“ว่าไงนะ!” รจนากับลีลาวดีถามขึ้นมาพร้อมกันเมื่อได้ยินสิ่งที่ปิ่นมณีเล่าให้ฟัง
“ก็อย่างที่พูดมานั่นแหละ ยายเจ๊นั่นเดินเอาขวดฉี่ไปสาดหน้าผัวแล้วก็ชู้กลางร้าน กลิ่นนี้เหม็นหึ่ง ขนาดฉันยืนอยู่ข้างนอกยังได้กลิ่นชัดเลย ไอ้ผัวจอมเจ้าชู้นั่นนะอย่างกับหมูตกบ่อฉี่เลยล่ะ” สิ้นเสียงของปิ่นมณี เสียงหัวเราะท้องแข็งก็ดังประสานกันขึ้นมา ทำเอาร้านเล็กๆ อย่างร้านช็อกโกแล็ตสั่นสะเทือน
“พูดถึงแล้วก็อยากเห็นหน้าแม่นั่นตอนโดนสาดฉี่จังเลยเนอะ” ลีลาวดีพูดทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดหัวเราะ
“แต่พี่ว่ามันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่หรอกนะ ผัวเมียไปตบตีกันในร้านอาหารสาธารณะเนี่ย เฮ้อ! โชคดีที่พี่ไม่คิดแต่งงาน ถ้ามาเจออย่างนี้เข้าคงซวยไปทั้งชาติ แต่ปิ่นก็ต้องระวังตัวด้วยนะ พี่ว่าไอ้งานแบบนี้มันเสี่ยงใช่ย่อย เราเองก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ถ้าเป็นไปได้เลิกทำเถอะ พี่ฟังแล้วยังอดกลัวแทนไม่ได้เลย ถ้าวันหนึ่งมันไม่ใช่แค่ฉี่ แต่เป็นพวกสารเคมีหรือว่าน้ำกรดขึ้นมา เราจะกลายเป็นคนบาปได้นะ ยังไงก่อนจะรับงานก็ดูให้ดีๆ ก่อนละกัน ยิ่งงานที่ค่าจ้างงามๆ เนี่ยมันน่าคิด เศรษฐกิจแบบนี้คงไม่มีใครเอางานง่ายๆ ที่จ่ายค่าจ้างแพงๆ มาให้ทำหรอก”
“แหม! พี่นาก็…ถ้าหนูรู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ หนูคงไม่ทำหรอก แต่แม้ว่ามันจะเป็นงานที่ดูไม่ดีนัก แต่มันก็ทำให้หนูปลดหนี้ได้นะคะ คราวนี้ตั้งใจจะจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้าสามเดือนเลย เวลาไม่มีตังค์ ยายป้ามหาภัยจะได้ไม่มาทวง พูดแล้วก็โทรหาดีกว่า” ปิ่นมณีพูดพลางยกหูโทรศัพท์หาเจ้าหนี้ทันที
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังต่อเนื่องอยู่สักพักก่อนจะตามมาด้วยเสียงตอบรับจากปลายสาย เมื่อปิ่นมณีได้ยิน เธอก็กรอกเสียงหวานใสตอบกลับไปทันที
“สวัสดีค่ะคุณป้า ปิ่นมณีเองนะคะ คือว่า…” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงปลายสายก็ดังแหววมาทันที
“ยายปิ่นปักผม! ยอมโผล่มาแล้วเหรอยะ แหม! ฉันโทรไปก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ปิดเครื่องหนี แล้วก็หายหัวไปนานสองนาน อยู่ดีๆ ก็โผล่มา หรือว่ามีปัญญาจ่ายค่าเช่าห้องฉันแล้ว” เสียงโหวกเหวกที่ดังลอดหูโทรศัพท์ออกมานั้นทำให้ลีลาวดีและรจนาต้องยกมือขึ้นปิดหู ทั้งสองแอบมองหน้าส่งสายตาเป็นเชิงเอือมระอาให้กันและกัน
“แหม! คุณป้าอย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิคะ พอดีช่วงนี้หนูมีเรื่องยุ่งนิดหน่อยน่ะค่ะ ก็เลยหายๆ ไป ต้องขอโทษด้วยนะคะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หนูจะเอาค่าเช่าห้องไปจ่ายให้คุณป้าแต่เช้าเลย แถมของสามเดือนข้างหน้าด้วยเลยนะคะ เผื่อหนูยุ่งๆ อีกคุณป้าจะได้ไม่ต้องทวง”
“ไปถูกหวยรวยโปมาจากไหนยะ ทำเป็นคุยโวว่าจะจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า น้ำหน้าอย่างหล่อนเนี่ยนะ แต่ก็เอาเถอะ…ฉันจะรอก็แล้วกัน หวังว่าพรุ่งนี้เช้าฉันคงได้เห็นหน้าหล่อนนะยะ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณป้า” ปิ่นมณีพูดอย่างยินดี แต่อีกฝ่ายคงไม่ได้ยินเพราะกระแทกหูโทรศัพท์วางดังโครมไปซะแล้ว
“จะวางสายก็ไม่บอก ยายแก่ไร้มารยาท”
ที่บริษัท ดรีมเมค อินเทอร์เรอร์
ทัดภูมิเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องทำงาน ใบหน้าบึ้งตึงของเขาทำให้พิมพ์จิตร เลขาฯ ส่วนตัวไม่กล้าแม้จะสบตา หล่อนได้แต่ก้มหน้าและแอบมองลอดแว่นหนาเตอะเมื่อเจ้านายรูปหล่อเดินผ่านไป หลังจากทัดภูมิเดินเข้าห้องไปได้ไม่นาน ศิรศักดิ์ผู้จัดการฝ่ายประสานงานประจำบริษัทก็เดินมาเคาะประตูหน้าห้อง ผ่านไป 2-3 นาทีจึงมีเสียงตอบดังลอดประตูออกมา
“เข้ามาได้!”
