ลุงซุนโผล่มาจากไหนพูดขึ้นดังๆ ศรีไพรยิ้มหยันอี้เอ่อ่ร์เบ้ปาก“ตาแก่ นางเป็นคนปรุงนางเหนื่อยกว่าเฟยฟางและพวกเรา อีกทั้งยังต้องแบกรับคำว่าถูกใจหรือไม่โปรดปรานหรือเปล่า”ป้าตื้อตวาดแว๊ด“ไม่ใช่นางที่แบกรับคนที่แบกรับคือเฟยฟาง นางต่างหากที่ต้องรับหน้าแทนหากวันไหนฝ่าบาทโปรดปรานเข่อชิงนางก็ได้ของกำนัลมากกว่าเฟยฟางด้วยซ้ำ แต่หากวันไหนฝ่าบาทไม่โปรดขึ้นมาเกรงว่ามีแต่เฟยฟางที่นั่งรอคมดาบที่ลานประหาร”“ไม่เป็นไร จริงอย่างลุงซุนพูดหากให้ข้าไปยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อต่อหน้าฝ่าบาทอะไรนั่นข้าก็คงไม่เอาข้าพอใจที่จะอยู่ตรงนี้ เฟยฟางถือว่าช่วยข้าหากนางจะได้เบี้ยหวัดมากกว่าข้าก็เป็นธรรมดา”อี้เออ่ร์กระตุกชายเสื้อของศรีไพรด้วยความรู้สึกขัดใจ ศรีไพรเอื้อมมือตบที่หลังมือของอี้เอ่อร์เบาๆ“ดีแล้ว คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้วเดิมเจ้าก็ไม่ได้อยากจะเด่นดังอะไรอยู่แล้วนี่ วันๆเอาแต่หาทางอู้หลบนอนกลางวันได้ขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”ป้าตื้อถอนหายใจยาว“ตาแก่ไปเถอะ ไปดูวัตถุดิบที่เขานำมาสั่งไปตรวจนับกันทางนี้ปล่อยนางไปเถอะ”ป้าตื้อดันหลังลุงซุนให้เดินไปยังโรงเก็บวัตถุดิบ“พี่ พี่เข่อชิงท่านไม่รู้สึกอะไรจริงหรือท่านไม่เจ็บใจหรือข้า
“อาจเป็นเพียงนางในห้องเครื่องที่ต้องการ ส่งสัญญาณบางอย่าง”เป่ยกงกงตั้งข้อสังเกต“นั่นสินะนางคงแค่อยากจะบอกว่านางแกะสลักได้งดงาม แต่สำหรับข้าแล้ว หากใครสักคนสามารถใส่สิ่งแปลกปลอมลงไปในถาดเครื่องเสวยโดยที่คนอื่นไม่รู้นั่นนับว่านางมีความสามารถหลบหลีกสายตาคนอื่นได้ดี แต่บางทีอาจเป็นเพราะคนในห้องเครื่องหรือคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ บกพร่องกงกงท่านว่าหากเป็นข้อหลังข้าก็ควรจะสั่งลงทัณฑ์คนที่ทำอะไรแบบนี้หรือว่าลงทัณฑ์คนที่ ไม่ตรวจตราให้ดีกันแน่”เป่ยกงกงประสานมือ“กระหม่อมส่งคนสืบเรื่องนี้หากมีการละเลยเรื่องความปลอดภัยในเครื่องเสวยจริงจะต้องลงทัณฑ์ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะกระหม่อมเคยกำชับเรื่องนี้แล้วว่าฝ่าบาททรงเป็นกังวลเรื่องยาพิษในเครื่องเสวยที่สุด”หนิงหลงยังคงไม่พูดว่าอย่างไร“บางทีเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าจะลงทัณฑ์พวกเขาได้เพราะหากแค่นางในคนหนึ่งที่อยากจะอวดฝีมือแกะสลักของตัวเองข้าก็ไม่ควรกดดันพวกเขา”เป่ยกงกงพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ“ฝ่าบาทที่กลับมาจากด่านชายแดนในครั้งนี้ทำให้กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทเติบโตขึ้นมากทีเดียว ไท่ซางหวงที่พูดก่อนสวรรคตว่าให้กระหม่อมคอยยืนเคียงข้างฝ่าบาทไม่ว่าจะ
