“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”
ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน
“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว
...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!
พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติ
ภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้า
เสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเขาสะดุ้งเล็กน้อย ชายหนุ่มรีบเอาขาที่กระดิกจนโต๊ะสั่นเมื่อครู่ลงกับพื้นแล้วนั่งหลังยืดตรง เปลี่ยนเป็นเอานิ้วเคาะโต๊ะแทน
ภีมพลแกล้งหันมาถาม ทำทีเป็นมองไม่เห็นอาการของเพื่อน
“พร้อมรึยังเพื่อน”
“ทำไมต้องถามวะ ก็เรียกเข้ามาเลย ฉันก็ไม่ได้อะไรสักหน่อย”
ภีมพลหัวเราะขลุกขลักในลำคอก่อนตะโกนอนุญาตให้กลุ่มคนที่ยืนหน้าห้องได้ยิน
“เชิญครับ”
สิ้นเสียงอนุญาต ประตูกระจกก็ถูกเปิดออกพร้อมกับกลุ่มคนสี่คนก้าวเข้ามาในห้อง นำโดยชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม เครื่องหน้าของผู้ชายคนนี้จัดว่าลงตัวทุกอย่าง แม้กระทั่งคนมองที่เป็นผู้ชายด้วยกันอย่างพชรกับภีมพลยังแอบทึ่งในใจ
ถัดมาเป็นชายหนุ่มอีกสองคนที่หน้าตาจัดว่าคมเข้มไม่น้อย และรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กัน คนหนึ่งนั้นเจาะหูใส่หมุดกลมเล็ก ๆ เรียงกันสามอัน ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นสักลายเต็มแขนทั้งสองข้าง ไว้ผมทรงลานบิน และดูยิ้มแย้มตลอดเวลา
แต่คนที่ทำเอาพชรแทบหยุดหายใจลงตรงนั้น เห็นจะเป็นนักร้องนำหญิงของวง
รูปหน้าเรียวเล็กรูปไข่ คิ้วดกดำได้รูปสวย จมูกเล็กโด่งเชิดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำสนิทจนเขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกดึงดูดด้วยพลังงานมหาศาลบางอย่างจนไม่สามารถละสายตาไปทางไหนได้ แววตาของเธอระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับร้อยนับพันไหวระริกอยู่ในนั้น ริมฝีปากอิ่มเต็มก็ช่างน่าดูดดึงคลุกเคล้าทั้งวันทั้งคืน
มุมปากอิ่มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเจ้านายคนใหม่ เธอชินเสียแล้วที่ถูกคนมองแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่ไม่เห็นแววกรุ้มกริ่มจากเจ้านายหนุ่มทั้งสอง นั่นจึงทำให้รู้สึกเบาใจอยู่บ้าง
“เอาล่ะ...ที่ผมเรียกพวกคุณมาที่นี่ก็เพราะอยากจะให้รู้จักกับหุ้นส่วนของผมอีกคนหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของที่นี่เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้แวะมาที่นี่บ่อยนัก...นี่คือคุณพชร หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่าคุณโอมก็ได้ รบกวนช่วยแนะนำตัวกันหน่อยนะครับ”
ภีมพลกล่าวเป็นการเป็นงานกับทุกคน ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนตอนที่อยู่กันสองคนกับเพื่อน นั่นก็เพราะเขาไม่ต้องการให้พนักงานมาปีนเกลียวใส่ เขาต้องการให้พนักงานทุกคนเห็น และเชื่อมั่นว่าเขาไม่ได้เปิดสถานบันเทิงแห่งนี้ขึ้นมาเพียงเพราะเงินมันเหลือกินเหลือใช้ แต่เขาเปิดเพราะรักที่จะทำมันจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ภีมพลจึงเป็นที่เคารพยำเกรงของทุกคนที่นี่มาก
“คริสครับ กีตาร์ลีด และนักร้องนำ” หนุ่มลูกครึ่งเป็นคนแนะนำตัวเองก่อนเป็นคนแรก
“จิลครับ มือเบส” ชายหนุ่มคนที่ใส่หมุดเรียงกันสามอันบนใบหูแนะนำตัวเองเป็นคนถัดมา
“ผมว่านครับ มือกลองครับผม” ชายหนุ่มคนสุดท้ายแนะนำตัวแล้วค้อมศีรษะให้พร้อมรอยยิ้ม บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนอารมณ์ดีขนาดไหน
“ม็อทค่ะ นักร้องนำ”
คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มบอกชื่อของตัวเองเสร็จแล้วก็พนมมือไหว้ ภีมพลลอบสังเกตเพื่อนรัก เห็นพชรยังนั่งเฉยไม่ยกมือขึ้นรับไหว้เหมือนตกอยู่ในภวังค์จึงแกล้งเอาเท้าสะกิดใต้โต๊ะ
“อื้ม...ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ” พอได้สติ พชรจึงยืดตัวมาข้างหน้าวางมือประสานกันไว้บนโต๊ะ พยายามบังคับสายตาไม่ให้มองไปที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่ม แล้วกวาดตามองชายหนุ่มทั้งสามคนแทน