เมื่อศิรศักดิ์เปิดประตูเข้าไป เขาก็เห็นร่างของทัดภูมินั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าตาบูดบึ้ง ศิรศักดิ์ที่ตัวลีบอยู่แล้วจึงดูลีบเล็กลงไปอีก
“นั่งลงสิ!” เสียงแหบห้าวดังขึ้นห้วนๆ ศิรศักดิ์สะดุ้งสุดตัว เขามองอย่างหวาดๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวแข็งทื่อ ในบริษัทนี้ไม่มีใครไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวของเจ้านายรูปงาม เห็นท่าทางดูดี รูปหล่อพ่อรวยแบบนี้ก็เถอะ แต่เวลาทัดภูมิโกรธหรือโมโหขึ้นมาละก็จะอาละวาดจนใครก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน
“พวกคุณทำงานกันประสาอะไร อินเทอร์เรอร์หายตัวไปทั้งคนยังไม่มีใครรู้ แล้วเป็นไง งานที่ทำอยู่ก็ต้องหยุดชะงัก คุณรู้ไหมว่าบริษัทต้องเสียหายแค่ไหน ผมเองก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วเหมือนกัน ลูกค้ารายนี้มีความสำคัญกับเรามาก คุณภานิณีเป็นถึงลูกสาวของประธานบริษัทสกาย คอนสตัคชั่น บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่คอยสนับสนุนบริษัทของเราเชียวนะ เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของผม แล้วก็ของพวกคุณด้วย แต่คุณกลับไม่ให้ความสนใจเลยสักนิด”
“ขอโทษครับคุณทัด คือ…ผมทำงานสะเพร่าเอง ช่วงนั้นผมยุ่งมากจึงไม่ค่อยได้ดูแลคิวของพวกอินเทอร์เรอร์ มาทราบเรื่องก็ตอนที่ลูกค้าแจ้งว่าไม่ยอมเข้าไปทำงาน”
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าลูกค้ารายนี้สำคัญมาก ต้องดูแลเป็นอย่างดี คุณจะละเลยไม่ได้เด็ดขาด คุณเองก็ทำงานมานาน แล้วผมเองก็ให้ความไว้วางใจในตัวคุณมากด้วยเหมือนกัน แต่เหมือนว่าคุณจะไม่คิดอย่างนั้นเลย ผมเสียใจจริงๆ”
“ต่อไปผมจะระวังมากกว่านี้ครับ”
“เฮ้อ! แล้วอินเทอร์เรอร์คนใหม่จะเริ่มทำงานได้เมื่อไหร่” ทัดภูมิถามขึ้นพลางถอนหายใจเพื่อบรรเทาความเครียด
“มะรืนนี้ครับ เห็นว่าจบทางด้านการออกแบบภายในมาจากอเมริกา มีประสบการณ์ทำงานจากที่โน่นมาสองปี ฝีมือไม่เบาครับ”
“ตอนนี้ผมไม่สนใจหรอกนะว่าจะจบจากที่ไหนยังไง แค่ขอให้สานงานต่อให้เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์เป็นพอ คุณภาอยากได้บ้านส่วนตัวริมทะเลสาบสไตล์ยุโรป แล้วการออกแบบของธนกฤตก็ใช้ได้ คุณภาเธอชอบมาก แต่ธนกฤตดันหายตัวไป ผมกลัวว่าคนใหม่ที่มาแทนจะไม่ค่อยอยากทำงานที่มาจากความคิดของคนอื่นสักเท่าไหร่นัก หวังว่าคุณคงเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดนะคุณศิรศักดิ์”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณทัด ผมคุยกับเขาแล้ว และเขาก็ยินดีที่จะสานงานต่อ เขาเห็นแปลนที่ธนกฤตออกแบบไว้แล้วก็ชอบมาก อยากทำมันให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างน่ะครับ”
“งั้นก็ดี แล้วอย่าให้พลาดอีกล่ะ มีอะไรรายงานผมทันทีนะ เข้าใจไหม”
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ศิรศักดิ์กล่าวลาก่อนจะออกจากห้องไป พอร่างของศิรศักดิ์ลับหายไป ทัดภูมิก็กดโทรศัพท์หาพิมพ์จิตร เลขาฯ หน้าห้องทันที
“คุณพิมพ์เย็นนี้ห้าโมงผมมีนัดทานข้าวกับลูกค้าคนสำคัญ ถ้ามีเรื่องด่วนให้โทรหาผมได้ตลอดนะ อ้อ! แล้วก็ช่วยจองภัตตาคารเดิมให้สองที่ด้วย เอาที่นั่งที่ปลอดสายตาคนหน่อยก็ดี ลูกค้าผมชอบเงียบๆ”
พิมพ์จิตรพยักหน้าหงึกหงักขณะฟังคำสั่งจากเจ้านายพลางจดรายละเอียดลงในสมุดโน้ตส่วนตัวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“อ้อ! แล้วถ้าโรสมาก็ช่วยบอกด้วยว่าผม…”
