แต่ตอนนี้เขาพอจะลำดับเรื่องราวได้ เข่อชิงชื่อที่นางในห้องเครื่องนามอี้เอ่อร์เอ่ยถึงในวันนั้น“ก็จริงนะทุกวันนี้ต้องปรุงให้คนแก่เรื่องมากคนนั้นกินคนเดียว ไม่รู้ว่าเรียกว่าเซฟได้หรือเปล่า”หนิงหลงยังรุกไม่หยุดสะดุดหูกับคำว่าคนแก่เรื่องมาก“คนแก่เรื่องมาก คนนั้นเจ้าหมายถึงใคร”น้ำเสียงแกว่งๆ ในตอนท้ายหากเป็นเวลาปกติเขาคงตวาดนางดังลั่น“ก็คนแก่ที่เรื่องมากปัญหาเยอะ ช่างเถอะอย่ารู้เลยว่าแต่จะกินอะไรประเดี๋ยวเตาไฟมอดเสียหมด”“อากาศหนาว คงต้องกินอะไรร้อนๆ”วางโถขนมลง“อืมมมมข้ากำลังจะหมักหมูพอดี เรามากินชาบูกันดีไหม”“ชาบู”หนิงหลงขมวดคิ้ว ทวนคำพูดของศรีไพรไอ้เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรศรีไพรยกหม้อใบไม่ใหญ่นักวางบนเตาที่เตี้ยสุด เติมน้ำซุปไก่ เทพริกหมาล่าหรือชวงเจียลงไปรอเดือด“มาเถอะ ข้าโขลกพริกหมาล่าไว้เมื่อวานจากชวงเจียสดๆ หอมมากพอดีเลยในหม้อมีน้ำซุปไก่เหลือเราแค่เอา พริกหมาล่าที่ข้าโขลกใส่ลงไปรอเดือด ท่านไปหยิบผักที่ท่านชอบกินและอยากกินมาหั่นเสีย แล้ววางไว้ส่วนข้าจะไปหั่นหมูให้บางเฉียบ เสียดายไม่มีอย่างอื่นเอาไว้วันหลังพี่สาวจะทำลูกชิ้นและเลือกเนื้อวัวสวยๆ ไว้กินชาบูกัน”ยังจะมีวันหลังอีกหรือ
นับหนึ่งถึงสิบยกถ้วยน้ำจิ้มส่วนตัว ที่แบ่งไปวางตรงหน้าหนิงหลงแล้วหนึ่งชุดขึ้นมาจุ่มหมูที่จุ่มลงไปในระยะเวลา10วินาทีโดยประมาณเวลาขนาดนี้จึงเหมาะแก่การจุ่มเนื้อสัตว์ลงไปให้หวานนุ่มพอดีไม่สุกจนเหนียวหรือไม่ดิบจนเกินไปอ้าปากสีแดงระเรื่อกว้างสุดกว้างยัดหมูร้อนๆ ที่มีไอร้อนลอยเข้าปาก รสเปลี่ยวเผ็ดของน้ำจิ้มและความร้อนทำเอาศรีไพรต้องยกมือขึ้นป้องปาก เคี้ยวงับๆ ซู๊ดปากไปพราง“อือออออร่อยจัง ตาท่านแล้วน้องชาย”แววตาแห่งความสุขที่หนิงหลงเห็นสัมผัสได้ เกือบทำให้หนิงหลงยิ้มยาม เมื่อเห็นศรีไพรมีความสุขกับการกินหนิงหลงใช้ตะเกียบในมือช้อนแผ่นเนื้อหมูขึ้นมาบ้างแล้วเองลงไปจุ่มในน้ำ“หากอยากให้สุกน้อยแกว่งไปมาแล้วนับแต่ถ้าอยากสุกมากจุ่มไว้นิ่งๆ”ศรีไพรคีบหมูมาอีกสลับกับคีบผักไปจิ้มกับน้ำจิ้มหนิงหลงนับจนครบสิบ แล้วยกเนื้อหมูขึ้นจุ่มลงไปในน้ำจิ้มศรีไพรใช้ช้อนตักน้ำจิ้มโปะลงบนเนื้อหมูของหนิงหลง“ไม่เผ็ดหรือ”ศรีไพรอมยิ้ม“คำแรกต้องจัดหนัก แล้วคำต่อไปจึงค่อยเบาลงนี่คือสูตรของข้าเอง รับรองเด็ดจนต้องร้องขอชีวิต”หนิงหลงคีบหมูยัดเข้าไปในปากศรีไพรคีบผักกาดขาวที่ลวกจนได้ที่วางในถ้วยให้พยักหน้ารัวรัว หนิงหลงม
“ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าท่านชื่ออะไรน้องชาย”หรวนหนิงหลงมีสีหน้าครุ่นคิดไม่คิดว่านางจะอยากทราบชื่อเขาด้วยซ้ำ“ขะขะข้าชื่อหนิงเอ่อร์”ศรีไพรยิ้ม“อี้เอ่อร์ หนิงเอ่อร์ทำไมพวกเจ้าต้องมีคำว่าเอ่อร์ รู้ไหมคำว่า เอ่อ สำหรับข้า มันฟังแปลกแต่ช่างเถอะจำง่ายดี ไว้พบกันใหม่…อือ ยินดีที่รู้จักด้วยเกือบลืมไป”หนิงหลงยิ้มน้อยๆ ศรีไพรโบกมือลาราวกับว่าจะไม่ได้พบกันอีกหนิงหลงหายไปในความมืด“ใกล้จะเที่ยงคืน”ศรีไพรพุ่งตัวเข้าไปในห้องเครื่องวิ่งไปที่กองขิงและกองมันฝรั่ง ที่ที่จำได้ว่าเห็นแสงหลากสีตรงนั้น“ใกล้แล้วใกล้แล้วสิ ขอให้เป็นอย่างที่คิดด้วยเถิด สาธุ”เที่ยงคืนของในทุกวัน แสงหลากสีจะต้องปรากฏและพาคนบางคนข้ามผ่านกาลเวลา หลับตาลงช้าๆ นับถอยหลังดังๆ“4….3….2….1”ลืมตาขึ้นไม่มีแสงไม่มีอะไรมีเพียงความว่างเปล่าและหนาวเหน็บเสียงนกเค้าแมวร้องอยู่บนหลังคา ห้องเครื่อง คล้ายกับเย้ยหยันศรีไพรศรีไพรน้ำตาร่วงเผาะ“ไม่ใช่เที่ยงคืนแล้วยังมีเงื่อนไขอะไรอีกที่จะพาฉันกลับไป”เช้าวันใหม่ที่ไก่ป่าขันเจื้อยแจ๊ว ศรีไพรนอนซุกตัวในผ้าห่มหนา มือขวายังกำมีดมือซ้ายยังกำห่อผ้าที่มีลูกฟักทองที่คว้านเอาเมล็ดออก แกะสลักด้วยมีดท
อี้เอ่อร์อมยิ้มอดขำป้าตื้อเสียไม่ได้“พี่เขาแกะสลักแตงโมตั้งแต่เมื่อวานแต่ เฟยฟางกลับรับเอาของกำนัลไปเพียงลำพังข้าได้ยินลุงซุนบอกว่าไทเฮาเองก็อยากพบนาง นางก็คงได้ของกำนัลจากไทเฮาเพราะฝีมือของพี่เข่อชิง”ศรีไพรขมวดคิ้วส่ายหน้าไปมาห้ามอี้เอ่อร์ไม่ให้พูดเรื่องนี้“ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่เพียงนี้ แต่ตาแก่นั่นกลับเอาใจเฟยฟาง”“ป้าตื้อ ข้าจะต้องรีบทำเครื่องเสวย ท่านป้าขอเวลาข้าก่อน”ป้าตื้อถอนหายใจ“เข่อชิงเรื่องนี้เจ้ายอมได้ข้ายอมไม่ได้”ลุกจากเก้าอี้เดินจากไปเพื่อจะไปพูดเรื่องนี้กับสามีหรือลุงซุนนั่นเองศรีไพรส่ายหน้าไปมาศรีไพรนำฟักทองไปล้างน้ำจนสะอาด กรอกส่วนผสมทั้งหมดลงไปในผลฟักทองที่แกะสลักสองในสามสวน มองไปที่ซึ้งที่ยกขึ้นตั้งไฟไว้ไอน้ำลอยขึ้นมาให้เห็นพอดี ศรีไพรนำฟักทองไปนึ่ง ปิดฝาซึ้งให้มิด“พี่เข่อชิงมันจะออกมาหน้าตาแบบไหนแล้วจะอร่อยไหม”อี้เออ่ร์ถามด้วยนิสัยช่างสงสัยของนาง“รับรองว่า คนกินจะต้องชอบ หากเจ้าอยากกินไว้เสร็จจากทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาทแล้วพี่เข่อชิงจะทำให้เจ้าได้ชิมอีกลูกหนึ่ง อือข้าคิดออกแล้วเจ้าจะต้องลงมือด้วยตัวเอง ข้าจะคอยสอนเจ้าอยู่ใกล้ๆ ดีไหมจะได
