ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆ
ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามอง
ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถว
ว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะ
พลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกัน
สายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไปทางอื่น พชรถึงรู้สึกตัวว่าเผลอเสียมารยาทจ้องเธอนานเกินไป ชายหนุ่มยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกระแอมออกมาเบา ๆ
“คุณช่อมาลี คุณมีพี่น้องรึเปล่า” พชรลองถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธระรัว
“มะ...ไม่มีค่ะ ดิฉันลูกคนเดียวค่ะ” ตอบเสร็จก็ก้มหน้าลงทำทีเป็นอ่านเอกสารบนโต๊ะต่อ โชคดีที่พชรไม่ได้ติดใจสงสัยเอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม
“เอาล่ะ...จากการที่อ่านประวัติการทำงานของคุณมา สำหรับผมแล้วค่อนข้างโอเคเลยนะ ดูเป็นมืออาชีพดี คุณเคยผ่านบริษัทใหญ่ ๆ และทำงานมาหลายปีแล้ว...เอาเป็นว่า...ผมรับคุณเข้าทำงานเลยก็แล้วกัน แต่มีข้อแม้นะ”
ช่อมาลีฉีกยิ้มกว้างตั้งแต่ได้ยินว่าเขารับเข้าทำงานทั้งที่เธอหมดหวังไปแล้ว ใบหน้าเรียวเล็กพยักหน้ารัวเร็วแล้วพูดว่า
“ขอบคุณมากค่ะท่านประธาน จะให้ทำอะไรให้ว่ามาเลยค่ะ ดิฉันยินดี”
“ก็ดี...ผมจะให้คุณเริ่มวันนี้และตอนนี้เลย สะดวกไหมครับ เพราะผมกำลังต้องการคนช่วยอยู่พอดี”
พชรชี้ไปที่แฟ้มงานกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะตัวยาวถัดออกไปจากโต๊ะทำงานตัวที่เขานั่งอยู่
“คุณช่วยรวบรวมผลประกอบการของรถแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น รวมถึงปัญหาที่พบ แล้วแยกเป็นแฟ้มให้ผมหน่อยสิ อยากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไปถามหาเอากับแผนกการตลาดได้ คิดว่าทำได้ไหม”
ช่อมาลีมองตามนิ้วของเขาที่ชี้ไปยังกองเอกสารแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เหลือบไปมองหน้าท่านประธานก็เห็นเขายิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เธอไม่อยากคิดว่าเขากำลังแกล้งหาเรื่องทดสอบเธอหรือเปล่า ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มพูดออกมาดักทางเสียก่อน ราวกับล่วงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ผมเปล่าแกล้งหรือทดสอบประสิทธิภาพคุณนะ แต่ผมไม่มีเลขาฯ มาหลายวันแล้ว เลยไม่มีใครทำให้ผมน่ะ มันก็เลยกองอยู่อย่างนั้นตามที่คุณเห็น”
“ดิฉันทราบค่ะ ไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวดิฉันจัดการให้ ไม่ทราบว่าท่านประธานต้องการใช้วันไหนคะ”
“พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง เพราะช่วงบ่ายผมมีประชุมผู้ถือหุ้น”
ฟังคำตอบของเขาแล้ว ช่อมาลีก็แทบทรุด ยกมือขึ้นขยับแว่นอีกทีตามความเคยชินแล้วกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง
“ถ้าวันนี้ไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อก็ได้ผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ผมขอก่อนเที่ยง และตอนเข้าประชุมคุณก็ต้องเข้าไปกับผมด้วย...ถือเสียว่าที่ผมให้คุณเก็บรวบรวมข้อมูลวันนี้เป็นการศึกษางานจากบริษัทก็แล้วกัน”
พชรพูดพลางลุกขึ้นเดินไปยังกองแฟ้มที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะตัวยาว ช่อมาลีจึงลุกเดินตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะ ชายหนุ่มหยิบแฟ้มหนาหนักอันหนึ่งมาวางลงตรงหน้าเธอแล้วผายมือให้
“เชิญครับ เริ่มจากแฟ้มนี้ก่อนเลยก็แล้วกัน”
ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนในชุดพนักงานทำความสะอาดเดินฮัมเพลงเข้าไปสแกนนิ้วในส่วนของพนักงาน เจ้าตัวหยุดพูดคุยทักทายกับพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตู ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเพื่อนำอุปกรณ์ทำความสะอาดมาทำตามหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ทุกวัน วันนี้เธอมาถึงเป็นคนแรกเพราะเพิ่งจะบ่ายสองกว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งตามปกติแล้วตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดจะเริ่มเข้างานตอนบ่ายสาม เท่ากับว่าตอนนี้มีเธออยู่ที่นี่แค่คนเดียว