“เห็นทีจะไม่ทันแล้วล่ะค่ะเจ้านาย เพราะคุณโรสกำลังควงกุญแจรถเดินนวยนาดตรงมาทางพิมพ์แล้วล่ะค่ะ” พิมพ์จิตรสาธยายใส่สายโทรศัพท์ขณะที่สายตาก็ชำเลืองไปยังหญิงสาวร่างระหงในชุดแส็กสีเขียวหัวเป็ดคอลเล็คชั่นใหม่ของวิกตองที่กำลังเดินส่ายสะโพกสะบัดผมมาอย่างอารมณ์ดี
“เฮ้อ!” ทัดภูมิเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน “งั้นก็ให้เข้ามาก็แล้วกัน”
“ทัดอยู่ในห้องใช่ไหมจ๊ะ” โรสถามเสียงใสพลางเดินเข้าห้องไปอย่างถือวิสาสะ ไม่รอคำตอบอะไรทั้งนั้น แต่หญิงสาวก็หยุดฝีเท้าไว้ก่อนจะหันกลับมาทางพิมพ์จิตรอย่างนึกได้ “ของฝากจ้ะ เบเกอรี่จากร้านฝรั่งเศสแท้ ฉันอารมณ์ดีก็เลยซื้อมาฝาก ลองกินดูนะ แต่อย่าเผลอติดใจเข้าล่ะ เพราะมันแพงมาก น้ำหน้าอย่างเธอคงจะซื้อได้ยากสักหน่อย แต่ถ้าวันไหนฉันอารมณ์ดีจะซื้อมาฝากเอาบุญก็แล้วกัน” โรสพูดทิ้งท้ายพลางโยนกล่องขนมสุดหรูลงบนโต๊ะของพิมพ์จิตรก่อนจะเดินเข้าห้องไป
พิมพ์จิตรมองตามโรสไปด้วยความโมโห “ทำเป็นพูดดูถูกคนอื่น เห็นว่าเป็นแฟนเจ้านายหรอกนะ ไม่งั้นแม่จะตบให้หมดสวยเลย เชอะ! แต่งตัวอย่างกับแมงทับ สวยตายละว้า…แต่ก็เอาเถอะ ได้กินของแพงฟรีๆ ฉันยอมให้ครั้งนึงก็แล้วกันยายโรส” พิมพ์จิตรมองกล่องขนมพลางอมยิ้มอย่างยินดี
“ว้าว! วันนี้ทัดของโรสแต่งตัวหล่อจังเลยค่ะ” ทันทีที่เข้ามาในห้อง โรสก็ตรงดิ่งไปยังที่นั่งของทัดภูมิ พลางทรุดตัวลงนั่งบนที่ท้าวแขนตรงเก้าอี้ของทัดภูมิอย่างถือวิสาสะ “มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ หืม…ตัวหอมเชียว” โรสหอมแก้มทัดภูมิฟอดใหญ่พลางโอบแขนรอบคอจนชายหนุ่มไม่สามารถขยับตัวหนีได้ ทัดภูมิได้แต่ทำหน้าเหยเก
“ไม่เอาน่าโรส ที่นี่มันห้องทำงานผมนะ เกิดใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
“ก็ช่างมันสิคะ ไม่เห็นจะต้องสนใจเลย ทัดคะ” อยู่ๆ โรสก็กระโดดขึ้นจากเก้าอี้พลางเดินหมุนตัวไปมาตรงหน้าทัดภูมิ “ชุดใหม่ของโรสสวยไหมคะ เนี่ยเพิ่งแกะกล่องจากปารีสเลยนะคะ ราคาจริงตั้งแสนกว่าบาท แต่โรสหักคอยายนกน้อยเจ้าของร้านมาได้แค่แปดหมื่นกว่าบาทเอง ทู๊ก…ถูกค่ะ ทัดเป็นอะไรเหรอคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไรจ้ะ” ทัดภูมิที่เผลอทำหน้าเหยเกรีบทำหน้ายิ้มหวานกลบเกลื่อนทันที
“หมู่นี้ทัดไม่ค่อยยิ้มเลยนะคะ เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า มีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็บอกโรสได้นะคะ”
“เปล่าหรอกจ้ะ ผมแค่เหนื่อยแล้วก็เครียดนิดหน่อย”
“หูย….งั้นยิ่งแย่ใหญ่เลย คนเราถ้าเครียดมากจะแก่เร็วนะคะ เดี๋ยวโรสสั่งโสมเกาหลีมาให้ทัดดื่มบำรุงสุขภาพดีกว่า” ไม่พูดเปล่าโรสหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำท่าจะกดเบอร์ร้านขายโสม แต่ถูกทัดภูมิห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรจ้ะโรส”
“แต่ว่า…” โรสไม่ยอมฟัง แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสายตาเชิงห้ามปรามของทัดภูมิเข้าก็พูดไม่ออก “ก็ได้ค่ะ งั้นเย็นนี้เราไปทานข้าวกันนะคะ ทัดจะได้พักผ่อนด้วย”
“เย็นนี้คงไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะว่าผมมีนัดทานข้าวกับลูกค้าแล้ว”
“ลูกค้าอีกแล้ว น่าเบื่อชะมัด” โรสทำหน้าไม่พอใจทันที
“คนนี้ลูกค้าสำคัญด้วย เอาไว้คราวหน้าละกันนะโรส”
“ทัดก็พูดแบบนี้ทุกที ช่างเถอะ! วันนี้ไม่ไป วันหน้าก็อย่าไปเลย โรสจะไม่ไปไหนกับทัดแล้ว ต่อให้ทัดมาง้องอนโรสก็จะไม่ฟัง แล้วทัดจะเสียใจ!” โรสพูดพลางเดินออกจากห้องไปอย่างฉุนเฉียว ขณะที่ผ่านโต๊ะของพิมพ์จิตร เธอก็คว้าเอากล่องขนมที่บอกว่าซื้อมาฝากติดมือกลับไปด้วย
“ฉันอารมณ์ไม่ดีแล้ว อย่ากงอย่ากินเลย ยายบ้า!”
