“ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่การหางานทำ ยังไงก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์งาน ถึงเบื้องต้นจะสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ได้ แต่ขั้นตอนสุดท้ายเขาก็มักเรียกไปเจอตัวกันก่อนอยู่ดี”
เมื่อนึกถึงรายละเอียดแต่ละขั้นตอนในการย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ ชีวาพรก็พบว่ามันยังมีเรื่องติดขัดอยู่หลายเรื่อง “ข้ามขั้นตอนนั้นไปได้ไหม เธอโทร.ไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักให้เขาช่วยหางานทำ เธอจะเป็นเด็กเส้นหรืออะไรก็ช่างเถอะ เวลานี้เอาตัวเองให้รอดก็พอ” “ฉันไม่กลัวถูกหาว่าเป็นเด็กเส้นหรอก แต่ฉันกำลังคิดเรื่องอื่น” เมื่ออยู่ในจุดที่ต้องดิ้นรน ชีวาพรก็พบว่าความคิดของตนได้เปลี่ยนไปจากเดิมหลายเรื่อง... “เรื่องที่คนเหล่านั้นเป็นคนรู้จักของพ่อเธอใช่ไหม เธอกลัวว่าถ้าขอให้พวกเขาช่วยหางานให้ทำ แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเธอมีบูบุ๊ย สุดท้ายพ่อของเธอก็จะรู้ด้วย” “ใช่ ความจริงฉันไม่คิดจะปิดเรื่องน้องพร้อมไปตลอดหรอก ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางปิดกันได้ ฉันไม่อยากให้ลูกต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จากใคร น้องพร้อมไม่ได้ทำอะไรผิด แกควรได้ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย สักวันหนึ่งทุกคนต้องรู้อยู่ดีว่าฉันมีน้องพร้อม เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฉันตั้งใจจะรอให้ตัวเองแข็งแรงก่อน แต่ตอนนี้ฉันกลับได้คิดว่ามันคงไม่จำเป็น เพราะอาจไม่ได้มีใครสนใจฉันกับน้องพร้อมเลยก็ได้” “เธอกำลังพูดถึงคุณธีร์หรือเปล่า” “อืม...ตอนนี้เขาอาจไม่รู้จักฉันแล้ว” ชีวาพรไม่รู้หรอกว่าพ่อจะเอ็นดูน้องพร้อมแค่ไหน แต่เธอเชื่อว่าลูกคงไม่ถูกหมางเมินจากคุณตา...แต่สำหรับธีทัตนั้น เธอภาวนาให้เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไป ขอให้เขามองลูกเหมือนเป็นอากาศ เหมือนอย่างที่เขาเคยทำกับเธอ เพราะเธอจะได้ตัดใจจากเขาได้อย่างเด็ดขาดเสียที “ถ้าพ่อได้เห็นน้องพร้อม พ่อคงรู้ทันทีว่าน้องพร้อมเป็นลูกของใคร พ่อยอมรับได้ไหมว่าน้องพร้อมมีฉันเป็นแม่แค่คนเดียว...ฉันห่วงเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว” ตอนที่พ่อรู้ว่าเธอกับธีทัตหย่าขาดจากกัน พ่อผิดหวังมาก แม้มันมีสัญญาการแต่งงานที่ระบุอย่างชัดเจนว่าเธอกับเขาจะต้องแยกทางหลังจากโอนหุ้นบริษัทเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พ่อก็ยังหวังว่าการแต่งงานครั้งนั้นจะยืนยาว พ่อหวังไม่ต่างกับเธอ... ทั้งเธอทั้งพ่อต่างหวังลมๆ แล้งๆ หากเมื่อพบว่าสุดท้ายเธอและธีทัตต้องแยกทางกันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง พ่อกลับยอมรับได้อย่างสงบ เหลือเพียงเธอคนเดียวที่ตีโพยตีพาย ทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าอย่างน่าเวทนา “ตอนนี้พ่อของเธอเป็นยังไงบ้าง พ่อยังอยู่ที่หัวหินไหม” “ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้ติดต่อกับพ่อนานแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันนึกถึงแต่ตัวเอง ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่แย่มาก ทั้งที่ฉันมีเบอร์โทร. ของพ่อ แต่ฉันกลับไม่ได้โทร.ไปหาพ่อนานเป็นปีแล้ว” “อย่ารู้สึกผิด เพราะเธอไม่ได้ผิดอะไร ที่ผ่านมาแค่เธอประคองตัวเองให้รอดได้ มันก็เป็นเรื่องยากแล้ว เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะดูแลใครได้ นอกจากดูแลตัวเองกับลูก แต่วันนี้เธอแข็งแรงขึ้น เธอจึงนึกถึงพ่อ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา...มันไม่สายไปหรอกถ้าเธอจะโทร.ไปหาพ่อตอนนี้” นิสาบอกก่อนจะอุ้มน้องพร้อมไปจากอ้อมกอดของเธอเพื่อพาไปเดินเล่น เพื่อนคงตั้งใจจะให้เธอได้อยู่กับตัวเอง เผื่อเธอจะโทร.ไปหาพ่อ แต่จนแล้วจนรอดชีวาพรก็ไม่ได้ทำ เพราะเธอไม่กล้าพอ...เธอกำลังขอทดเวลาให้ตัวเองอีกสักวัน สิ่งเดียวที่ทำให้ชีวาพรไม่ห่วงพ่อมากนัก ก็คือเธอรู้ว่าแม่บ้านของพ่อย้ายไปอยู่ที่หัวหินกับพ่อด้วย ผู้หญิงคนนั้นอยู่บ้านแยกอีกหลังกับพ่อมานานแล้ว มองปราดเดียวเธอก็รู้ว่าเจ้าหล่อนทำหน้าที่มากกว่าแม่บ้านทั่วไป หากทุกครั้งที่เจอกัน พ่อจะบอกเธอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดูแลบ้าน แม่ของชีวาพรเสียชีวิตไปหลายปี ส่วนพ่อไม่เคยแต่งงานใหม่ ถ้าหากบั้นปลายชีวิตของพ่อจะมีคนเข้ามาดูแล เธอก็รู้สึกดีใจ ไม่ใช่ว่าเธอจะผลักไสพ่อในวัยใกล้ชราไปให้คนอื่น เมื่อถึงวันนี้จิตใจของเธอแข็งแรงเกือบเหมือนเดิม เธอนึกอยากเป็นที่พึ่งให้พ่อได้บ้าง หากติดตรงที่เธอยังพาตัวเองกับลูกแทบไม่รอด ชีวาพรเข็นรถเด็กเดินเข้าไปในสวนสาธารณะในยามเย็น ซึ่งเธอคงจมอยู่กับความคิดมากเกินไป จึงไม่ได้ยินเสียงทักทายที่ดังอยู่ใกล้ๆ ชีวาพรเห็นท่าทางของคนตัวป้อมที่อยู่ในรถเข็นเปลี่ยนไป เจ้าตัวน้อยยันกายขึ้นมานั่งเกาะขอบรถเข็น ดวงหน้าเล็กกลมเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม ท่าทางบอกว่าดีใจมาก เมื่อเธอหันไปมองตามสายตาของลูก จึงเห็นว่านายแพทย์อคินเดินอยู่ใกล้เธอแล้ว เขากำลังยิ้มกว้างรอรับการทักทาย แววตาเจือรอยล้อเลียน “สวัสดีค่ะคุณหมอ” “เดินใจลอยอย่างนี้ไม่ดีนะครับ เดี๋ยวน้องพร้อมนึกสนุกลุกขึ้นจากรถเข็นแล้ววิ่งหนีแม่ไป คุณกวางจะไล่จับลูกไม่ทันเอานะครับ” คุณหมอหยอกเย้า เพราะน้องพร้อมในวัยสิบเดือนเพิ่งยืนตั้งไข่ได้ เจ้าตัวกำลังฝึกย่างเท้าเดิน แต่ยังเดินได้ไม่ถึงก้าวที่ห้า ถ้าหากไม่มีใครยื่นมือไปรับ เจ้าตัวจะล้มแปะลงเอง ทว่าสิ่งที่หมอหนุ่มพูดนั้นมันทำให้คนเป็นแม่หน้าเสีย...เธอเดินใจลอย ถ้าหากใครมาอุ้มลูกของเธอไป แล้วเธอจะปกป้องลูกทันได้อย่างไร “อ้าว! ทำไมคุณแม่ทำหน้าอย่างนั้นครับ เมื่อกี้ผมพูดเล่น น้องพร้อมไม่หนีไปไหนหรอก ดูสิ น้องพร้อมมองเราหน้ายุ่งเชียว เดี๋ยวแกจะคิดว่าลุงหมอแกล้งแม่” “ขอโทษทีค่ะ กวางคิดฟุ้งซ่านไปหน่อย” คุณแม่ลูกอ่อนยังหน้าเจื่อนไม่หาย หมอหนุ่มถอนหายใจเบาๆ รู้ตัวว่ามุกตลกของตนทำให้คนเป็นแม่คิดมาก “ผมต้องขอโทษคุณกวางเหมือนกัน ผมพูดเล่นมากเกินไปจนทำให้คุณกลัว” “ไม่เป็นไรค่ะ คุณหมอแค่เตือนไม่ให้กวางเดินใจลอย ซึ่งมันถูกต้องแล้ว กวางควรมีสติอยู่ตลอดเวลา” “ถ้าคุณกวางมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ อยากหาใครสักคนมานั่งฟังคุณเล่า ผมว่างจนถึงสองทุ่มนะครับ” “กวางไม่กล้ารบกวนคุณหมอหรอกค่ะ เพราะทายว่าหลังจากสองทุ่ม คุณหมอต้องขึ้นเวรอีก คุณหมอมีเวลาว่างไม่มาก ใช้เวลานี้พักผ่อนให้สมองผ่อนคลายดีกว่าค่ะ กวางไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไร แค่คิดอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย” เมื่อสาวสวยปฏิเสธ หมอหนุ่มก็ไม่เซ้าซี้ เขาให้เกียรติและให้ความเกรงใจเธอเสมอ หากสำหรับคำแนะนำของเธอที่บอกให้เขาผ่อนคลายสมองนั้น เขาก็นึกถึงกิจกรรมบางอย่างได้ “งั้นผมขออนุญาตคุณกวางออกกำลังกายก็แล้วกันนะครับ นึกอยากยกลูกเหล็กหนักสิบกิโลแถวนี้พอดี” ในทีแรกชีวาพรรู้สึกงุนงง นายแพทย์หนุ่มขออนุญาตเธอทำไม หากเมื่อได้ยินประโยคต่อมา เธอถึงได้เข้าใจ...