ศรีไพรรีบวิ่งไปที่นั่นในทันทีแบบที่ไม่ต้องคิดอะไร ใช่แล้วบางทีนี่อาจจะพาศรีไพรกลับไปโลกปัจจุบันได้ ทหารเดินยามตีเหล็กแผ่นบอกว่ากำลังจะผ่านยามจื่อ (23.00-24.59น.) ไปแล้วเข้าสู่ยามโฉว่ (01.00-02.59น.) ศรีไพรก้าวเข้าไปยืนที่ตรงกลางแสงนั่นก็รู้สึกเหมือนเวลาหยุดลงในทันทีแสงสว่างนั่น หมุนวนรอบๆ ตัว แล้วก็จางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่“ทำไม ทำไมไม่พาฉันกลับไปเล่า ทำไมนี่มันอะไรกันในเมื่อมาได้แล้วทำไมกลับไม่ได้”อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลรู้สึกเศร้าอย่างที่สุดใจหายอย่างที่สุด ดวงจันทร์ในคือวันเพ็ญเคลื่อนตัวออกจาเงามืดของเมฆ ศรีไพรตัวชาวาบ อะไรบางอย่างตีกันในหัว เกี่ยวอะไรกับดวงจันทร์ ต้องเกี่ยวกับดวงจันทร์แน่ วิ่งออกไปด้านนอก“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”ทหารยามทำสีหน้างุนงงงัวเงียด้วยเพิ่งจะแอบงีบ เงยหน้ามองดวงจันทร์“ยามโฉว่กำลังยามโฉว่ข้าได้ยินเขาตีบอกเวลา แม่นาง ท่านมาทำอะไรเวลานี้”ศรีไพรยิ้มแหย๋ๆ เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเวลาของจีนแม้แต่น้อยว่าแต่ยามโฉว่นี่มันเวลาเท่าไหร่กัน“เอ่อ ข้ามาดูว่าเตาฟืนมอดดับไปหรือยังกลัวว่าไฟจะไหม้”ทหารยามพยักหน้าเชิงเข้าใจ ศรีไพรถอนหายใจเดินกลับห้องพัก อยากจะปลุกอี
“ไม่เพคะ แครอทก็แค่ผักที่ใช้ทำให้สีสันของอาหารงดงามขึ้นก็เท่านั้นส่วนมากแล้วก็จะไม่มีประโยชน์ด้านอื่น”“อืมมม หากเจ้าพูดเช่นนี้เข้าก็พอจะเข้าใจแล้ว แต่เมื่อวานข้าก็เห็นว่ามีแครอทเป็นผักเคียงในน้ำพริก และก็เข้ากันได้ดีกับน้ำพริก”เป่ยกงกงถอนหายใจ เฟยฟางไม่ได้ไปต่อในเมื่อคำตอบของนางกระจ่างชัดเพียงนั้น“หากฝ่าบาทโปรดปรานแครอท ต่อไปในทุกวันจะมีแครอทเพคะ”หนิงหลงยิ้มบางๆ“ข้าแค่อยากจะลองส่งแครอทให้กับหยินกุ้ยเฟยได้ลองชิมแต่ไม่รู้จะหั่นแบบไหนให้สวยงามให้ตรงกับความรู้สึกของข้าที่มีต่อนาง เจ้าพอจะมีวิธีไหม”เฟยฟางยิ้มหวานหยด เป่ยกงกงถอนหายใจยาวรอไว้ก่อนแล้ว“หากเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทประทานเฟยฟางคิดว่าอย่างไรเสียพระนางหยินกุ้ยเฟยจะต้องดีพระทัยอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ใจในการหั่น”หนิงหลงยิ้มบางๆ หันไปสบตาเป่ยกงกงเป่ยกงกงส่ายหน้าไปมานางในห้องเครื่องอีกคนยกแตงโมในถาดกระเบื้องเคลือบที่มีฝาปิดเข้ามาส่งต่อให้เฟยฟางที่รับไปวางลงตรงหน้าหนิงหลง“เจ้าไปพักเถิดหมดหน้าที่แล้ว”เฟยฟางย่อกายลงงดงามก่อนจะก้าวออกจากห้องเสวยไป“เสวยเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เป่ยกงกงเอื้อมมือจตั้งใจจะเปิดฝาถาดกระเบื้องเคลือบออก“พระพันป