พิมพ์จิตรมองตามอย่างตกใจ “อะไรของเขา ผีเข้าผีออกหรือไงกัน ดูสิ! อดกินของแพงเลย มีอย่างที่ไหนซื้อมาฝากแล้วยังเอากลับคืนไปอีก ยายผู้หญิงใจร้าย!” พิมพ์จิตรครวญครางพลางถอนแว่นออกมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ
หลังจากจ่ายค่าเช่าห้องแล้ว ปิ่นมณีก็ถือโอกาสแวะไปเดินช็อปปิ้งตากแอร์เล่นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ในละแวกนั้นอย่างอารมณ์ดี หญิงสาวเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างเพลิดเพลิน ดูภายนอกเหมือนจะเป็นสาวช็อปแหลก แต่จริงๆ แล้วเธอก็แค่ไปเดินเล่นเท่านั้นเอง ไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาเลยสักอย่าง ก็ของแต่ละอย่างมันแพงหูฉี่ซะขนาดนั้นนี่นา ขณะที่เดินผ่านร้านแบรนด์เนมชื่อดัง ปิ่นมณีก็ต้องชะงักกับป้ายลดราคาหน้าร้าน เธอเดินไปอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป
“ลด 80% จริงๆ ด้วย ในที่สุดแบรนด์ในฝันของฉันก็ลดราคาสักที ลัล ล้า ลัล ล้า…” ปิ่นมณีเดินตัวลอยเข้าร้านไปอย่างอารมณ์ดีสุดๆ
“สวัสดีค่ะ ตอนนี้ร้านเรามีโปรโมชั่นพิเศษสุด ทั้งร้านลด 80% นะคะ เชิญเลือกเชิญลองได้เลยค่ะ โอกาสวันนี้วันเดียวเท่านั้นนะคะ” เสียงพนักงานสาวที่ไม่ค่อยสวยนักตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านผิดวิสัย
แบรนด์ดังระดับโลกลิบลับ แต่เวลาทองขนาดนี้ปิ่นมณีไม่มีเวลามานั่งสนใจบรรยากาศภายนอกอยู่หรอก หญิงสาวรีบเดินตรงรี่ไปยังมุมชุดกระโปรงโดยทันที
ปิ่นมณีเลือกเสื้อผ้าอย่างสบายใจ เธอหยิบแบบที่ชอบออกมาจากราวแขวนหลายตัวก่อนจะเดินไปถามพนักงานขาย
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าแบบนี้มีไซด์ใหญ่กว่านี้ไหมคะ”
“อ๋อ! ถ้าเป็นแบบที่พี่ถืออยู่ทั้งหมดเนี่ยไม่มีหรอกค่ะ นี่ไซต์ใหญ่ที่สุดแล้วค่ะ”
“เหรอคะ” ปิ่นมณีถามหน้าแหยพลางมองเสื้อผ้าในมือด้วยความเสียดาย แต่ด้วยความพยายามแรงกล้า หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้
“งั้นมีเสื้อผ้าแบบไหนที่ไซต์ใหญ่เท่าพี่บ้างไหมคะ”
“ไซต์พี่เหรอคะ…รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวทำท่าทางหาของอยู่สักพักก่อนจะหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากลังด้านหลังเคาท์เตอร์ “ถ้าตัวนี้คิดว่าพี่น่าจะใส่ได้นะคะ”
“ตัวนี้เหรอ” ปิ่นมณีหยิบเสื้อจากมือพนักงานสาวมาพิจารณาดู เธอเกือบเผลอทำหน้าเหยเกออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะเสื้อชุดนี้น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาเลยทีเดียว ทั้งแบบเสื้อ ทั้งตัวเนื้อผ้ามันไม่น่าจะเป็นของแบรนด์ระดับโลกเลยให้ตายเถอะ “เอ่อ…คือพี่ไม่ค่อยชอบน่ะค่ะ เอาไว้คราวหน้าจะมาดูใหม่ละกันนะ ขอบคุณนะคะ”
ปิ่นมณีรีบเดินออกมาจากร้านด้วยท่าทางหัวเสีย อุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอของถูก แต่ที่ไหนได้กลับใส่ไม่ได้เลยสักชุด
“ให้ตายเถอะตัดมาให้มดใส่กันหรือไงนะ เราเองก็ไม่ได้อ้วนสักหน่อยยังใส่ไม่ได้เลย มิน่าเด็กสมัยนี้ถึงไม่ยอมกินอะไรเลย เชอะ! กลับไปใส่ของถูกดีกว่าตั้งเยอะ”
“ผมต้องขอโทษคุณภาด้วยนะครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้คุณภาต้องเสียเวลา” ทัดภูมิเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงเพลงคลาสสิกสุดแสนโรแมนติกภายในภัตตาคารสุดหรูแห่งหนึ่ง
“ช่างมันเถอะค่ะ แค่คุณทัดหาคนมาทำต่อได้ภาก็พอใจแล้วล่ะ อันที่จริงภาเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักหรอกค่ะ แต่คุณพ่อน่ะสิคะพูดเซ้าซี้ทุกวันจนภารำคาญจะแย่ ก็เลยต้องมารบกวนคุณทัด”
“อย่าถือว่ารบกวนเลยครับ อันที่จริงถ้าคนของผมไม่หายตัวไป งานก็คงเสร็จตามกำหนด แต่เนี่ยมันช้ามาหลายเดือนก็ไม่แปลกหรอกครับที่คุณพ่อของคุณภาจะไม่พอใจ จริงๆ แล้วท่านเองก็มีบุญคุณกับบริษัทของผมมาก ผมเองก็ต้องทำงานเต็มที่อยู่แล้ว คุณภาไม่ต้องกังวลนะครับ”
“เห็นคุณทัดตั้งใจทำงานขนาดนี้แล้วน่าภูมิใจแทนคุณพ่อนะคะ ลูกชายมีบริษัทเป็นของตัวเอง น่านับถือจริงๆ ผิดกับภาที่ยังต้องคอยอาศัยธุรกิจของคุณพ่อเป็นแหล่งหากินไปวันๆ ภาเนี่ยเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้เลยนะคะ”
“แต่คุณภาก็ริเริ่มขยายอะไรต่อมิอะไรออกไปตั้งเยอะนี่ครับ จะมาบอกว่าไม่มีความสามารถได้ยังไง”