เพราะ ‘ลูกเหล็กหนักสิบกิโล’ ที่อยู่ในรถเข็นเด็กกำลังมองเขาด้วยประกายตาสนุกสนาน แถมยังสะบัดมือป้อมเป็นเชิงเรียกร้องที่จะเล่นกับเขาอีกด้วยน้องพร้อมหวีดเสียงร้องอย่างชอบใจเมื่อตัวเองถูกยกขึ้นสูงคล้ายนกกำลังบิน ทุกคราวที่นายแพทย์อคินลดแขนต่ำลง หนูน้อยจะกระพือแขนเป็นเชิงบอกว่า ‘หนูขอบินสูงๆ อีก’ ซึ่งลุงหมอก็ตามใจ พาเจ้าตัวกลมบินร่อนอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสิบนาที ชีวาพรจึงขอให้คุณหมอหยุด เพราะเธอรู้สึกเกรงใจ น้ำหนักตัวของน้องพร้อมไม่น้อยเลย เธอกลัวว่าแขนของคุณหมอจะล้าไปเสียก่อน อีกทั้งคิดว่าลูกชายเล่นสนุกพอแล้ว เมื่อหญิงสาวขอลูกคืนมา หมอหนุ่มก็ส่งเด็กชายให้เธอแต่โดยดี แต่กลับเป็นเจ้าตัวกลมที่จับคอเสื้อของลุงหมอไว้แน่น มือป้อมๆ กำอย่างไม่ยอมปล่อย ชีวาพรตกใจ เธอรีบแกะมือของลูกให้คลายออก...ไม่วายที่จะขอโทษขอโพยเขาไปด้วย “ขอโทษด้วยนะคะ เสื้อคุณหมอยับหมดเลย” “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมต้องกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่บ้านพักอยู่แล้ว” สายตาของหมอหนุ่มอ่อนโยน หากมันทำให้หญิงสาวต้องถอยห่างจากเขาไปถึงสองก้าว... นายแพทย์อคินไม่ได้น่ากลัว ในทางกลับกันเขาสุภาพกับเธออย่างคงเส้นคงวา เขาไม่เคยแสดงท่าทางคุกคามหรือทำให้เธออึดอัดใจ แต่ชีวาพรรู้ว่ายิ่งเขาดีกับเธอและลูกมากเท่าไร เธอก็ควรรักษาระยะห่างเอาไว้ เพรา
‘คนอย่างคุณธีร์ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ราชเวคิน กรุ๊ปยิ่งใหญ่ เขาขายวิญญาณให้ธุรกิจไปแล้ว พี่รู้จักเขาดี พี่เลยไม่อยากเอาตัวเองไปยุ่งกับเขา‘ชีวาพรยังจำการสนทนาข้ามทวีปกับพี่สาวได้ วันนั้นเธอโทร.ไปแจ้งสถานการณ์ของครอบครัว โดยบอกว่าพ่อตกลงขายหุ้นให้ราชเวคิน กรุ๊ปแล้ว พี่สาวนิ่งไปนานทีเดียว จนเธอรู้สึกอึดอัดใจ เพราะต่างรู้กันว่าถ้ามีการตกลงขายหุ้นบริษัทเกิดขึ้น ย่อมหมายถึงจะมีการแต่งงานระหว่างธีทัตกับลูกสาวของพ่อ ซึ่งถ้าไม่ใช่พี่สาวของเธอ เจ้าสาวก็จะเป็นเธอเอง‘พี่แพมพูดน่ากลัว กวางไม่เห็นคุณธีร์เป็นแบบนั้นเลย คุณธีร์น่ารักดี เขาเข้าใจครอบครัวของเรา เขาไม่ได้ต้องการหุ้นของบริษัทเราตั้งแต่แรก แต่เป็นเพราะคุณพ่อขอร้องให้คุณลุงเนตรช่วยซื้อกิจการเราต่างหาก...คุณพ่ออยากพัก แต่ถ้าไม่มีใครรับช่วงกิจการ คุณพ่อก็ยังพักไม่ได้’ในตอนท้ายน้ำเสียงของชีวาพรเบาลง เพราะเธอสงสารพ่อ หากคนฟังกลับตีความเป็นอย่างอื่น‘เธอตั้งใจพูดให้พี่รู้สึกผิดที่ไม่ได้กลับไปแบกรับกิจการของที่บ้านเราใช่ไหม พี่ไม่เคยอยากทำ คุณพ่อก็รู้ตั้งแต่ต้น พี่มีงานของพี่อยู่ทางนี้แล้ว เธออยู่กับพ่อก็ช่วยพ่อทำไปสิ’‘กวางไม่ได้มีความรู้ควา
“ตาบวมอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอเป็นภูมิแพ้ เพราะฉันไม่เชื่อ” ทันทีมาถึงร้านกาแฟในเช้าวันใหม่ ชีวาพรก็ได้รับคำทักทายที่ตบท้ายด้วยการดักทางเสียเสร็จสรรพ จนเธอแทบค้อนใส่คนทัก คุณแม่ลูกหนึ่งวางลูกชายตัวป้อมลงในคอกกั้นที่มีเบาะนุ่มรองรับ ทารกน้อยช่างรู้ความ หันไปหาของเล่นที่วางอยู่โดยไม่กวนแม่เลย“บูบุ๊ยโตจนใกล้จะวิ่งได้แล้ว แต่เธอยังคิดถึงเขา แล้วอย่างนี้พอกลับไปที่กรุงเทพฯ อาการเธอไม่โคม่ากว่าอยู่เชียงรายหรือ”“ฉันไม่ได้คิดถึงเขาทุกวันสักหน่อย”“คิดถึงพอกรุบกริบก็พอ อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมาทำลายอนาคต พวกเรายังอยู่ในวัยเริ่มต้นชีวิต ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ออกมาดูโลกกว้างหลังจากเรียนหนังสือจบ แต่เธอกลับทำหน้าอมทุกข์เหมือนแม่แก่”“ฉันไม่เหมือนเธอนี่นา”“ไม่เหมือนตรงไหน เธอยังเหมือนฉันและเหมือนเพื่อนของเราทุกคน ต่างกันตรงที่เธอมีแต้มต่อเป็นเจ้าบูบุ๊ยเท่านั้น”นิสาแสร้งกลอกตาไปมาคล้ายเหนื่อยหน่ายใจ จนชีวาพรต้องตีแขนเพื่อนด้วยข้อหาหมั่นไส้เจ้าตัวนักพลันท่าทางของนิสาก็เปลี่ยนไป จากร่าเริงอยู่ดีๆ กลายเป็นมุ่นคิ้วคิดหนัก ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกมา “เธอจัดการเรื่องย้ายกลับกรุงเทพฯ ได้แล้ว เพราะฉันไ
ภายในรถคันหรูที่แล่นบนถนนบริเวณกลางเมืองกรุงเทพฯ ในเวลาบ่ายสามโมง คนขับรถกำลังพูดสายกับใครสักคน ซึ่งเสียงที่ลอดออกมานั้นเป็นเสียงของผู้หญิงสาว ทำให้คนที่นั่งข้างๆ ต้องเงี่ยหูฟัง“ผมคุ้นเคยกับคุณพ่อของคุณกวาง ยังไงผมก็จำคุณได้ครับ ส่วนเรื่องงาน...โรงแรมของเรามีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพียงแต่ไม่มีสาขาที่จังหวัดเชียงรายเลย”“กวางจะกลับกรุงเทพฯ ค่ะ กวางอยากหางานในกรุงเทพฯ ทำ”“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา คุณกวางมีความรู้และความสามารถอยู่แล้ว ผมพอจะมีตำแหน่งงานเสนอให้คุณ เอาไว้พรุ่งนี้ช่วงเช้าคุณกวางโทร.มาหาผมเพื่อคุยรายละเอียดอีกที พอดีตอนนี้ผมกำลังขับรถ ผมกำลังจะไปรับลูกสาวที่โรงเรียน”“ได้ค่ะ กวางขอบคุณคุณป๊อบมากนะคะ พรุ่งนี้กวางจะโทร.ไปค่ะ”เมื่อตัดสายจากกัน คนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งผู้โดยสารภายในรถเก๋งคันงามก็ถามขึ้นมาโดยไว“ใครโทร.มาหรือคะ”“คุณกวาง...ลูกสาวของคุณนพ แพทจำเธอได้ใช่ไหม”“เมียเก่าของธีร์น่ะเหรอ เธอโทร.มาหาคุณป๊อบทำไม”“โทร.มาของานทำ ตอนนี้เธออยู่ที่เชียงราย แต่กำลังจะย้ายกลับมาที่กรุงเทพฯ”“เธอรู้หรือเปล่าว่าคุณป๊อบรู้จักกับก่อและธีร์”ก่อฤกษ์และธีทัต...ฝาแฝดจ
เก้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ชีวาพรเตรียมการพูดคุยกับคุณป๊อบ มันเป็นการเป็นสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกอย่างผ่านได้ด้วยดี ชีวาพรมีทางเลือกสองทาง นั่นคือทำงานในโรงแรมใหญ่ที่อยู่กลางเมือง หรืออยู่ประจำโรงแรมสาขาที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก หากนั่นแหละ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอแล้ว เพราะมันถูกขายไปแล้ว“ถ้าคุณกวางทำงานที่สาขาชานเมือง ที่นั่นมีห้องพักสำหรับพนักงานไว้พักชั่วคราว คุณสามารถพักจนกว่าจะหาที่อยู่ถาวรได้”“กวางสนใจทำงานที่โรงแรมสาขาชานเมืองค่ะ แต่กวางตั้งใจจะหาที่อยู่เอง”“ทำไมล่ะครับ คุณกวางไม่เข้าไปดูห้องพักก่อนหรือ ผมคิดว่าห้องกว้างและสะดวกสบายพอสำหรับอยู่คนเดียว”“กวางไม่ได้อยู่คนเดียว”“คุณกวางมีครอบครัวมาด้วยหรือครับ”“ใช่ค่ะ”คุณป๊อบชะงัก เขาเหลือบมองใครสักคนที่อยู่อีกฝั่งซึ่งชีวาพรไม่อาจมองเห็น เพราะมันพ้นจากรัศมีกล้องโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกใจแป้วพิกล เพราะกลัวพลาดโอกาสทำงาน“กวางจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ให้กระทบกับงานได้ค่ะ กวางเลือกสถานรับเลี้ยงเด็กไว้แล้ว ถ้างานเข้าออกเป็นเวลา มันก็ไม่มีปัญหา กวางบริหารเวลาได้”สิ้นคำพูดนั้น คนในหน้า