ไทเฮาคิดไปไกล“เสด็จ คิดมากไปแล้วนางก็คงแค่อยากให้แตงโมธรรมดานี้สวยงามขึ้นมา”“แต่”ไทเฮาเดินวนรอบถาดมังกรแตงโมไปมา“ลวดลายประณีตงดงาม ละเอียดอ่อนจนข้าไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะทำอะไรแบบนี้ได้”“สวย”“จะเรียกว่าสวยก็ใช่ ทั้งสวยทั้งอ่อนช้อยทั้งสมบูรณ์แบบ”เป่ยกงกงอมยิ้ม“หากจะมีใครสักคนที่มีฝีมือด้านการแกะสลักเพียงนี้ก็ควรจะยกย่องให้เขากว่าใคร และให้นางคอยสั่งสอนพวกนางในห้องเครื่องที่ไม่ได้เรื่องพวกนั้น ข้าคิดออกแล้วไม่ต้องให้นางปรุงเครื่องเสวยแต่ให้นางคอยสอนเหล่านางในห้องเครื่องให้มีความสามารถทัดเทียมนางคราวนี้วังหลวงของเราก้จะมีคนที่มีความสามารถด้านนี้มากมาย” ไทเฮายิ้มดวงตาเป็นประกายหมายมั่นว่าจะต้องผลักดันเรื่องนี้““เสด็จแม่เสวยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้างในเนื้อแตงโมสีแดงฉ่ำรสชาติจะต้องถูกใจแน่ๆ เป่ยกงกงจะเริ่มจากตรงไหน”หรวนหนิงหลงพูดไปยิ้มไปเปลี่ยนเรื่องเสียเป่ยกงกงหยิบมีดไม้ไผ่บางเฉียบที่ใช้แทนมีดจรดลงบนตัวมังกร กลืนน้ำลายลงคอช้าๆไทเฮาเองก็ใจจดจ่อที่ไม้ไผ่บางนั้นตำหนักจันทรา“เมื่อวานฝ่าบาททรงประทานเครื่องเสวยที่นางในห้องเครื่องคนใหม่ที่ปรุงเครื่องเสวยหนึ่งเดียวที่ทำให้ฝ่าบาทยอมเสวยในรอบหลายว
คนในห้องเครื่องจะตื่นอีกทีตอนที่สามที่นี่จะคึกคัก ทั้งก่อไฟ หุงข้าวต้มแกงหรือตุ๋นบางทีหากตำหนักไหนอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษ ก็จะมีนางกำนัลของตำหนักนั้นๆ มาแจ้งก่อนเวลาคำของวันนั้นเพื่อว่าพรุ่งนี้จึงทำได้ทันเวลาหนิงหลงยิ้มคิดถึงขนมก้อนจำพวกน้ำตาลก้อนขนมเปี๊ยะไส้ต่างๆ และขนมถั่วบด หนวดมังกร เดินสอดส่ายสายตามองหาโถขนมที่เป่ยกงกงเคยบอกมองเห็นโถขนมหลากหลายเรียงรายอยู่ด้านบนชั้นสูงเอื้อมมือหยิบโถขนมลงมาด้านล่าง ยิ้มด้วยความดีใจ นั่งลง กัดกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย ความหอมหวานขอิงขนมทำให้คิดถึงเรื่องราวในอดีตที่หอมหวานเช่นกันกับขนมอีกด้าน ศรีไพรย่องเข้ามาในห้องเครื่องจากด้านหลัง อากาศหนาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตาไฟที่ครุกรุ่นพอให้ได้ไออุ่น ห้องเครื่องที่กว้างใหญ่แห่งนี้มีคนทำงานนับร้อยทำเครื่องเสวยเกือบยี่สิบตำหนักเลี้ยงคนเป็นพันคน ศรีไพรโชคดีแค่ไหนรับผิดชอบแค่คนแก่คนหนึ่งเท่านั้นคิดไปยิ้มไปเมนูของเครื่องเสวยพรุ่งนี้คิดออกแล้วแต่ต้องมาหมักหมูเสียหน่อยแช่ข้าวเหนียวเสียนิดข้าวเหนียวที่นี่เขาไม่นิยมกินกันส่วนมากบดทำแป้งสำหรับขนม จำพวกขนมไหว้พระจันทร์ ข้าวเหนียวอยู่ทางด้านนั้น หมูอย่างสุดทางเดิน ยังพอมีเ