“ถึงอย่างนั้นก็สู้คุณทัดไม่ได้หรอกค่ะ เออ! จริงสิคะ คุณทัดมาเอาดีทางด้านนี้แล้วกิจการผ้าไหมที่บ้านล่ะคะ ใครจะดูแล”
“อย่าพูดถึงมันเลยครับ คุณภากำลังจะทำให้ผมเครียดนะครับเนี่ย” ทัดภูมิแกล้งหันไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเป็นการตัดบทเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว ทำให้ภาณิณีต้องหยุดเรื่องที่พูดค้างไว้เพียงแค่นั้น
“เฮ้อ! ซวยชะมัดเล้ย รถเมล์ที่นั่งมาก็ดันเสียกลางทาง แล้วจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย สายนี้ยิ่งหายากอยู่ด้วย ชั่วโมงนึงจะมาสักคัน แถมรถก็ดันมาเสียอีก อะไรมันจะซวยอย่างนี้นะยายปิ่นมณีงี่เง่า”
ปิ่นมณีเดินหัวเสียโวยวายอยู่คนเดียวบนทางเท้าข้างถนนใจกลางเมืองหลวง หลังจากแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือมาแล้ว หญิงสาวก็กลับบ้าน ระหว่างทางรถเมล์ที่เธอนั่งมาดันเสียกลางทาง ทำให้เธอต้องเดินมาอีกเกือบสามเมตรเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่ แต่ก็ดันเต็มหมดทุกคัน ทำให้ปิ่นมณีเกิดท้อใจขึ้นมา ขณะนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นภัตตาคารหรูหราระดับห้าดาวเข้า ใจหนึ่งปิ่นมณีก็อยากเข้าไปนั่งตากแอร์เย็นฉ่ำหาอะไรกินรองท้องให้หายเหนื่อยก่อนกลับบ้าน แต่พอนึกถึงบรรยากาศอันไม่น่าพึงประสงค์ที่เธอเคยประสบมาแล้วก่อนหน้านั้นทำให้เธอต้องเปลี่ยนใจโดยทันใด เธอก้มลงมองสภาพตัวเองในเวลานี้สลับกับผู้คนที่นั่งอยู่ในภัตตาคารหรูหรานั้นแล้วก็ปลงตก
“สภาพแบบนี้เหรอจะเข้าไปนั่งในร้านหรูๆ อย่างนั้น เข้าไปให้คนพวกนั้นดูถูกเอาหรือไงยายปิ่นเอ๊ย” หญิงสาวถอนหายใจพลางมองภาพของผู้คนหลากหลายอิริยาบถภายในร้านด้วยความอิจฉาเล็กๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปเห็นคู่ของทัดภูมิกับภาณิณี
“ผู้หญิงพวกนี้เกิดมาโชคดีชะมัด ทั้งสวย ทั้งรวย คาบช้อนเงินช้อนทองออกมา ตระกูลที่เกิดก็ยังใหญ่โตมีชื่อเสียง แถมยังมีหนุ่มหล่อพ่อรวยพามากินข้าวร้านหรูๆ อีกด้วย ทำยังไงฉันถึงจะโชคดีแบบนั้นบ้างนะ สงสัยตายไปเกิดใหม่สักสิบชาติก็คงไม่มีโอกาสล่ะมั้ง…แต่ก็ช่างปะไร ยังไงเราก็ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้วนี่นา คิดบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ย กลับบ้านดีกว่าเรา” ปิ่นมณีเอามือเขกกะโหลกตัวเองหนึ่งทีเป็นการเตือนสติก่อนที่จะคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลกว่านี้ ทันใดนั้นเองอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“ให้…ช้าน…ตาย ดีกว่า…ร้าก…เธอ…”
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
“คุณนักสืบโบตั๋นใช่ไหมคะ คือว่าฉันมีเรื่องเดือดร้อนมาก อยากให้คุณช่วยสืบอะไรให้บางอย่าง ตอนนี้ฉันไม่สะดวกคุย คุณนักสืบช่วยออกมาพบฉันตรงร้านขายโอเลี้ยงแถวๆ ตลาดสดได้ไหมคะ”
“เอ่อ…ตลาดสดเหรอคะ แถวไหนคะ ค่ะ ได้ค่ะ อีกสักชั่วโมงฉันคงไปถึงค่ะ ได้ค่ะ ค่ะ แล้วเจอกัน อ๊ะ! ขอโทษค่ะ”
“ยายบ้า! เดินยังไงยะไม่ดูตาม้าตาเรือ ดูสิ! เสื้อผ้าฉันสกปรกหมดแล้ว ตัวนึงไม่ใช่ร้อยสองร้อยนะยะ”
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ คือว่าฉันรีบไปหน่อย”
“คนอย่างพวกเธอก็พูดแบบนี้ทุกที ถอยไปสิ! ยืนเซ่ออยู่ได้ ฉันจะรีบไป”
“ค่ะ ค่ะ” ปิ่นมณีเดินถอยหลังกรูดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องทำแบบนั้น เธอได้แต่ยืนมองหญิงสาวไฮโซปริศนาที่เธอชนเดินนวยนาดผ่านไปอย่างหัวเสีย
“อีบ้า! ถือว่าสวยแล้วใหญ่นักเหรอ พ่อมาทำถนนปูพรมแดงเอาไว้ให้เดินหรือไง ถ้าไม่ติดว่ารีบแม่จะตบให้สักฉาด”
ฝ่ายโรสที่ถูกเดินชนก็เดินออกไปอย่างหัวเสียไม่แพ้กัน แต่โชคดีที่เธอเพิ่งได้สร้อยเพชรเส้นใหม่มาจากร้านจิวเวอรี่เจ้าประจำจึงทำให้เธอคลายโมโหลงได้มาก แต่สิ่งที่ทำให้เธอโมโหจนถึงขีดสุดกลับเป็นภาพที่เธอบังเอิญเห็นเข้าโดยบังเอิญ…ทัดภูมิกับหญิงสาวปริศนาในภัตตาคารหรู…
“เนี่ยหรือคะลูกค้าของคุณ…ทัดภูมิ! แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” โรสกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้นอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน สายตาเธอมองตรงเข้าไปในร้านตรงจุดที่ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างมีความหมาย…