เก้านาฬิกาของเช้าวันใหม่ ชีวาพรเตรียมการพูดคุยกับคุณป๊อบ มันเป็นการเป็นสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งทุกอย่างผ่านได้ด้วยดี ชีวาพรมีทางเลือกสองทาง นั่นคือทำงานในโรงแรมใหญ่ที่อยู่กลางเมือง หรืออยู่ประจำโรงแรมสาขาที่ตั้งอยู่ชานเมือง ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ไกลจากบ้านหลังเดิมนัก หากนั่นแหละ ปัจจุบันบ้านหลังนั้นไม่ใช่ของเธอแล้ว เพราะมันถูกขายไปแล้ว“ถ้าคุณกวางทำงานที่สาขาชานเมือง ที่นั่นมีห้องพักสำหรับพนักงานไว้พักชั่วคราว คุณสามารถพักจนกว่าจะหาที่อยู่ถาวรได้”“กวางสนใจทำงานที่โรงแรมสาขาชานเมืองค่ะ แต่กวางตั้งใจจะหาที่อยู่เอง”“ทำไมล่ะครับ คุณกวางไม่เข้าไปดูห้องพักก่อนหรือ ผมคิดว่าห้องกว้างและสะดวกสบายพอสำหรับอยู่คนเดียว”“กวางไม่ได้อยู่คนเดียว”“คุณกวางมีครอบครัวมาด้วยหรือครับ”“ใช่ค่ะ”คุณป๊อบชะงัก เขาเหลือบมองใครสักคนที่อยู่อีกฝั่งซึ่งชีวาพรไม่อาจมองเห็น เพราะมันพ้นจากรัศมีกล้องโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกใจแป้วพิกล เพราะกลัวพลาดโอกาสทำงาน“กวางจัดการเรื่องส่วนตัวไม่ให้กระทบกับงานได้ค่ะ กวางเลือกสถานรับเลี้ยงเด็กไว้แล้ว ถ้างานเข้าออกเป็นเวลา มันก็ไม่มีปัญหา กวางบริหารเวลาได้”สิ้นคำพูดนั้น คนในหน้า
เมื่อเวลาในเมืองไทยต่างจากเมืองเพิร์ทแค่หนึ่งชั่วโมง ดังนั้นทันทีที่แพทริเซียรู้ความคืบหน้าของอดีตพี่สะใภ้ของเพื่อนสนิท มันจึงไม่ติดขัดอะไรที่เธอจะโทร.ไปบอกให้เขารู้อย่างไม่รีรอ“ก่อไม่ต้องห่วงเมียเก่าของธีร์แล้ว เพราะเธอมีคนดูแลแล้ว”“หมายถึงอะไร? กวางมีแฟนใหม่เหรอ?”“อืม...พวกเขามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน”คนปลายสายนิ่งไป จนแพทริเซียต้องถามด้วยความอยากรู้“ผิดหวังหรือโล่งใจ”“แพทถามผิดคนหรือเปล่า”“นั่นสินะ แพทควรถามธีร์มากกว่า...แต่แพทคิดว่าตัวเองได้คำตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาถาม”“คำตอบว่า...?”“ธีร์โล่งใจน่ะสิ แพทรู้นะว่าธีร์อยากเลิกกับคุณกวาง แต่คุณกวางยื้อไว้จนธีร์กระอักกระอ่วนใจ ทำอะไรเด็ดขาดก็ไม่ได้ เพราะมันคงดูใจร้ายมากเกินไป แพทยังจำเรื่องของก่อกับยิหวาได้ ตอนก่อเลิกกับยิหวา ยิหวากุเรื่องว่าตัวเองท้อง แล้วก่อปฏิเสธเสียงแข็งว่ามันเป็นไปไม่ได้ ยิหวาไม่มีวันท้อง ตอนนั้นก่อโดนสับเละไม่เหลือชิ้นดี”เสียงกระแอมหนักๆ ดังตามมา...แพทริเซียยอมหยุดตัวเองเมื่อคิดได้ว่าทั้งก่อฤกษ์ทั้งหวันยิหวาต่างมีชีวิตใหม่ไปทั้งคู่แล้ว เธอไม่ควรรื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาอีก หากเธอไม่ได้รู้สึกผิดที่พลั้งปากพูดออ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก
โรงแรมหรูที่ตั้งอยู่ย่านหลักสี่เป็นสถานที่ที่รถสปอร์ตแล่นปราดไปจอด หัวใจของคนขับรถกำลังเต้นแรง เมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอเธอ“ผมมาพบคุณชีวาพรครับ เธอเป็นพนักงานที่นี่”ตีขลุมขอพบเธอเอาดื้อๆ โดยไม่คิดจะถามก่อนว่าเธอทำงานที่นี่หรือเปล่า และคำตอบที่ได้รับนั้นมันทำให้หน้าของเขาแดงก่ำ เขารู้สึกได้ว่าเลือดในกายกำลังสูบฉีดแรง“กวางกลับไปตั้งแต่บ่ายสามโมงค่ะ มันเป็นเวลาเลิกงานของเธอ เพราะเธอต้องไปรับลูกที่สถานรับเลี้ยงเด็ก”“ไม่ทราบว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ที่ไหนครับ ผม...เอ่อ เป็นญาติของเธอ มีธุระคุยกับเธอครับ”ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นสามีและพ่อของเด็ก เพราะกลัวคำถามที่อาจย้อนกลับมาว่าทำไมตนถึงไม่รู้เรื่องของลูกเมีย ซึ่งข้ออ้างนี้มันก็ผ่านฉลุย“ดิฉันรู้แต่ว่าสถานรับเลี้ยงเด็กอยู่ใกล้กับที่พักของเธอ”“กวางพักอยู่ที่คอนโดใช่ไหมครับ”ธีทัตบอกชื่อคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ตรงปากซอยบ้านเดิมของชีวาพรได้อย่างแม่นยำ พนักงานโรงแรมจึงไม่เอะใจสงสัยในตัวเขา เมื่อเธอตอบว่าใช่ เขาจึงรีบผละออกมาโดยไม่ยอมเสี