เปิดฝาครอบฟักทองสังขยาออก ใช้มีดหั่นฟักทองเป็นชิ้นเล็กหนึ่งซีกใช้มีดสอดไปใต้ชิ้นฟักทองที่หั่นออกมามืออีกข้างประคองชิ้นที่หั่นไว้ ดึงขยับออกมาเพียงนิดให้เห็นว่ามาจากฟักทองทั้งลูก สีเหลืองใสของฟักทองกับสีครีมของสังขยาช่างน่ามองอีกทั้งยังมีลวดลายของเนื้อฟักทองที่แกะสลักนั่นอีก“ข้าหั่นไว้แล้วหากฝ่าบาทเสวยหมดแล้วเจ้าก็แค่หั่นตามแบบของข้า”อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบๆเฟยฟางกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ อี้เอ่อร์ยิ้มสังเกตอากัปกิริยาของเฟยฟางไม่วางตา“อีกสิบปีเจ้าก็ไม่มีทางเทียบพี่เข่อชิงของข้าได้”กระซิบที่เฟยฟางเบาๆเฟยฟางก้มหน้าซ่อนยิ้มมุมปาก ยกถาดเครื่องเสวยไปพร้อมกับนางในห้องเครื่องอีกสองคน“ฝ่าบาทเมื่อคืนเอ่อ…”หรวนหนิงหลงเงยหน้าขึ้นดวงตาสดใส“เมื่อคืนชาบูอร่อยมาก รสดีที่สุด ลงตัวที่สุด”เป่ยกงกงเลิกคิ้วสูง อมยิ้ม“ชาบู คือสิ่งใด”“ชาบูก็คือ เครื่องเสวยที่เหมาะกับอากาศหนาว และหากได้นั่งกินไปพร้อมกับใครสักคนที่เรามีเรื่องคุยกับเขาช่วงเวลานั้น…นับว่าเหมาะกับการกินเครื่องเสวยชนิดนี้”เป่ยกงกงทำสีหน้าจริงจัง“ฝ่าบาททรงเอ่ยปากกับนางเรื่องที่ฝ่าบาทอยากจะได้คำตอบหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”“ความจริงหากเอ่ยปากกับนางเร
เฟยฟางยกถาดหมูปิ้งไปวางตรงหน้าหนิงหลงเปิดฝาครอบหมูปิ้งออกกลิ่นหอมยังอบอวลเข้าจมูก“ฝ่าบาทยังไม่ทันได้ทดสอบพิษในเครื่องเสวย”เป่ยกงกงประสานมือ“ไม่ต้อง”เป่ยกงกงขมวดคิ้ว“ฝ่าบาทจะต้องเสวยด้วยมือเพคะ”หรวนหนิงหลง หยิบหมูปิ้งขึ้นมากัด ยังไม่ทันที่เป่ยกงกงจะทันได้ห้าม“ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองหากมีพิษ หากมีใครใส่ยาพิษไว้ในเครื่องเสวย”หนิงหลงเคี้ยวหมูปิ้งงับๆ จกข้าวเหนียวมาใส่ปากแล้วก็หยิบผักมากัดตามไปติดๆ“อืออ รสดีจริงๆ แล้วนี่คืออะไร”เฟยฟางยิ้มเลื่อนถ้วยจิ้มแจ่วไปตรงหน้า“นี่คือน้ำจิ้มแจ่ว หากหมูปิ้งที่กินรสไม่จัดจานพอก็ให้กินกับของสิ่งนี้”หนิงหลงใช้ช้อนตักน้ำจิ้มแจ่วราดไปบนหมูปิ้งเหมือนที่ศรีไพรราดน้ำจิ้มลงบนหมูแกว่งในชาบู“ฝ่าบาท รสจะเผ็ดเกินไปพ่ะย่ะค่ะเห็นได้ชัดว่า พริกแดงจนน่ากลัวเกรงว่าพระนาภี (ท้อง) จะมีปัญหา”เป่ยกงกงร้องเสียงหลง“ก้มลงมา เป่ยกงกงท่านก้มลงมา”เป่ยกงกงเลิกคิ้วสูง แต่ก็ยอมก้มลงไปโดยดี“อ้าปาก”เป่ยกงกงอ้าปาก หรวนหนิงหลงยัดหมูปิ้งที่มีน้ำจิ้มแจ่ว ราดจนฉ่ำเข้าไปในปากเป่ยกงกง เฟยฟางเดินถอยออกไป“ขะขอบพระทัยฝ่าบาท”เคี้ยวหมูปิ้งที่เหลือครึ่งไม้สีหน้าบ่งบอกว่าประหลาดใจ“อ