แต่ตอนนี้เขาพอจะลำดับเรื่องราวได้ เข่อชิงชื่อที่นางในห้องเครื่องนามอี้เอ่อร์เอ่ยถึงในวันนั้น“ก็จริงนะทุกวันนี้ต้องปรุงให้คนแก่เรื่องมากคนนั้นกินคนเดียว ไม่รู้ว่าเรียกว่าเซฟได้หรือเปล่า”หนิงหลงยังรุกไม่หยุดสะดุดหูกับคำว่าคนแก่เรื่องมาก“คนแก่เรื่องมาก คนนั้นเจ้าหมายถึงใคร”น้ำเสียงแกว่งๆ ในตอนท้ายหากเป็นเวลาปกติเขาคงตวาดนางดังลั่น“ก็คนแก่ที่เรื่องมากปัญหาเยอะ ช่างเถอะอย่ารู้เลยว่าแต่จะกินอะไรประเดี๋ยวเตาไฟมอดเสียหมด”“อากาศหนาว คงต้องกินอะไรร้อนๆ”วางโถขนมลง“อืมมมมข้ากำลังจะหมักหมูพอดี เรามากินชาบูกันดีไหม”“ชาบู”หนิงหลงขมวดคิ้ว ทวนคำพูดของศรีไพรไอ้เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรศรีไพรยกหม้อใบไม่ใหญ่นักวางบนเตาที่เตี้ยสุด เติมน้ำซุปไก่ เทพริกหมาล่าหรือชวงเจียลงไปรอเดือด“มาเถอะ ข้าโขลกพริกหมาล่าไว้เมื่อวานจากชวงเจียสดๆ หอมมากพอดีเลยในหม้อมีน้ำซุปไก่เหลือเราแค่เอา พริกหมาล่าที่ข้าโขลกใส่ลงไปรอเดือด ท่านไปหยิบผักที่ท่านชอบกินและอยากกินมาหั่นเสีย แล้ววางไว้ส่วนข้าจะไปหั่นหมูให้บางเฉียบ เสียดายไม่มีอย่างอื่นเอาไว้วันหลังพี่สาวจะทำลูกชิ้นและเลือกเนื้อวัวสวยๆ ไว้กินชาบูกัน”ยังจะมีวันหลังอีกหรือ
นับหนึ่งถึงสิบยกถ้วยน้ำจิ้มส่วนตัว ที่แบ่งไปวางตรงหน้าหนิงหลงแล้วหนึ่งชุดขึ้นมาจุ่มหมูที่จุ่มลงไปในระยะเวลา10วินาทีโดยประมาณเวลาขนาดนี้จึงเหมาะแก่การจุ่มเนื้อสัตว์ลงไปให้หวานนุ่มพอดีไม่สุกจนเหนียวหรือไม่ดิบจนเกินไปอ้าปากสีแดงระเรื่อกว้างสุดกว้างยัดหมูร้อนๆ ที่มีไอร้อนลอยเข้าปาก รสเปลี่ยวเผ็ดของน้ำจิ้มและความร้อนทำเอาศรีไพรต้องยกมือขึ้นป้องปาก เคี้ยวงับๆ ซู๊ดปากไปพราง“อือออออร่อยจัง ตาท่านแล้วน้องชาย”แววตาแห่งความสุขที่หนิงหลงเห็นสัมผัสได้ เกือบทำให้หนิงหลงยิ้มยาม เมื่อเห็นศรีไพรมีความสุขกับการกินหนิงหลงใช้ตะเกียบในมือช้อนแผ่นเนื้อหมูขึ้นมาบ้างแล้วเองลงไปจุ่มในน้ำ“หากอยากให้สุกน้อยแกว่งไปมาแล้วนับแต่ถ้าอยากสุกมากจุ่มไว้นิ่งๆ”ศรีไพรคีบหมูมาอีกสลับกับคีบผักไปจิ้มกับน้ำจิ้มหนิงหลงนับจนครบสิบ แล้วยกเนื้อหมูขึ้นจุ่มลงไปในน้ำจิ้มศรีไพรใช้ช้อนตักน้ำจิ้มโปะลงบนเนื้อหมูของหนิงหลง“ไม่เผ็ดหรือ”ศรีไพรอมยิ้ม“คำแรกต้องจัดหนัก แล้วคำต่อไปจึงค่อยเบาลงนี่คือสูตรของข้าเอง รับรองเด็ดจนต้องร้องขอชีวิต”หนิงหลงคีบหมูยัดเข้าไปในปากศรีไพรคีบผักกาดขาวที่ลวกจนได้ที่วางในถ้วยให้พยักหน้ารัวรัว หนิงหลงม