การเคลื่อนไหวของคนที่ตามหาชีวาพรอยู่ในสายตาของรปภ.ประจำคอนโดมิเนียม เมื่อหญิงสาวต้องออกไปทำงานทุกวัน รปภ.จึงเปิดประตูด้านหลังให้เธอเดินออกไปเพื่อหลบสายตาของคนพวกนั้น โดยชีวาพรได้บอกความจริงว่าตนเพิ่งบุกรุกเข้าไปในบ้านท้ายซอย พร้อมกับบอกเหตุผลให้รู้ว่าตนเข้าไปทำไม เธอหวังจะให้รปภ.เข้าใจและช่วยปกป้องอันตรายให้เธอกับลูกในอีกสองวันข้างหน้านิสาต้องกลับไปที่เชียงราย จากกำหนดเดิมที่จะอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เนื่องจากพ่อค้าที่เคยมีร้านขายของติดกันโทร.มาบอกว่าได้ทำเลเปิดร้านใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ว่างพอสำหรับเธอ นิสาจึงอยากไปดูด้วยตัวเอง“พรุ่งนี้พาบูบุ๊ยไปฝากเลี้ยงก็แล้วกันนะ ฉันจะเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งวัน จะได้เห็นว่าเขาเลี้ยงหลานยังไง”“เขาจะยอมให้เราเฝ้าเหรอ”“ไม่ยอมก็ต้องยอม หรือเธอกล้าพาลูกไปฝากไว้โดยที่ไม่รู้ว่าลูกกินนอนยังไง”การมีนิสาอยู่ข้างๆ มันดีอย่างนี้เอง ชีวาพรรู้สึกว่าตนยังไม่เด็ดขาดพอ บ่อยครั้งที่เธอคิดอะไรไม่รอบคอบ ซึ่งเพื่อนคนนี้จะช่วยเธอคิดและตัดสินใจได้ดังนั้นในวันต่อมา น้องพร้อมจึงถูกนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับ
“คราวหน้าฉันจะระวังตัว ไม่เผลอเดินเข้าไปแล้ว”“ไม่ใช่ระวังตัวธรรมดา แต่เธอต้องระวังตัวให้มากๆ ต่อไปเธอต้องอยู่กับบูบุ๊ยกันแค่สองคน ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอยังต้องอยู่ดูแลลูก เธอต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทสักก้าวเดียว อีกอย่าง...ฉันว่าเธองดพาบูบุ๊ยไปเดินเล่นในพื้นที่ว่างใกล้บ้านเดิมเถอะ เพราะมันไม่ปลอดภัยแล้ว ฉันกลัวเจ้าของบ้านคนใหม่จะหาเรื่องใส่ความเธอ อย่างเช่นบอกว่าของในบ้านหาย โบ้ยว่าเธอเป็นคนเอาไป มันจะซวยเอานะ”คล้ายพูดเป็นตุเป็นตะ แต่คนที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระและดูแลตัวเองมานานอย่างนิสาย่อมเคยพบเห็นเรื่องทำนองนี้ คนเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ยาก ในแต่ละวันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของใคร...เมื่อหันไปมองเพื่อนและหลานรัก นิสาจึงอดที่จะหนักใจไม่ได้เฮ้อ! ฉันวางใจยายกวางให้อยู่กับบูบุ๊ยที่กรุงเทพฯ ได้ไหมเนี่ย“เธอมันคุณหนูใสซื่อ ไม่ทันเหลี่ยมคน” นิสาพูดขึ้นมาตามใจคิด“แต่คนที่ซื้อบ้านของพ่อได้ก็ต้องมีเงินมากพอ เขาจะต้องการอะไรจากฉันอีก ฉันไม่มีอะไรให้เขาสักหน่อย”นิสาส่งค้อน เ
“อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่นะเฮีย อยากกลับไปเป็นผัวเมียกับกวางเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนกันต์กระเซ้าถาม“เปล่า”“อ้าว!”น้องชายทั้งคู่อุทานพร้อมกัน...เป็นใครจะไม่ร้องอ้าว! ในเมื่อธีทัตทำท่าเหมือนขาดชีวาพรไม่ได้ เขาไม่ยอมหย่า แถมยังตามหาเธอจนวุ่นไปหมด แต่พอถามว่าต้องการอะไร อยากกลับไปคืนดีกันไหม เจ้าตัวกลับปฏิเสธ...จะมีใครทำตัวเข้าใจยากเหมือนพี่ชายเขาอีกไหม“กวางไม่ได้กลับมาคนเดียว”รู้ว่าน้องชายกำลังงงตน ธีทัตจึงให้เหตุผล สีหน้าของเขาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด“เมียของเฮียมีผัวใหม่มาด้วยเหรอ”ชนกันต์ถามเสียงซื่อ เมื่ออยากจะเข้าใจพี่ชายให้กระจ่าง เขาจึงถามตรงๆ หากคำถามของเขากลับเสียดแทงหัวใจคนฟัง“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้”“ผมแค่ถาม มันใช่หรือไม่ใช่ เฮียก็ตอบมาสิ”“กูยังไม่รู้”“เฮียบอกว่ากวางไม่ได้กลับมาคนเดียว มันหมายความว่ายังไง กวางกลับมากับใคร”“เด็ก...” เสียงของธีทัตแหบพร่า ทั้งที่พยายามจะปรับ