“ทัดคะ คุณทำแบบนี้กับโรสได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่โรสชวนคุณทานข้าว โรสเป็นห่วงว่าคุณจะเครียดเกินไป แต่คุณก็บอกว่าไม่ว่าง กลับไปนั่งสวีตกับใครก็ไม่รู้ในร้านที่เราไปด้วยกันประจำ แล้วแม่นั่นน่ะเหรอลูกค้า โรสว่ามองยังไงมันก็ไอ้ผู้หญิงที่ชอบแย่งของของชาวบ้านนั่นแหละ ทำไมคุณต้องโกหกโรสด้วยคะ” โรสในชุดสีแดงไวน์โวยวายลั่นห้องพร้อมน้ำตา“ผมว่าคุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วนะโรส ผมไปทานข้าวกับลูกค้าจริงๆ คุณภาณิณีเป็นลูกค้ารายใหญ่ของผม เธอเป็นลูกสาวของประธานบริษัทสกาย คอนสตัคชั่น บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่คอยสนับสนุนบริษัทของผม จะพูดจะจาอะไรก็หัดให้เกียรติเขาบ้าง”“ถึงกับออกรับแทนกันเลยเหรอคะ ผู้หญิงแพศยาแบบนั้นโรสว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ มีอย่างที่ไหน ผู้ชายก็มีตั้งเยอะแยะ ชอบทำตัวเป็นแมวขโมยของของคนอื่น พฤติกรรมแบบนี้ลูกผู้ลากมากดีเขาไม่ทำกันหรอก”“มันจะไปกันใหญ่แล้วนะโรส คุณเองก็เหมือนกัน…หัดมีเหตุผลบ้างสิ เอาแต่พูดจาให้ร้ายคนอื่นแบบเสียๆ หายๆ คุณเองก็เป็นลูกผู้ลากมากดีเหมือนกัน แต่ทำไมยิ่งนับวันก็ยิ่งหยาบคาย พูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย ผมเองก็ไม่อยากพูดจาแบบนี้กับคุณหรอกนะ แต่พฤติกรรมของคุณนับวันผมเริ่มทน
รุ่งเช้าปิ่นมณีเดินไปด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ร้านอาหารขนาดย่อมร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีร้านขายดอกไม้และร้านขายยาขนาบอยู่สองข้างซ้ายขวา หน้าร้านสีขาวขนาดสองคูหาสองชั้นตกแต่งด้วยไม้ดอกจำพวกชวนชมหลากสีที่ตัดแต่งเป็นพุ่มสวยงาม ปิ่นมณีจ้องมองอย่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ หญิงสาวมองป้ายประกาศเล็กๆ ที่ติดอยู่บนกระจกหน้าร้านพลางเลยไปยังป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยอักษรนูนสีทองว่า ‘จิ๊กกี๋โภชนา’ อย่างใช้ความคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูกระจกเข้าไป“ขอโทษนะคะคุณ ตอนนี้ร้านยังไม่เปิดให้บริการค่ะ” พนักงานสาวที่ไม่สวยเลยสักนิดหันมาบอกอย่างตกใจเมื่อเห็นปิ่นมณีเดินเข้ามาด้วยคิดว่าเป็นลูกค้า“คือ…ฉะ…หนูมาสมัครงานค่ะ”ปิ่นมณีพูดอย่างไม่มั่นใจนักว่าจะใช้คำสรรพนามเรียกตัวเองว่าอะไร สุดท้ายก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอกำลังปลอมตัวเป็นเด็กมาหางานพิเศษทำ จึงใช้คำเรียกตัวเองว่า ‘หนู’ แทน ‘ฉัน’ อย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก“สมัครงานงั้นเหรอ” เมื่อรู้ว่าปิ่นมณีไม่ใช่แขก หญิงสาวคนเดิมจึงเปลี่ยนท่าทีการพูดในทันใด“เธออายุเท่าไหร่”“เอ่อ…17 จ้ะ” ปิ่นมณีตอบทันที เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังมองเธออย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก“รอเดี๋ยวนะ จะ
ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะยังคงหลับไม่รู้เรื่องก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะแรงและเร็วกว่าครั้งแรกมากนัก ได้ผล! เจ้าของห้องเริ่มเกิดปฏิกิริยา เธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าตนเองนอนหลับฟุบคาอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างเตียง“เช้าแล้วเหรอเนี่ย เผลอหลับไปได้ยังไงกันนะเรา” ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปิ่นมณีวิ่งแจ้นไปเปิดประตูทันที“ยายปิ่น! นี่แกไปทำอะไรมาเนี่ย ผมเผ้ามันถึงได้กระเซอะกระเซิงแบบนี้”“ฉันเพิ่งตื่นน่ะ เข้ามาก่อนสิ” ปิ่นมณีพูดพลางเดินหันหลังกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งให้เพื่อนสนิทอย่างลีลาวดีเดินตามเข้ามา ลีลาวดีมองเพื่อนรักจากทางด้านหลังพลางทำหน้าบอกบุญไม่รับ“นี่ถามจริงเหอะ…แกไปทำอะไรมากันแน่ สภาพถึงได้ยับเยินแบบนี้”“อื้อ! ฉันไปทำงานมาน่ะ”“งานอะไรของแก”“ก็งานนักสืบน่ะสิ เอาน่า…อย่าเพิ่งมาซักฉันตอนนี้เลย ยังไงฉันก็ต้องเล่าให้แกฟังอยู่ดีนั่นแหละ” ปิ่นมณีพูดตัดบทขณะคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป“ย่ะ! แม่เพื่อนตัวดี” ลีลาวดีส่งค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเดินเ
“เอาล่ะ! เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย” หญิงสาวผมสั้นทรงบ็อบเทพูดกับตัวเองขณะมองดูผลงานบนจอคอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี“เพียงแค่คุณคือผู้เดือดร้อน ไม่สบายใจในทุกปัญหา ต้องการค้นพบคำตอบที่ถูกอำพรางไว้ โทรหาเราสิคะ 089-xxxxxxx นักสืบสาวโบตั๋นยินดีช่วยเหลือ…แกแน่ใจแล้วเหรอยายปิ่น” ลีลาวดีอ่านข้อความในบล็อกส่วนตัวของเพื่อนสาวพลางทำหน้าปูเลี่ยน ก่อนจะหันมาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งกับการตัดสินใจของเพื่อนซี้“แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ คนตกงานเป็นปีๆ อย่างฉัน ลองมาทุกทางแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าสักที ก็มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นแหละ”“แต่ไอ้งานนักสืบเนี่ยมันเสี่ยงมากนะ อย่างแกน่ะมันไม่หนักไปหน่อยเหรอ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีข่าวต้มตุ๋นหลอก ลวงกันไม่เว้นแต่ละวัน เราไม่หลอกเขา เขาก็หลอกเรา ฉันว่าแกอย่าเสี่ยงเลยปิ่น เชื่อฉันเหอะ”“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกริน ฉันอาจจะโชคดีมือขึ้นทางนี้ก็ได้ อีกอย่างแกก็รู้ว่าฉันเก่งวิชาพละ มีอะไรเกิดขึ้นฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”“ทำเป็นอวดเก่ง แกจะใช้วิชาม้วนหน้าม้วนหลัง หกกบ สะพานโค้ง ตีลังกาล้อเกวียนหนีพวกโจรมัน เหรอไง ยายบ้า”“แกไม่เป็นฉันแกไม่รู้หรอกว่าการที่ต้
ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะยังคงหลับไม่รู้เรื่องก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะแรงและเร็วกว่าครั้งแรกมากนัก ได้ผล! เจ้าของห้องเริ่มเกิดปฏิกิริยา เธอลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าตนเองนอนหลับฟุบคาอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างเตียง“เช้าแล้วเหรอเนี่ย เผลอหลับไปได้ยังไงกันนะเรา” ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปิ่นมณีวิ่งแจ้นไปเปิดประตูทันที“ยายปิ่น! นี่แกไปทำอะไรมาเนี่ย ผมเผ้ามันถึงได้กระเซอะกระเซิงแบบนี้”“ฉันเพิ่งตื่นน่ะ เข้ามาก่อนสิ” ปิ่นมณีพูดพลางเดินหันหลังกลับเข้ามาในห้อง ทิ้งให้เพื่อนสนิทอย่างลีลาวดีเดินตามเข้ามา ลีลาวดีมองเพื่อนรักจากทางด้านหลังพลางทำหน้าบอกบุญไม่รับ“นี่ถามจริงเหอะ…แกไปทำอะไรมากันแน่ สภาพถึงได้ยับเยินแบบนี้”“อื้อ! ฉันไปทำงานมาน่ะ”“งานอะไรของแก”“ก็งานนักสืบน่ะสิ เอาน่า…อย่าเพิ่งมาซักฉันตอนนี้เลย ยังไงฉันก็ต้องเล่าให้แกฟังอยู่ดีนั่นแหละ” ปิ่นมณีพูดตัดบทขณะคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป“ย่ะ! แม่เพื่อนตัวดี” ลีลาวดีส่งค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเดินเ
รุ่งเช้าปิ่นมณีเดินไปด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ร้านอาหารขนาดย่อมร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางโดยมีร้านขายดอกไม้และร้านขายยาขนาบอยู่สองข้างซ้ายขวา หน้าร้านสีขาวขนาดสองคูหาสองชั้นตกแต่งด้วยไม้ดอกจำพวกชวนชมหลากสีที่ตัดแต่งเป็นพุ่มสวยงาม ปิ่นมณีจ้องมองอย่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ หญิงสาวมองป้ายประกาศเล็กๆ ที่ติดอยู่บนกระจกหน้าร้านพลางเลยไปยังป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยอักษรนูนสีทองว่า ‘จิ๊กกี๋โภชนา’ อย่างใช้ความคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูกระจกเข้าไป“ขอโทษนะคะคุณ ตอนนี้ร้านยังไม่เปิดให้บริการค่ะ” พนักงานสาวที่ไม่สวยเลยสักนิดหันมาบอกอย่างตกใจเมื่อเห็นปิ่นมณีเดินเข้ามาด้วยคิดว่าเป็นลูกค้า“คือ…ฉะ…หนูมาสมัครงานค่ะ”ปิ่นมณีพูดอย่างไม่มั่นใจนักว่าจะใช้คำสรรพนามเรียกตัวเองว่าอะไร สุดท้ายก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอกำลังปลอมตัวเป็นเด็กมาหางานพิเศษทำ จึงใช้คำเรียกตัวเองว่า ‘หนู’ แทน ‘ฉัน’ อย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก“สมัครงานงั้นเหรอ” เมื่อรู้ว่าปิ่นมณีไม่ใช่แขก หญิงสาวคนเดิมจึงเปลี่ยนท่าทีการพูดในทันใด“เธออายุเท่าไหร่”“เอ่อ…17 จ้ะ” ปิ่นมณีตอบทันที เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังมองเธออย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก“รอเดี๋ยวนะ จะ