“แล้วก็...ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้วงบัตเตอร์ฟลายมาเล่นให้กับคลับของเรา ผมหวังว่าพวกคุณจะแฮปปีกับที่นี่นะครับ”
พชรยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่วงดนตรีอันโด่งดังวงนี้ไม่ยอมต่อสัญญากับที่เดิมเพราะอะไร แต่ถ้าให้เดาก็คงเป็นปัญหาภายใน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์มากกว่า
“เอาละครับ อีกเดี๋ยวครึ่งชั่วโมงพวกคุณต้องขึ้นแสดงอีก ผมไม่รบกวนพวกคุณแล้วล่ะ ขอบคุณมากครับที่มา”
ภีมพลลุกขึ้นยืนพลางเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง สมาชิกวงทั้งหมดจึงค้อมศีรษะให้แล้วค่อย ๆ ทยอยออกไปจากห้อง
ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท พชรก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงราวกับเมื่อครู่เขากลั้นหายใจไว้นานเกินไป ภีมพลหันมาเห็นท่าทางของเพื่อนถึงกับขำจนตัวโยน
“หัวเราะอะไรของแกวะ ไอ้ภีม” พชรหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนสนิทที่ดูเหมือนจะอ่านใจเขาออกไปเสียทุกเรื่อง
“ท่องไว้นะเพื่อน กฎของพวกเรา ไม่กินไก่วัด หรือถ้านายอยากจะแหกกฎละก็ ขอแนะนำให้เอาไปกินในที่ลับตาหน่อยล่ะ ไม่งั้นมันจะเสียการปกครอง” ภีมพลเบี่ยงสะโพกขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่พลางยักคิ้วให้เพื่อนอย่างล้อเลียน
“ถ้าไก่มันน่ากิน ก็คุ้มที่จะลองแหกกฎไม่ใช่หรือวะ”
พชรลุกขึ้นเดินไปแหวกผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศภายนอก เห็นผู้คนเบียดเสียดกันเต็มพื้นที่แล้วก็ยิ้มออกมา ใครจะเชื่อว่าวงดนตรีวงนั้นจะดึงดูดผู้คนได้มากขนาดนี้
“แต่ฉันว่าตอนนี้ ฉันขอไปสานต่อกับแม่สาวเนื้อนุ่มก่อนดีกว่า นายจะเอาด้วยไหม ฉันจะได้ให้คุณแมทไปบอกให้”
ภีมพลหมายถึงผู้จัดการร้านหนุ่มหล่อคนใหม่ ซึ่งนับเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวดึงดูดของสาว ๆ ให้มาเที่ยวที่คลับแห่งนี้
“ไหนล่ะ พวกนั้นนั่งกันโต๊ะไหน”
พชรกวาดตามองหาโต๊ะของแม่สาวทรงโตที่ภีมพลเอ่ยถึงเพื่อต้องการดูหน้าของสาว ๆ เหล่านั้นว่าสวยเด็ดดวงสมราคาคุยของเพื่อนรักหรือเปล่า ขณะที่ภีมพลเดินมาหยุดยืนข้างเพื่อน แล้วชี้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย
“โน่น! โต๊ะนู้น นับจากโต๊ะหน้าเวทีขึ้นไปทางขวาอีกสองโต๊ะ ที่มีสาวสวยนั่งกันอยู่สี่คนน่ะ นายเห็นรึยัง”
พชรมองตามที่เพื่อนชี้ไปแล้วยิ้มมุมปาก สายตาจริงจังก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มระยิบระยับขึ้นมาทันที
“คนไหนเด็ดสุด ฉันรู้ว่านายชิมมาหมดแล้ว รึไม่จริง” พชรหันไปถามเพื่อนที่ยืนยักไหล่ยิ้มกริ่มไม่ต่างกัน
“เด็ดสุดต้องน้องออย ชุดเกาะอกแดงนั่นน่ะ อย่างกับนางเอกเอวีมาเอง รับรองเลยว่านายได้ซี้ดทั้งคืนแน่”
“งั้นก็คนนี้แหละ”
ชายหนุ่มบอกเพื่อนทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากสาวชุดแดงที่ภีมพลแนะนำมาว่าเด็ดเหลือเกิน ภีมพลก็ไม่ขัดศรัทธา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร. หาผู้จัดการหนุ่มให้จัดการให้ทันที
“คุณแมท ผมวานคุณเดินไปที่โต๊ะของแนนนี่ให้หน่อยสิ บอกให้เธอขึ้นมาหาผมหน่อย พาเพื่อนชื่อออยขึ้นมาด้วยนะ”
สั่งเสร็จก็เดินไปหยิบสุรานอกที่อยู่ในตู้โชว์พร้อมกับแก้วเปล่าสองใบมาวางบนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็จัดแจงรินน้ำสีอำพันยื่นส่งให้พชรที่เดินตามมานั่งบนโซฟาเพื่อรอเวลาสนุกกับสาว ๆ ที่ตนแนะนำให้
รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชาย
“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น
พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศพอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้นจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะส
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”