ตั้งแต่กลางซอยไปจนถึงปากซอยมีคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายตึก ธีทัตเดินตามหาชีวาพรด้วยวิธีเดิม นั่นคือนำรูปของเธอกับเด็กชายตัวกลมที่ได้จากกล้องวงจรปิดมาถามกับคนแถวนั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ต่างกับคราวถามจากพ่อค้าโรตีสายไหม“รูปไม่ชัด ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของคุณจริงๆ คุณน่าจะมีรูปถ่ายของเธอที่ชัดกว่ารูปจากกล้องวงจรปิด”ยามรักษาความปลอดภัยประจำคอนโดมิเนียมตรงปากซอยบอกถึงสาเหตุที่ไม่อาจให้คำตอบกับเขา แถมเขายังได้รับสายตาไม่ไว้ใจกลับมา มันทำให้ธีทัตฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาจึงรีบเปิดรูปเก่าของชีวาพรที่ยังเก็บไว้ในโทรศัพท์ออกมาโชว์ รูปถ่ายรูปนี้ชัดเจน เธอยิ้มสดใสให้เขา แววตาของเธออ่อนหวานขณะมองกล้องที่เขาเป็นคนถ่ายเธอเอง “เธอเป็นเมียของผม ทีนี้บอกได้หรือยังว่าพี่เห็นเธอหรือเปล่า”“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ”“ลูกของผม”ธีทัตบอกพลางหรี่ตามองรปภ. ท่าทางคนคนนี้มองยากกว่าพ่อค้าโรตีสายไหม จนเขาต้องพูดหยั่งเชิงไปก่อน“ผมกำลังตามหาลูกเมียของผม เธองอนผม เราทะเลาะกันนิดหน่อย...พี่เห็นเธอใช่ไหม พี่รู้ด้วยใช่ไหมว่าเธอพักอยู่แถวไหน”“ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ที่นี่มีแต่ลูกบ้านที่อยู่มานาน ไม่มีลูกเมียของคุณหรอก”คำตอบนั้นทำให้
โชคดีที่การสัญจรบนถนนกำลังคล่องตัว หากรถทุกคันยังแล่นไปช้าๆ คนในรถสปอร์ตคันสีดำรู้สึกมือไม้สั่น เขาจึงพารถคันงามเบี่ยงเข้าข้างทางได้อย่างทันท่วงที ตุ๊กตาหมีหน้ากลม...ธีทัตเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ สายตาของเขาคงพร่าเลือนกระมังถึงได้เห็นว่าตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมแขนของชีวาพรนั้นเคลื่อนไหวได้เหมือนสิ่งมีชีวิต เจ้าตัวกลมแหงนหน้ามองตามที่ชีวาพรชี้บอก แถมยังยกมือป้อมๆ ขึ้นมาประกบไหว้...เขามองเจ้าหนูนั่นอย่างพิจารณา แล้วจึงเห็นว่าเจ้าตัวมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูเกินกว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีเด็กที่ไหน... คำถามอื้ออึงอยู่ในอก ธีทัตยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าแรงๆ เมื่อคำพูดของก่อฤกษ์วนเข้ามาในหัวอีกหน หากคราวนี้เขาสลัดมันออกไปอย่างเร็ว เด็กคนนั้นเป็นใคร เขาไม่สนใจ ชีวาพรมีสามีใหม่หรือเปล่า เขาไม่อยากคิด... รู้แต่ว่าเวลานี้เขาต้องพบตัวเธอให้ได้ก่อน“เฮียธีร์ต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน อยู่ๆ ก็ตะโกนเรียกเมียเก่ากลางห้องประชุม แล้วผลุนผลันออกไป ทั้งที่ผู้บริหารยังนั่งอยู่ครบองค์ประชุม”ชนกันต์ที่อยู่ในเหตุการณ์ชวนงงเดินเข้ามาในห้องทำงานของภพธรแล้วบอกเสียงเหนื่อยหน่ายใจ เขารู้สึกว่างานนี้พี่ชายใหญ่ทำเรื่องเพี้