“เฟยฟางแค่เพียงจะบอกว่าที่ทำทั้งหมดล้วนเพราะความใส่ใจ”น้ำเสียงสั่นเครือหนิงหลงยิ้มหยันในเวลาที่นางนอนหลับไหลแต่เป็นศรีไพรที่ไปหมักหมูแช่ข้าวเหนียวและหากเขาเดาไม่ผิดนางจะต้องแกะสลักแตงโมตั้งแต่เมื่อคืนเหมือนที่เฟยฟางแอบอ้าง“ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วย นางอาจพูดไปเพราะทันคิด”หรวนหนิงหลงกัดฟันจนเป็นสันนูน“ดี หากคิดว่าไม่ทันคิดข้าก็ย่อมอภัยให้เจ้า มื้อกลางวันข้าจะกินของที่ทำให้สมองโล่งและลดความขุ่นเคืองเพราะคำพูดของเจ้า”เฟยฟางก้มหน้าสะอื้นอย่างหนัก เป่ยกงกงถอนหายใจจะทำอะไรแบบไหนคนที่ต้องวิ่งวุ่นคือเข่อชิงคนนั้น ผิดแต่ตอนนี้พระทัยของฝ่าบาทเอนเอียงไปทางแม่นางเข่อชิงคนนั้นแม้มีบัญชาให้ยุ่งยากแต่ถึงเวลาก็ไม่ปฏิเสธเครื่องเสวยฝีมือแม่นางเข่อชิงอยู่ดี“ได้ยินชัดไหมสิ่งที่เจ้าต้องทำ ก็คือปรุงเครื่องเสวยให้ถูกใจข้า”คิดหาวิธีให้พวกเขายอมแพ้แล้วยอมรับผิดเสีย เฟยฟางลุกขึ้นย่อกายลงช้าๆก้มหน้าก้าวเดินจากไป“เป่ยกงกง ข้าชักจะหมดความอดทนกับนาง”“กระหม่อมเข้าใจดีพ่ะย่ะค่ะ ความจริงปรากฎแล้วสิ่งที่จะได้ชมต่อจากนี้ก็คือ ความเสแสร้งและการหลอกลวง”หรวนหนิงหลงถอนหายใจ“วานกงกง ไปที่ห้องเครื่องข้าอยากให้เ
“ฝ่าบาททรงมีบัญชาว่าต่อไปนี้เครื่องเสวยของสิบสองตำหนักจะต้องทำเครื่องเสวยเพียงชุดเดียวคือเครื่องเสวยที่เหมือนกันกับที่ฝ่าบาทเสวยในทุกมื้อ และหากใครอยากจะกินนอกเหนือจากนั้นก็ได้ไม่เกินตำหนักละหนึ่งอย่างต่อมื้อข้าละปวดหัวจริงๆต่อไป เจ้าจะต้องวิ่งวุ่นใครกันที่บังอาจไปพูดเรื่องที่ตำหนักต่างๆสั่งเครื่องสวยจนเกินตัว และเสวยไม่หมดฝ่าบาทรู้เข้าจึง ตั้งกฎขึ้นมาเสียใหม่ เพราะฝ่าบาทเป็นคนที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบยิ่งนัก”นี่ ถึงคราวซวยหรือว่าโอกาสนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอยากจะรับตำแหน่งเซฟ มาบัดนี้สมใจไหมเล่า ต่อไปจะต้องคอยบอกคอยสอนคนอื่นให้ทำตามที่ตัวเองทำมาตลอด จะว่างานเข้าก็ไม่ถูกฮ่องเต้คนนี้ตั้งใจทำอะไรกันแน่“เข้าใจแล้วแล้วมีอะไรที่หนักกว่านี้อีกไหม”“อีกไม่กี่วันจะถึง วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทไอี้เออ่ร์พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แห้งแล้ง ป้าตื้อเป่าลมหายใจออกจากปาก“จริงด้วยข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เจ้าคิดว่างานวันคล้ายวันพระราชสมภพ ทั้งขุนนางและองค์หญิงองค์ชายจนไปถึงฮ่องเต้ ท่านอ๋อง ของแคว้นต่างๆที่ตกเป็นเมืองขึ้นละที่สวามิภักดิ์กับแคว้นของเราต่างหลั่งไหลมาอวยพระพรเราจะต้องทำอาหารมากมายเพีย