“ทัดคะ คุณทำแบบนี้กับโรสได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่โรสชวนคุณทานข้าว โรสเป็นห่วงว่าคุณจะเครียดเกินไป แต่คุณก็บอกว่าไม่ว่าง กลับไปนั่งสวีตกับใครก็ไม่รู้ในร้านที่เราไปด้วยกันประจำ แล้วแม่นั่นน่ะเหรอลูกค้า โรสว่ามองยังไงมันก็ไอ้ผู้หญิงที่ชอบแย่งของของชาวบ้านนั่นแหละ ทำไมคุณต้องโกหกโรสด้วยคะ” โรสในชุดสีแดงไวน์โวยวายลั่นห้องพร้อมน้ำตา“ผมว่าคุณเข้าใจผิดไปใหญ่แล้วนะโรส ผมไปทานข้าวกับลูกค้าจริงๆ คุณภาณิณีเป็นลูกค้ารายใหญ่ของผม เธอเป็นลูกสาวของประธานบริษัทสกาย คอนสตัคชั่น บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่คอยสนับสนุนบริษัทของผม จะพูดจะจาอะไรก็หัดให้เกียรติเขาบ้าง”“ถึงกับออกรับแทนกันเลยเหรอคะ ผู้หญิงแพศยาแบบนั้นโรสว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ มีอย่างที่ไหน ผู้ชายก็มีตั้งเยอะแยะ ชอบทำตัวเป็นแมวขโมยของของคนอื่น พฤติกรรมแบบนี้ลูกผู้ลากมากดีเขาไม่ทำกันหรอก”“มันจะไปกันใหญ่แล้วนะโรส คุณเองก็เหมือนกัน…หัดมีเหตุผลบ้างสิ เอาแต่พูดจาให้ร้ายคนอื่นแบบเสียๆ หายๆ คุณเองก็เป็นลูกผู้ลากมากดีเหมือนกัน แต่ทำไมยิ่งนับวันก็ยิ่งหยาบคาย พูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย ผมเองก็ไม่อยากพูดจาแบบนี้กับคุณหรอกนะ แต่พฤติกรรมของคุณนับวันผมเริ่มทน
“ว่าไงนะ!” รจนากับลีลาวดีถามขึ้นมาพร้อมกันเมื่อได้ยินสิ่งที่ปิ่นมณีเล่าให้ฟัง“ก็อย่างที่พูดมานั่นแหละ ยายเจ๊นั่นเดินเอาขวดฉี่ไปสาดหน้าผัวแล้วก็ชู้กลางร้าน กลิ่นนี้เหม็นหึ่ง ขนาดฉันยืนอยู่ข้างนอกยังได้กลิ่นชัดเลย ไอ้ผัวจอมเจ้าชู้นั่นนะอย่างกับหมูตกบ่อฉี่เลยล่ะ” สิ้นเสียงของปิ่นมณี เสียงหัวเราะท้องแข็งก็ดังประสานกันขึ้นมา ทำเอาร้านเล็กๆ อย่างร้านช็อกโกแล็ตสั่นสะเทือน“พูดถึงแล้วก็อยากเห็นหน้าแม่นั่นตอนโดนสาดฉี่จังเลยเนอะ” ลีลาวดีพูดทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดหัวเราะ“แต่พี่ว่ามันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่หรอกนะ ผัวเมียไปตบตีกันในร้านอาหารสาธารณะเนี่ย เฮ้อ! โชคดีที่พี่ไม่คิดแต่งงาน ถ้ามาเจออย่างนี้เข้าคงซวยไปทั้งชาติ แต่ปิ่นก็ต้องระวังตัวด้วยนะ พี่ว่าไอ้งานแบบนี้มันเสี่ยงใช่ย่อย เราเองก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ถ้าเป็นไปได้เลิกทำเถอะ พี่ฟังแล้วยังอดกลัวแทนไม่ได้เลย ถ้าวันหนึ่งมันไม่ใช่แค่ฉี่ แต่เป็นพวกสารเคมีหรือว่าน้ำกรดขึ้นมา เราจะกลายเป็นคนบาปได้นะ ยังไงก่อนจะรับงานก็ดูให้ดีๆ ก่อนละกัน ยิ่งงานที่ค่าจ้างงามๆ เนี่ยมันน่าคิด เศรษฐกิจแบบนี้คงไม่มีใครเอางานง่ายๆ ที่จ่ายค่าจ้างแพงๆ มาให้ทำหรอก”“แหม! พี่นา
“เอาล่ะ! เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย” หญิงสาวผมสั้นทรงบ็อบเทพูดกับตัวเองขณะมองดูผลงานบนจอคอมพิวเตอร์อย่างอารมณ์ดี“เพียงแค่คุณคือผู้เดือดร้อน ไม่สบายใจในทุกปัญหา ต้องการค้นพบคำตอบที่ถูกอำพรางไว้ โทรหาเราสิคะ 089-xxxxxxx นักสืบสาวโบตั๋นยินดีช่วยเหลือ…แกแน่ใจแล้วเหรอยายปิ่น” ลีลาวดีอ่านข้อความในบล็อกส่วนตัวของเพื่อนสาวพลางทำหน้าปูเลี่ยน ก่อนจะหันมาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งกับการตัดสินใจของเพื่อนซี้“แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ คนตกงานเป็นปีๆ อย่างฉัน ลองมาทุกทางแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้าสักที ก็มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นแหละ”“แต่ไอ้งานนักสืบเนี่ยมันเสี่ยงมากนะ อย่างแกน่ะมันไม่หนักไปหน่อยเหรอ เดี๋ยวนี้ยิ่งมีข่าวต้มตุ๋นหลอก ลวงกันไม่เว้นแต่ละวัน เราไม่หลอกเขา เขาก็หลอกเรา ฉันว่าแกอย่าเสี่ยงเลยปิ่น เชื่อฉันเหอะ”“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกริน ฉันอาจจะโชคดีมือขึ้นทางนี้ก็ได้ อีกอย่างแกก็รู้ว่าฉันเก่งวิชาพละ มีอะไรเกิดขึ้นฉันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”“ทำเป็นอวดเก่ง แกจะใช้วิชาม้วนหน้าม้วนหลัง หกกบ สะพานโค้ง ตีลังกาล้อเกวียนหนีพวกโจรมัน เหรอไง ยายบ้า”“แกไม่เป็นฉันแกไม่รู้หรอกว่าการที่ต้