มือเรียวบางลูบศีรษะเล็กทุยที่มีเรือนผมสีดำปกคลุม น้องพร้อมเป็นเด็กทารกที่มีผมดกดำและนุ่มมือ อีกทั้งแววตาที่เหมือนรู้ความเกินกว่าเด็กวัยสิบเดือน ยังไม่นับรวมถึงการเจริญเติบโตด้านร่างกายที่ได้ไต่ไปอยู่ตรงขอบบนของเกณฑ์เด็กวัยเดียวกันแล้ว...ทั้งหมดนี้ทำให้น้องพร้อมกลายเป็นเด็กน้อยที่น่ารักและน่ามองสำหรับผู้คนที่ได้พบเห็น บ่อยครั้งที่ใครต่อใครมักเข้ามาทักทายและหยอกเย้าลูกของเธอ ชีวาพรนำลูกใส่ในเป้อุ้มเด็กแล้วเดินเลียบถนนในซอยเข้าไปด้านใน ทารกน้อยตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเธอก็พูดคุยกับลูกไปด้วย “เมื่อก่อนคุณตา คุณลุง คุณป้า และแม่เคยอยู่ที่นี่ บ้านเดิมของเราอยู่ในซอยนี้ แม่จะพาน้องพร้อมไปดูบ้านของครอบครัวเรานะคะ”ทารกวัยสิบเดือนอาจไม่เข้าใจว่าแม่กำลังพูดเรื่องอะไร แต่เจ้าตัวคงจับสัญญาณความรู้สึกของแม่ได้ ดวงหน้าเล็กกลมจึงเงยขึ้นไปมองแม่ จนแม่ต้องก้มลงไปหอมแก้มกลมๆ...ซึ่งเพียงเท่านั้นคนเป็นแม่ก็ได้รับรอยยิ้มอย่างเด็กอารมณ์ดีจากลูกคืนมาแล้ว“ตอนแม่เป็นเด็ก หลังกลับจากโรงเรียน แม่จะชวนพี่เลี้ยงออกมาเดินเล่นในซอยนี้ โน่นไง น้องพร้อมเห็นไหม รถเข็นขายขนมยังอยู
เช้าวันต่อมา รถรับจ้างขนของจากเชียงรายแล่นมาถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่ย่านรามอินทราในเวลาสาย หลังจากข้าวของถูกขนย้ายเข้าไปในห้องพักของผู้อาศัยที่ย้ายมาอยู่ใหม่เรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ใช้เวลาจัดห้องเกือบทั้งวัน ซึ่งกว่าจะเสร็จลงได้ก็แทบหมดแรงหากมีคนคนหนึ่งที่ยังสดชื่น เจ้าตัวคลานออกมาจากห้องนอนแล้วนั่งมองแม่กับคุณน้า ก่อนจะยิ้มเผล่หน้าเป็น“หนูตื่นแล้วหรือคะ”ชีวาพรปราดไปอุ้มลูกชายตัวกลมไว้ในอ้อมแขน ในระหว่างที่จัดห้องอยู่ด้านนอก เธอพาลูกเข้าไปนอนกลางวันอยู่ในห้องนอนขนาดเล็กที่กั้นไว้อย่างเป็นสัดส่วนแม้เป็นสถานที่แปลกใหม่ แต่น้องพร้อมไม่ได้ร้องไห้งอแงเมื่อตื่นนอนแล้วไม่เห็นแม่ แต่เจ้าตัวกลมกลับคลานออกมาหาแม่ตามเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยตัวเอง“เด็กอะไรรู้ความขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพอพาไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก บูบุ๊ยจะร้องไห้หรือเปล่า”นิสาพูดไปตามความรู้สึก หากชีวาพรหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามเข้มแข็ง หากหัวอกของแม่ย่อมไม่อยากห่างจากลูก เธอมีความเป็นห่วงลูกอยู่เต็มหัวใจ จนถึงวันนี้เธอยังกลัวไปสารพัด...กลัวว่าใครจะทำให้ลูกของเธอเจ็บ เมื่อลูกกลัวและร้องไห้ แล้วจะมีใครอุ้มและปลอบโยนลูกของเธอไ
ห้องชุดแบบหนึ่งห้องนอน ขนาดห้องแค่พออยู่ นิสามองไปรอบๆ ห้อง แล้วขมวดคิ้วมุ่นมันอุดอู้เกินไป สงสารเจ้าก้อนน้อยจัง...หากเธอไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ว่าชีวาพรเลือกที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่กำลังเอื้อมถึงแล้ว ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานการณ์การเงินของเพื่อนคงไม่ดีนัก“ฉันยังค้างเงินเธออีกหนึ่งแสนกว่าบาท ฉันจะขอคืนสี่หมื่นก่อน พอสิ้นเดือน ฉันจะได้เงินค่ารื้อถอนร้าน ฉันค่อยปิดหนี้ทั้งหมดให้เธอ”“ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเงินเท่านี้ใช่ไหม เก็บไว้กินใช้เถอะ ฉันยังมีเงินสำรองใช้ทั้งปีและฉันกำลังจะมีงานที่โรงแรมทำ ส่วนเธอยังไม่มีอะไรแน่นอน ค่อยคืนฉันตอนที่เธอได้เงินมาแล้ว”มันเป็นจริงอย่างที่ชีวาพรพูด เงินสี่หมื่นที่นอนอยู่ในบัญชีเป็นเงินก้อนสุดท้ายของเธอ เธอควรเก็บไว้กินข้าวและจ่ายค่าเช่าห้องระหว่างหาช่องทางทำมาหากินต่อไป แต่พอหันไปมองหลานรักที่กำลังเกาะโซฟาเดิน เธอก็รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย...เฮ้อ! ทำไงดีล่ะ อยากให้บูบุ๊ยมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้ “มันไม่ได้แย่ แค่ห้องเล็กลง ตึกนี้มีคนอยู่เป็นครอบครัวตั้งหลายห้อง ห้องแค่นี้แต่เขาอยู่กันหลายคนได้ ส่วนฉันอยู่กับน้องพร้อมแค่สองคน เรามีพื้นที่ใช้สอยมากก