วันดีกดสวิตช์ไฟข้างประตูเพื่อจะได้มองเห็นภายในได้ชัดขึ้น ร่างท้วมเดินตามทางเดินไปยังบริเวณที่ใช้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด หัวคิ้วของวันดีขมวดมุ่นเมื่อเห็นคราบสีคล้ำเข้มกระจายเกลื่อนอยู่บนพื้น
“ใครมาทำอะไรหกแถวนี้”
วันดีเดินเข้าไปเอาปลายรองเท้าลองเขี่ย ๆ ดู ถึงได้รู้ว่ามันค่อนข้างเหนียวหนับ และมีบางส่วนเริ่มแห้งกรังไปแล้ว
“น้ำจิ้มล่ะมั้งเนี่ย”
วันดีละสายตาจากคราบบนพื้นแล้วหันตัวไปทางด้านซ้ายเพื่อจะเข้าไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดในซอกแคบ ๆ นั่น ทว่าทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่คุดคู้อยู่ในนั้น สองตาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ขนอ่อนที่ท้ายทอยลุกชันจนแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเพราะความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“กรี๊ดดด”
“เอ...ต้องแยกตามยี่ห้อก่อนสินะ ตามด้วยรุ่น และเรียงตามปี”
ช่อมาลีหยิบแฟ้มแต่ละแฟ้มมาอ่านดูด้านหน้าแล้วจัดแยกเป็นหมวดหมู่ โดยมีเจ้านายหมาด ๆ ยืนมองอยู่อีกฝั่ง พชรยืนกอดอก มือข้างหนึ่งลูบคางตนเองไปมาอย่างครุ่นคิด
ไม่ใช่ ดูอีกทีก็ไม่เหมือนนักร้องที่ชื่อม็อท คนนั้นตาสีดำ แต่ช่อมาลีตาสีตาลอ่อน สีผมก็ไม่ใช่ ม็อทผมสีน้ำตาลแดง แต่ช่อมาลีผมดำสนิทเลย
“เอ่อ...ท่านประธานนี่ใจดีจังเลยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ช่อมาลีพูดยิ้ม ๆ ตาหลุบมองต่ำแอบซ่อนประกายความหยอกล้อขี้เล่นเอาไว้ ขณะที่คนฟังเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง
“ผมน่ะหรือใจดี เรื่องอะไร”
“ก็แหม...มาลีนึกว่าท่านประธานจะให้มาลีทำเอกสารพวกนี้คนเดียวเสียอีก ที่แท้ท่านประธานก็อุตส่าห์ลงมาช่วยด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องเสร็จภายในวันนี้แน่นอนเลยค่ะ”
ช่อมาลีเผลอแทนตัวด้วยชื่อเล่นที่ใช้ประจำ เธอประสานมือกันไว้ตรงหน้าเหมือนกำลังพนมมือไหว้ ทำเอาคนเป็นนายหน้าเหวอเมื่อฟังจบ
เขาพลาดเสียแล้ว
พชรถอนหายใจออกมาเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นยิ้มเมื่อนึกถึงความฉลาดในการใช้งานเจ้านายแบบเนียน ๆ ของหญิงสาว เห็นหน้าซื่อ ๆ แบบนี้ แต่เขาคิดว่าเธอน่าจะมีดีพอตัวโดยเฉพาะเรื่องไหวพริบ
ครืดดดด...ครืดดดด...
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ชายหนุ่มวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะทำงานสั่นขึ้นเพราะมีคนโทร. เข้า พชรเดินไปหยิบขึ้นมาเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายเมื่อเห็นชื่อคนที่โทร. เข้ามา
“เออ...ว่าไงวะไอ้ภีม” พชรเบี่ยงสะโพกข้างหนึ่งขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงาน ขาอีกข้างยันไว้กับพื้นด้วยท่าทางสบาย ๆ แต่สักพักเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับยืนตัวตรง
“แกว่าไงนะ ศพงั้นหรือ!”
พชรพูดเสียงดังด้วยความลืมตัว ส่วนหญิงสาวที่แอบฟังอย่างไม่ตั้งใจก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เธอมองจากหางตาเห็นเขาเหลือบมองมาทางนี้แว้บหนึ่ง ก่อนจะลดหูโทรศัพท์ลงแล้วหันมาพูดด้วย
“ผมจะเข้าไปคุยโทรศัพท์ในห้องพักผ่อน ห้ามให้ใครรบกวนเด็ดขาด ไม่ว่าเรื่องจะด่วนแค่ไหนก็ให้รอก่อน หรือไม่ก็วางเอกสารทิ้งไว้ เข้าใจนะ”
ชายหนุ่มสั่งงานรัวเร็วแล้วเดินผลุบหายเข้าไปในห้องพักผ่อนที่อยู่หลังฉากกั้นทันที ช่อมาลีขยับแว่นสายตามองตามเข้าไปด้วยความสงสัยระคนอยากรู้
“ท่านประธานมีห้องนอนไว้ในนี้ด้วยหรือเนี่ย...เฮ้อ ป่านนี้คงมีคนเจอศพแล้วสินะ”
หญิงสาวนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัวขึ้นมาอีกรอบ เธอกับคริสย้อนกลับไปบริเวณนั้นอีกครั้ง เพราะคริสอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าคริสพกไฟฉายไปด้วยเพื่อต้องการดูให้ชัด เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นค่อนข้างมืด
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”
“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้าเสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเ
รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชาย
“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น
พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศพอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้นจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะส