงแค่ธีทัตเดินเข้ามาในบ้าน น้องชายที่หายหัวไป 3-4 วันก็เดินมาดักหน้าเขา แล้วถามอย่างที่เขารู้สึกว่ามันกวนอารมณ์สิ้นดี “อดีตพี่เมีย” ไม่แก้คำพูดให้เปล่า แต่ธีทัตแทบแยกเขี้ยวใส่น้องชายอีกด้วย หากเจ้าตัวกลับอมยิ้ม ท่าทางมีเลิศนัย...ดูรวมๆ แล้วคนเป็นพี่ชายให้ความเห็นว่า…มันน่าโดนเตะให้คว่ำ “อดีตจริงเร้อ” ท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาของชนกันต์ทำให้ธีทัตต้องกระชากคอเสื้อน้องชายเข้ามาใกล้ แล้วเค้นถามเสียงต่ำ “มึงหมายความว่ายังไง” “ผมถามแค่นี้? ทำไมเฮียต้องอารมณ์ขึ้นด้วย แล้วนี่เฮียจะทำอะไรผม เฮียกำลังบ้าหรือเปล่า...เดี๋ยวผมฟ้องแม่เลยนะ” ท้ายประโยค...คนเป็นพี่ชายรู้ทันว่าเรื่องที่น้องชายจะฟ้องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองกำลังจะถูกทำร้ายร่างกาย แต่มันเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าแม่ของพวกเขายังไม่รู้ ธีทัตจ้องมองน้องชายนิ่งๆ อีกฝ่ายประสานสายตาไม่ยอมหลบ เขาจึงผลักเจ้าตัวออกไปห่างๆ เสีย “มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง มึงไปค้นเอกสารในห้องทำงานกูหรือเปล่า” “ไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สักหน่อยเหรอเฮีย สะกิดนิดเดียวก็แบไต๋ออกมาเลย” ชนกันต์ลากเสียงยาว แต่ไม่ลืมถอยห่างไปหลายก้าว เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงเจ็บตัว ตอนนี้สายตาของพี่ชายน่ากลัวชะมัด...หมาบ้าเข้าสิงอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ “ผมบังเอิญได้ยินเรื่องนี้ในตอนที่เฮียเรียกทนายความมาพบที่บ้าน ตอนแรกฟังไปก็ไม่ได้สนใจ แต่พอมาคิดดู ผมก็สงสัยขึ้นมา...เฮียยังไม่ได้ทำเรื่องหย่าให้เสร็จสมบูรณ์ เอกสารยังค้างอยู่กับเฮีย ตอนที่ผมได้ยินเฮียกับทนายความคุยกัน ผมเข้าใจว่าเรื่องมันยังอยู่ในขั้นตอน แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่าเฮียจงใจถ่วงเวลาหรือเปล่า เพราะเวลาผ่านไปปีกว่าแล้ว เฮียก็ยังทำเรื่องหย่าไม่เสร็จอีก ผมว่ามันนานเกินไปแล้วนะเฮีย” “กูมีเหตุผลของกู มึงไม่ต้องเสือก” “ไม่อะ ผมอยากเสือก ไม่งั้นผมนอนไม่หลับ อุตส่าห์เก็บความสงสัยมาตั้งนาน วันนี้ขอพูดให้หมดเปลือกหน่อยเถอะ” ไม่ว่าถูกสกัดท่าไหน แต่คนอย่างชนกันต์ก็ไม่เสียหลัก เมื่อใจมันรักที่จะยุ่งเรื่องชาวบ้าน เขาก็ต้องไปให้สุด “ช่วงหลังแม่เริ่มชอบกวาง จากที่ตอนแรกแม่หมางเมินกับกวาง แต่ผมเข้าใจแม่ เพราะแม่มองว่าการแต่งงานของเฮียกับกวางทำเพื่อธุรกิจ แม่เลยไม่อยากยุ่งด้วย แต่ธรรมชาติของกวางก็ทำให้แม่ใจอ่อน เพราะกวางเป็นคนน่ารัก แม่คงเห็นว่ากวางจริงใจกับเฮีย กวางดูแลเฮียดี แม่เลยเปลี่ยนท่าทีกับกวางไปด้วย ผมยังคิดว่าเฮียกับกวางจะเปลี่ยนใจทำให้การแต่งงานมันเป็นจริงขึ้นมาเสียอีก แต่ที่ไหนได้ พอถึงวันกำหนดหย่า เฮียกลับเรียกกวางเข้าห้องเย็นแล้วให้เขาเซ็นเอกสารหย่าแบบไม่ทันตั้งตัว...สรุปว่าที่ผ่านมาเฮียรักชอบกวางบ้างหรือเปล่า การที่เฮียดูแลเขาดี ทำหวานๆ กับเขา เฮียทำไปทำไม คนไม่รักไม่ชอบกันก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่เฮียทำ หรือเฮียหวังจะได้ตัวเขาเป็นของแถมจากการควบธุรกิจ” โกรธจนหนวดกระดิกมันคงเป็นอย่างนี้เอง เสียแต่ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ไว้หนวดยาว เห็นแต่ไรหนวดและไรเครารำไรในตอนเย็น ชนกันต์จึงเห็นแต่สันกรามของพี่ชายกระตุก...เขาจึงแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำ “ไม่เอาน่า ผมสงสัยก็เลยถาม อย่าโกรธเลยนะ ถ้าเฮียไม่ชอบ คราวต่อไปผมไม่ถามก็ได้” “มึงเสือกได้แค่เรื่องงาน รู้แค่ว่าตอนนี้ธุรกิจของคุณอาอยู่ในเครือราชเวคินแล้ว ส่วนเรื่องส่วนตัวของกู มึงไม่ควรเสือก ไม่ว่าตอนนี้หรือคราวต่อไป ปิดปากมึงให้สนิท อ้อ! หวังว่ามึงจะไม่ปากโป้งบอกแม่เรื่องที่กูยังทำเรื่องหย่ากับกวางไม่เสร็จ ไม่งั้นมึงเจ็บตัว” ธีทัตชี้หน้าคาดโทษน้องชายแล้วเดินจากไป ปล่อยให้คนข้างหลังหันไปมองตามร่างของเขา ก่อนเจ้าตัวจะกระตุกปากยิ้มขันอยู่คนเดียว แล้วพึมพำกับตัวเอง “เฮ้อ! สรุปว่าเรายังไม่รู้เรื่องพี่เมียของเฮีย เจ้าหมอนั่นมาพบเฮียทำไม เขาอยากได้อะไรอีก”‘คนอย่างคุณธีร์ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ราชเวคิน กรุ๊ปยิ่งใหญ่ เขาขายวิญญาณให้ธุรกิจไปแล้ว พี่รู้จักเขาดี พี่เลยไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งกับเขา‘ชีวาพรยังจำการสนทนาข้ามทวีปกับพี่สาวได้ วันนั้นเธอโทร.ไปแจ้งสถานการณ์ของครอบครัว โดยบอกว่าพ่อตกลงขายหุ้นให้ราชเวคิน กรุ๊ปแล้ว พี่สาวนิ่งไปนานทีเดียว จนเธอรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต่างรู้กันว่าถ้ามีการตกลงขายหุ้นบริษัทเกิดขึ้น ย่อมหมายถึงจะมีการแต่งงานระหว่างธีทัตกับลูกสาวของพ่อ ซึ่งถ้าไม่ใช่พี่สาวของเธอ เจ้าสาวก็จะเป็นเธอเอง‘พี่แพมพูดน่ากลัว กวางไม่เห็นคุณธีร์เป็นแบบนั้นเลย คุณธีร์น่ารักดี เขาเข้าใจครอบครัวของเรา เขาไม่ได้ต้องการหุ้นของบริษัทเราตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะคุณพ่อขอร้องให้คุณลุงเนตรช่วยซื้อกิจการเราต่างหาก...คุณพ่ออยากพัก แต่ถ้าไม่มีใครรับช่วงกิจการ คุณพ่อก็ยังพักไม่ได้’ในตอนท้ายน้ำเสียงของชีวาพรเบาลง เพราะเธอสงสารพ่อ หากคนฟังกลับตีความเป็นอย่างอื่น‘เธอตั้งใจพูดให้พี่รู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับไปแบกรับกิจการของที่บ้านเราใช่ไหม พี่ไม่เคยอยากทำ คุณพ่อก็รู้ตั้งแต่ต้น พี่มีงานของพี่อยู่ทางนี้แล้ว เธออยู่กับพ่อก็ช่วยพ่อทำไปสิ’‘กวางไม่ได้มีความรู้ควา
“ตาบวมอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอเป็นภูมิแพ้ เพราะฉันไม่เชื่อ” ทันทีมาถึงร้านกาแฟในเช้าวันใหม่ ชีวาพรก็ได้รับคำทักทายที่ตบท้ายด้วยการดักทางเสียเสร็จสรรพ จนเธอแทบค้อนใส่คนทัก คุณแม่ลูกหนึ่งวางลูกชายตัวป้อมลงในคอกกั้นที่มีเบาะนุ่มรองรับ ทารกน้อยช่างรู้ความ หันไปหาของเล่นที่วางอยู่โดยไม่กวนแม่เลย“บูบุ๊ยโตจนใกล้จะวิ่งได้แล้ว แต่เธอยังคิดถึงเขา แล้วอย่างนี้พอกลับไปที่กรุงเทพฯ อาการเธอไม่โคม่ากว่าอยู่เชียงรายหรือ”“ฉันไม่ได้คิดถึงเขาทุกวันสักหน่อย”“คิดถึงพอกรุบกริบก็พอ อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมาทำลายอนาคต พวกเรายังอยู่ในวัยเริ่มต้นชีวิต ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ออกมาดูโลกกว้างหลังจากเรียนหนังสือจบ แต่เธอกลับทำหน้าอมทุกข์เหมือนแม่แก่”“ฉันไม่เหมือนเธอนี่นา”“ไม่เหมือนตรงไหน เธอยังเหมือนฉันและเหมือนเพื่อนของเราทุกคน ต่างกันตรงที่เธอมีแต้มต่อเป็นเจ้าบูบุ๊ยเท่านั้น”นิสาแสร้งกลอกตาไปมาคล้ายเหนื่อยหน่ายใจ จนชีวาพรต้องตีแขนเพื่อนด้วยข้อหาหมั่นไส้เจ้าตัวนักพลันท่าทางของนิสาก็เปลี่ยนไป จากร่าเริงอยู่ดีๆ กลายเป็นมุ่นคิ้วคิดหนัก ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกมา “เธอจัดการเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ ได้แล้ว เพราะฉันไ
ภายในรถคันหรูที่แล่นบนถนนบริเวณกลางเมืองกรุงเทพฯ ในเวลาบ่ายสามโมง คนขับรถกำลังพูดสายกับใครสักคน ซึ่งเสียงที่ลอดออกมานั้นเป็นเสียงของผู้หญิงสาว ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ต้องเงี่ยหูฟัง“ผมคุ้นเคยกับคุณพ่อของคุณกวาง ยังไงผมก็จำคุณได้ครับ ส่วนเรื่องงาน...โรงแรมของเรามีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพียงแต่ไม่มีสาขาที่จังหวัดเชียงรายเลย”“กวางจะกลับกรุงเทพฯ ค่ะ กวางอยากหางานในกรุงเทพฯ ทำ”“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา คุณกวางมีความรู้และความสามารถอยู่แล้ว ผมพอจะมีตำแหน่งงานเสนอให้คุณ เอาไว้พรุ่งนี้ช่วงเช้าคุณกวางโทร.มาหาผมเพื่อคุยรายละเอียดอีกที พอดีตอนนี้ผมกำลังขับรถ ผมกำลังจะไปรับลูกสาวที่โรงเรียน”“ได้ค่ะ กวางขอบคุณคุณป๊อบมากนะคะ พรุ่งนี้กวางจะโทร.ไปค่ะ”เมื่อตัดสายจากกัน คนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารภายในรถเก๋งคันงามก็ถามขึ้นมาโดยไว“ใครโทร.มาหรือคะ”“คุณกวาง...ลูกสาวของคุณนพ แพทจำเธอได้ใช่ไหม”“เมียเก่าของธีร์น่ะเหรอ เธอโทร.มาหาคุณป๊อบทำไม”“โทร.มาของานทำ ตอนนี้เธออยู่ที่เชียงราย แต่กำลังจะย้ายกลับมาที่กรุงเทพฯ”“เธอรู้หรือเปล่าว่าคุณป๊อบรู้จักกับก่อและธีร์”ก่อฤกษ์และธีทัต...ฝาแฝดจ
เก้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ชีวาพรเตรียมการพูดคุยกับคุณป๊อบ มันเป็นการเป็นสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกอย่างผ่านได้ด้วยดี ชีวาพรมีทางเลือกสองทาง นั่นคือทำงานในโรงแรมใหญ่ที่อยู่กลางเมือง หรืออยู่ประจำโรงแรมสาขาที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก หากนั่นแหละ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอแล้ว เพราะมันถูกขายไปแล้ว“ถ้าคุณกวางทำงานที่สาขาชานเมือง ที่นั่นมีห้องพักสำหรับพนักงานไว้พักชั่วคราว คุณสามารถพักจนกว่าจะหาที่อยู่ถาวรได้”“กวางสนใจทำงานที่โรงแรมสาขาชานเมืองค่ะ แต่กวางตั้งใจจะหาที่อยู่เอง”“ทำไมล่ะครับ คุณกวางไม่เข้าไปดูห้องพักก่อนหรือ ผมคิดว่าห้องกว้างและสะดวกสบายพอสำหรับอยู่คนเดียว”“กวางไม่ได้อยู่คนเดียว”“คุณกวางมีครอบครัวมาด้วยหรือครับ”“ใช่ค่ะ”คุณป๊อบชะงัก เขาเหลือบมองใครสักคนที่อยู่อีกฝั่งซึ่งชีวาพรไม่อาจมองเห็น เพราะมันพ้นจากรัศมีกล้องโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกใจแป้วพิกล เพราะกลัวพลาดโอกาสทำงาน“กวางจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ให้กระทบกับงานได้ค่ะ กวางเลือกสถานรับเลี้ยงเด็กไว้แล้ว ถ้างานเข้าออกเป็นเวลา มันก็ไม่มีปัญหา กวางบริหารเวลาได้”สิ้นคำพูดนั้น คนในหน้า
เก้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ชีวาพรเตรียมการพูดคุยกับคุณป๊อบ มันเป็นการเป็นสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกอย่างผ่านได้ด้วยดี ชีวาพรมีทางเลือกสองทาง นั่นคือทำงานในโรงแรมใหญ่ที่อยู่กลางเมือง หรืออยู่ประจำโรงแรมสาขาที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก หากนั่นแหละ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอแล้ว เพราะมันถูกขายไปแล้ว“ถ้าคุณกวางทำงานที่สาขาชานเมือง ที่นั่นมีห้องพักสำหรับพนักงานไว้พักชั่วคราว คุณสามารถพักจนกว่าจะหาที่อยู่ถาวรได้”“กวางสนใจทำงานที่โรงแรมสาขาชานเมืองค่ะ แต่กวางตั้งใจจะหาที่อยู่เอง”“ทำไมล่ะครับ คุณกวางไม่เข้าไปดูห้องพักก่อนหรือ ผมคิดว่าห้องกว้างและสะดวกสบายพอสำหรับอยู่คนเดียว”“กวางไม่ได้อยู่คนเดียว”“คุณกวางมีครอบครัวมาด้วยหรือครับ”“ใช่ค่ะ”คุณป๊อบชะงัก เขาเหลือบมองใครสักคนที่อยู่อีกฝั่งซึ่งชีวาพรไม่อาจมองเห็น เพราะมันพ้นจากรัศมีกล้องโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกใจแป้วพิกล เพราะกลัวพลาดโอกาสทำงาน“กวางจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ให้กระทบกับงานได้ค่ะ กวางเลือกสถานรับเลี้ยงเด็กไว้แล้ว ถ้างานเข้าออกเป็นเวลา มันก็ไม่มีปัญหา กวางบริหารเวลาได้”สิ้นคำพูดนั้น คนในหน้า
เมื่อเวลาในเมืองไทยต่างจากเมืองเพิร์ทแค่หนึ่งชั่วโมง ดังนั้นทันทีที่แพทริเซียรู้ความคืบหน้าของอดีตพี่สะใภ้ของเพื่อนสนิท มันจึงไม่ติดขัดอะไรที่เธอจะโทร.ไปบอกให้เขารู้อย่างไม่รีรอ“ก่อไม่ต้องห่วงเมียเก่าของธีร์แล้ว เพราะเธอมีคนดูแลแล้ว”“หมายถึงอะไร? กวางมีแฟนใหม่เหรอ?”“อืม...พวกเขามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน”คนปลายสายนิ่งไป จนแพทริเซียต้องถามด้วยความอยากรู้“ผิดหวังหรือโล่งใจ”“แพทถามผิดคนหรือเปล่า”“นั่นสินะ แพทควรถามธีร์มากกว่า...แต่แพทคิดว่าตัวเองได้คำตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาถาม”“คำตอบว่า...?”“ธีร์โล่งใจน่ะสิ แพทรู้นะว่าธีร์อยากเลิกกับคุณกวาง แต่คุณกวางยื้อไว้จนธีร์กระอักกระอ่วนใจ ทำอะไรเด็ดขาดก็ไม่ได้ เพราะมันคงดูใจร้ายมากเกินไป แพทยังจำเรื่องของก่อกับยิหวาได้ ตอนก่อเลิกกับยิหวา ยิหวากุเรื่องว่าตัวเองท้อง แล้วก่อปฏิเสธเสียงแข็งว่ามันเป็นไปไม่ได้ ยิหวาไม่มีวันท้อง ตอนนั้นก่อโดนสับเละไม่เหลือชิ้นดี”เสียงกระแอมหนักๆ ดังตามมา...แพทริเซียยอมหยุดตัวเองเมื่อคิดได้ว่าทั้งก่อฤกษ์ทั้งหวันยิหวาต่างมีชีวิตใหม่ไปทั้งคู่แล้ว เธอไม่ควรรื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาอีก หากเธอไม่ได้รู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดออ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก
เช้าวันต่อมา รถรับจ้างขนของจากเชียงรายแล่นมาถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่ย่านรามอินทราในเวลาสาย หลังจากข้าวของถูกขนย้ายเข้าไปในห้องพักของผู้อาศัยที่ย้ายมาอยู่ใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ใช้เวลาจัดห้องเกือบทั้งวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จลงได้ก็แทบหมดแรงหากมีคนคนหนึ่งที่ยังสดชื่น เจ้าตัวคลานออกมาจากห้องนอนแล้วนั่งมองแม่กับคุณน้า ก่อนจะยิ้มเผล่หน้าเป็น“หนูตื่นแล้วหรือคะ”ชีวาพรปราดไปอุ้มลูกชายตัวกลมไว้ในอ้อมแขน ในระหว่างที่จัดห้องอยู่ด้านนอก เธอพาลูกเข้าไปนอนกลางวันอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วนแม้เป็นสถานที่แปลกใหม่ แต่น้องพร้อมไม่ได้ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นนอนแล้วไม่เห็นแม่ แต่เจ้าตัวกลมกลับคลานออกมาหาแม่ตามเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยตัวเอง“เด็กอะไรรู้ความขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอพาไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก บูบุ๊ยจะร้องไห้หรือเปล่า”นิสาพูดไปตามความรู้สึก หากชีวาพรหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามเข้มแข็ง หากหัวอกของแม่ย่อมไม่อยากห่างจากลูก เธอมีความเป็นห่วงลูกอยู่เต็มหัวใจ จนถึงวันนี้เธอยังกลัวไปสารพัด...กลัวว่าใครจะทำให้ลูกของเธอเจ็บ เมื่อลูกกลัวและร้องไห้ แล้วจะมีใครอุ้มและปลอบโยนลูกของเธอไ
โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ย่านหลักสี่เป็นสถานที่ที่รถสปอร์ตแล่นปราดไปจอด หัวใจของคนขับรถกำลังเต้นแรง เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอเธอ“ผมมาพบคุณชีวาพรครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่”ตีขลุมขอพบเธอเอาดื้อๆ โดยไม่คิดจะถามก่อนว่าเธอทำงานที่นี่หรือเปล่า และคำตอบที่ได้รับนั้นมันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายกำลังสูบฉีดแรง“กวางกลับไปตั้งแต่บ่ายสามโมงค่ะ มันเป็นเวลาเลิกงานของเธอ เพราะเธอต้องไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก”“ไม่ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหนครับ ผม...เอ่อ เป็นญาติของเธอ มีธุระคุยกับเธอครับ”ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นสามีและพ่อของเด็ก เพราะกลัวคำถามที่อาจย้อนกลับมาว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องของลูกเมีย ซึ่งข้ออ้างนี้มันก็ผ่านฉลุย“ดิฉันรู้แต่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ใกล้กับที่พักของเธอ”“กวางพักอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ”ธีทัตบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ตรงปากซอยบ้านเดิมของชีวาพรได้อย่างแม่นยำ พนักงานโรงแรมจึงไม่เอะใจสงสัยในตัวเขา เมื่อเธอตอบว่าใช่ เขาจึงรีบผละออกมาโดยไม่ยอมเสี
การเคลื่อนไหวของคนที่ตามหาชีวาพรอยู่ในสายตาของรปภ.ประจำคอนโดมิเนียม เมื่อหญิงสาวต้องออกไปทำงานทุกวัน รปภ.จึงเปิดประตูด้านหลังให้เธอเดินออกไปเพื่อหลบสายตาของคนพวกนั้น โดยชีวาพรได้บอกความจริงว่าตนเพิ่งบุกรุกเข้าไปในบ้านท้ายซอย พร้อมกับบอกเหตุผลให้รู้ว่าตนเข้าไปทำไม เธอหวังจะให้รปภ.เข้าใจและช่วยปกป้องอันตรายให้เธอกับลูกในอีกสองวันข้างหน้านิสาต้องกลับไปที่เชียงราย จากกำหนดเดิมที่จะอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เนื่องจากพ่อค้าที่เคยมีร้านขายของติดกันโทร.มาบอกว่าได้ทำเลเปิดร้านใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ว่างพอสำหรับเธอ นิสาจึงอยากไปดูด้วยตัวเอง“พรุ่งนี้พาบูบุ๊ยไปฝากเลี้ยงก็แล้วกันนะ ฉันจะเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งวัน จะได้เห็นว่าเขาเลี้ยงหลานยังไง”“เขาจะยอมให้เราเฝ้าเหรอ”“ไม่ยอมก็ต้องยอม หรือเธอกล้าพาลูกไปฝากไว้โดยที่ไม่รู้ว่าลูกกินนอนยังไง”การมีนิสาอยู่ข้างๆ มันดีอย่างนี้เอง ชีวาพรรู้สึกว่าตนยังไม่เด็ดขาดพอ บ่อยครั้งที่เธอคิดอะไรไม่รอบคอบ ซึ่งเพื่อนคนนี้จะช่วยเธอคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นในวันต่อมา น้องพร้อมจึงถูกนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับ
“คราวหน้าฉันจะระวังตัว ไม่เผลอเดินเข้าไปแล้ว”“ไม่ใช่ระวังตัวธรรมดา แต่เธอต้องระวังตัวให้มากๆ ต่อไปเธอต้องอยู่กับบูบุ๊ยกันแค่สองคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอยังต้องอยู่ดูแลลูก เธอต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทสักก้าวเดียว อีกอย่าง...ฉันว่าเธองดพาบูบุ๊ยไปเดินเล่นในพื้นที่ว่างใกล้บ้านเดิมเถอะ เพราะมันไม่ปลอดภัยแล้ว ฉันกลัวเจ้าของบ้านคนใหม่จะหาเรื่องใส่ความเธอ อย่างเช่นบอกว่าของในบ้านหาย โบ้ยว่าเธอเป็นคนเอาไป มันจะซวยเอานะ”คล้ายพูดเป็นตุเป็นตะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระและดูแลตัวเองมานานอย่างนิสาย่อมเคยพบเห็นเรื่องทำนองนี้ คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ยาก ในแต่ละวันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของใคร...เมื่อหันไปมองเพื่อนและหลานรัก นิสาจึงอดที่จะหนักใจไม่ได้เฮ้อ! ฉันวางใจยายกวางให้อยู่กับบูบุ๊ยที่กรุงเทพฯ ได้ไหมเนี่ย“เธอมันคุณหนูใสซื่อ ไม่ทันเหลี่ยมคน” นิสาพูดขึ้นมาตามใจคิด“แต่คนที่ซื้อบ้านของพ่อได้ก็ต้องมีเงินมากพอ เขาจะต้องการอะไรจากฉันอีก ฉันไม่มีอะไรให้เขาสักหน่อย”นิสาส่งค้อน เ
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่นะเฮีย อยากกลับไปเป็นผัวเมียกับกวางเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนกันต์กระเซ้าถาม“เปล่า”“อ้าว!”น้องชายทั้งคู่อุทานพร้อมกัน...เป็นใครจะไม่ร้องอ้าว! ในเมื่อธีทัตทำท่าเหมือนขาดชีวาพรไม่ได้ เขาไม่ยอมหย่า แถมยังตามหาเธอจนวุ่นไปหมด แต่พอถามว่าต้องการอะไร อยากกลับไปคืนดีกันไหม เจ้าตัวกลับปฏิเสธ...จะมีใครทำตัวเข้าใจยากเหมือนพี่ชายเขาอีกไหม“กวางไม่ได้กลับมาคนเดียว”รู้ว่าน้องชายกำลังงงตน ธีทัตจึงให้เหตุผล สีหน้าของเขาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด“เมียของเฮียมีผัวใหม่มาด้วยเหรอ”ชนกันต์ถามเสียงซื่อ เมื่ออยากจะเข้าใจพี่ชายให้กระจ่าง เขาจึงถามตรงๆ หากคำถามของเขากลับเสียดแทงหัวใจคนฟัง“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้”“ผมแค่ถาม มันใช่หรือไม่ใช่ เฮียก็ตอบมาสิ”“กูยังไม่รู้”“เฮียบอกว่ากวางไม่ได้กลับมาคนเดียว มันหมายความว่ายังไง กวางกลับมากับใคร”“เด็ก...” เสียงของธีทัตแหบพร่า ทั้งที่พยายามจะปรับ
ตั้งแต่กลางซอยไปจนถึงปากซอยมีคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายตึก ธีทัตเดินตามหาชีวาพรด้วยวิธีเดิม นั่นคือนำรูปของเธอกับเด็กชายตัวกลมที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาถามกับคนแถวนั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ต่างกับคราวถามจากพ่อค้าโรตีสายไหม“รูปไม่ชัด ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของคุณจริงๆ คุณน่าจะมีรูปถ่ายของเธอที่ชัดกว่ารูปจากกล้องวงจรปิด”ยามรักษาความปลอดภัยประจำคอนโดมิเนียมตรงปากซอยบอกถึงสาเหตุที่ไม่อาจให้คำตอบกับเขา แถมเขายังได้รับสายตาไม่ไว้ใจกลับมา มันทำให้ธีทัตฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเปิดรูปเก่าของชีวาพรที่ยังเก็บไว้ในโทรศัพท์ออกมาโชว์ รูปถ่ายรูปนี้ชัดเจน เธอยิ้มสดใสให้เขา แววตาของเธออ่อนหวานขณะมองกล้องที่เขาเป็นคนถ่ายเธอเอง “เธอเป็นเมียของผม ทีนี้บอกได้หรือยังว่าพี่เห็นเธอหรือเปล่า”“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ”“ลูกของผม”ธีทัตบอกพลางหรี่ตามองรปภ. ท่าทางคนคนนี้มองยากกว่าพ่อค้าโรตีสายไหม จนเขาต้องพูดหยั่งเชิงไปก่อน“ผมกำลังตามหาลูกเมียของผม เธองอนผม เราทะเลาะกันนิดหน่อย...พี่เห็นเธอใช่ไหม พี่รู้ด้วยใช่ไหมว่าเธอพักอยู่แถวไหน”“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่นี่มีแต่ลูกบ้านที่อยู่มานาน ไม่มีลูกเมียของคุณหรอก”คำตอบนั้นทำให้
โชคดีที่การสัญจรบนถนนกำลังคล่องตัว หากรถทุกคันยังแล่นไปช้าๆ คนในรถสปอร์ตคันสีดำรู้สึกมือไม้สั่น เขาจึงพารถคันงามเบี่ยงเข้าข้างทางได้อย่างทันท่วงที ตุ๊กตาหมีหน้ากลม...ธีทัตเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สายตาของเขาคงพร่าเลือนกระมังถึงได้เห็นว่าตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมแขนของชีวาพรนั้นเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าตัวกลมแหงนหน้ามองตามที่ชีวาพรชี้บอก แถมยังยกมือป้อมๆ ขึ้นมาประกบไหว้...เขามองเจ้าหนูนั่นอย่างพิจารณา แล้วจึงเห็นว่าเจ้าตัวมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูเกินกว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีเด็กที่ไหน... คำถามอื้ออึงอยู่ในอก ธีทัตยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคำพูดของก่อฤกษ์วนเข้ามาในหัวอีกหน หากคราวนี้เขาสลัดมันออกไปอย่างเร็ว เด็กคนนั้นเป็นใคร เขาไม่สนใจ ชีวาพรมีสามีใหม่หรือเปล่า เขาไม่อยากคิด... รู้แต่ว่าเวลานี้เขาต้องพบตัวเธอให้ได้ก่อน“เฮียธีร์ต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน อยู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเมียเก่ากลางห้องประชุม แล้วผลุนผลันออกไป ทั้งที่ผู้บริหารยังนั่งอยู่ครบองค์ประชุม”ชนกันต์ที่อยู่ในเหตุการณ์ชวนงงเดินเข้ามาในห้องทำงานของภพธรแล้วบอกเสียงเหนื่อยหน่ายใจ เขารู้สึกว่างานนี้พี่ชายใหญ่ทำเรื่องเพี้
มือเรียวบางลูบศีรษะเล็กทุยที่มีเรือนผมสีดำปกคลุม น้องพร้อมเป็นเด็กทารกที่มีผมดกดำและนุ่มมือ อีกทั้งแววตาที่เหมือนรู้ความเกินกว่าเด็กวัยสิบเดือน ยังไม่นับรวมถึงการเจริญเติบโตด้านร่างกายที่ได้ไต่ไปอยู่ตรงขอบบนของเกณฑ์เด็กวัยเดียวกันแล้ว...ทั้งหมดนี้ทำให้น้องพร้อมกลายเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและน่ามองสำหรับผู้คนที่ได้พบเห็น บ่อยครั้งที่ใครต่อใครมักเข้ามาทักทายและหยอกเย้าลูกของเธอ ชีวาพรนำลูกใส่ในเป้อุ้มเด็กแล้วเดินเลียบถนนในซอยเข้าไปด้านใน ทารกน้อยตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเธอก็พูดคุยกับลูกไปด้วย “เมื่อก่อนคุณตา คุณลุง คุณป้า และแม่เคยอยู่ที่นี่ บ้านเดิมของเราอยู่ในซอยนี้ แม่จะพาน้องพร้อมไปดูบ้านของครอบครัวเรานะคะ”ทารกวัยสิบเดือนอาจไม่เข้าใจว่าแม่กำลังพูดเรื่องอะไร แต่เจ้าตัวคงจับสัญญาณความรู้สึกของแม่ได้ ดวงหน้าเล็กกลมจึงเงยขึ้นไปมองแม่ จนแม่ต้องก้มลงไปหอมแก้มกลมๆ...ซึ่งเพียงเท่านั้นคนเป็นแม่ก็ได้รับรอยยิ้มอย่างเด็กอารมณ์ดีจากลูกคืนมาแล้ว“ตอนแม่เป็นเด็ก หลังกลับจากโรงเรียน แม่จะชวนพี่เลี้ยงออกมาเดินเล่นในซอยนี้ โน่นไง น้องพร้อมเห็นไหม รถเข็นขายขนมยังอยู
เช้าวันต่อมา รถรับจ้างขนของจากเชียงรายแล่นมาถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่ย่านรามอินทราในเวลาสาย หลังจากข้าวของถูกขนย้ายเข้าไปในห้องพักของผู้อาศัยที่ย้ายมาอยู่ใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ใช้เวลาจัดห้องเกือบทั้งวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จลงได้ก็แทบหมดแรงหากมีคนคนหนึ่งที่ยังสดชื่น เจ้าตัวคลานออกมาจากห้องนอนแล้วนั่งมองแม่กับคุณน้า ก่อนจะยิ้มเผล่หน้าเป็น“หนูตื่นแล้วหรือคะ”ชีวาพรปราดไปอุ้มลูกชายตัวกลมไว้ในอ้อมแขน ในระหว่างที่จัดห้องอยู่ด้านนอก เธอพาลูกเข้าไปนอนกลางวันอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วนแม้เป็นสถานที่แปลกใหม่ แต่น้องพร้อมไม่ได้ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นนอนแล้วไม่เห็นแม่ แต่เจ้าตัวกลมกลับคลานออกมาหาแม่ตามเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยตัวเอง“เด็กอะไรรู้ความขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอพาไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก บูบุ๊ยจะร้องไห้หรือเปล่า”นิสาพูดไปตามความรู้สึก หากชีวาพรหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามเข้มแข็ง หากหัวอกของแม่ย่อมไม่อยากห่างจากลูก เธอมีความเป็นห่วงลูกอยู่เต็มหัวใจ จนถึงวันนี้เธอยังกลัวไปสารพัด...กลัวว่าใครจะทำให้ลูกของเธอเจ็บ เมื่อลูกกลัวและร้องไห้ แล้วจะมีใครอุ้มและปลอบโยนลูกของเธอไ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก