พชรยืนกอดอกเอาสะโพกพิงไว้กับโต๊ะทำงาน มองท่าทีประหม่าลนลานเดินออกจากห้องของเลขาฯ แล้วก็ให้นึกขำ ยิ่งเห็นใบหน้านั้นขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู เขาก็นึกอยากแกล้งจับมือเธอให้มาสัมผัสที่เนื้อแท้ตัวเป็น ๆ ของเขาเสียเลย อยากรู้นักว่าจะทำหน้าอย่างไรถ้าเจอเหตุการณ์นั้น
สงสัยคงขอลาออกแทบไม่ทันเป็นแน่!
ช่อมาลีเดินเข้ามาในแคนทีน เธอเหลียวซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงกำมือไว้แน่นทั้งสองข้าง ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงด้วยความอัดอั้น
“อี๊...อีตาบ้า...หน้าไม่อาย หนอย...รู้จักช่อมาลีน้อยไปซะแล้ว”
บ่นเขาลับหลังเสร็จก็หันมองหน้าหลังอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งชั้นนี้จะมีแค่เธออยู่เพียงคนเดียวก็ตาม โต๊ะของเธอตั้งอยู่ด้านนอกหน้าห้องของท่านประธานหนุ่ม โชคดีที่ผนังห้องของเขาเป็นแบบทึบ ไม่ใช่กระจกที่สามารถมองออกมาเห็นภายนอกได้ มิเช่นนั้นเขาคงได้เห็นท่าทางประหลาดของเธอแน่
เธอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของพชร เขาจงใจยั่วให้เธอได้อาย ทำแบบนี้ถือเป็นการแกล้งกันชัด ๆ เห็นทีคงต้องประเมินผู้ชายคนนี้เสียใหม่ เขาไม่ใช่เจ้านายมาดนิ่งอย่างที่เข้าใจตั้งแต่แรก แต่เขาเป็นพรานล่าเนื้อ เป็นเพลย์บอยตัวร้ายที่ขึ้นชื่อลือชาในตอนกลางคืน
คิดแล้วก็ให้นึกหวั่นใจ จำได้ว่าคืนนั้นเขาจ้องเธอแทบไม่วางตา ถึงแม้จะไม่มีทีท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่ แต่เธอรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากที่แสนเย็นชาเรียบเฉยนั้น ซุกซ่อนคมเขี้ยวไว้แพรวพราวแค่ไหน
เห็นทีคืนวันศุกร์ที่จะถึงนี้คงต้องระมัดระวังตัวเสียหน่อยแล้ว
ช่อมาลีเดินถือถาดใส่แก้วกาแฟเข้ามาในห้อง เห็นชายหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะก้มลงอ่านเอกสารในมือ ก็อดมองลอดแว่นไปดูเอกสารตรงหน้าเขาไม่ได้ หรือเธอจะทำอะไรผิดพลาด เขาถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น
“มีอะไรผิดพลาดหรือคะท่านประธาน” หญิงสาววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา แล้วทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“เปล่าหรอก ไม่มี คุณทำงานได้ดีแล้วคุณช่อ เพียงแต่ผมกำลังคิดว่าถ้าเรานำเข้ารถอีกรุ่น โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่พวกนักศึกษา หรือพนักงานบริษัทที่ระดับเงินเดือนธรรมดา ๆ แต่สามารถผ่อนรถได้ คุณคิดว่าเป็นยังไง”
พชรลองเลียบเคียงถามความเห็นของเลขาฯ คนใหม่ เขาอยากรู้ว่าหญิงสาวจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับบริษัทของเขาที่นำเข้ารถหรูระดับสิบล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าบริษัทจะเปิดอีกไลน์ซึ่งก็คือการนำเข้ารถรุ่นธรรมดาที่สามารถซื้อหาได้ทั่วไปเพื่อเพิ่มยอดขาย
หญิงสาวนิ่งคิดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยความคิดเห็นที่ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“อืม...ดิฉันว่าไม่ควรนะคะท่านประธาน”
“ทำไมล่ะ” พชรควงปากกาในมือเล่น มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตายิ้มได้ พร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ก็ในเมื่อบริษัทของเรานำเข้าแต่รถหรู เราก็ควรที่จะต้องรักษาระดับความเป็นมาตรฐานเอาไว้ค่ะ เพราะถ้าหากเรานำเข้ารถรุ่นธรรมดาเข้ามา ดิฉันเกรงว่ามันจะดู...เอ่อ...จับฉ่ายเกินไปหน่อย” ท้ายประโยคเธอพูดเสียงแผ่ว นิ้วเรียวดันกรอบแว่นให้เข้าที่ทั้งที่มันก็อยู่ตรงตำแหน่งของมันดีอยู่แล้ว
“แล้ว...” พชรถามต่อ เพราะดูเหมือนหญิงสาวจะพูดอะไรเพิ่มเติม
“แต่ถ้าต้องการเพิ่มไลน์ขึ้นมาจริง ๆ ดิฉันว่าน่าจะเปิดอีกบริษัทเลยดีกว่า เป็นบริษัทในเครืออีกทีหนึ่งน่ะค่ะ”
พอฟังจบ ชายหนุ่มเอียงคออมยิ้ม รู้สึกพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในตอนนี้พอดี เลขาฯ ใหม่ของเขาคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว
ทางด้านช่อมาลี เห็นเจ้านายนั่งอมยิ้มเอานิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ตาคมมองเอกสารในมือท่าทางเหมือนถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง หากแต่เธอก็ไม่กล้าถามอะไรมากนักเพราะอาจจะโดนเขาทดสอบอีก เมื่อครู่เธอรู้ว่าเขาลองภูมิ แต่คนอย่างช่อมาลีก็ใช่ว่าจะไปไม่เป็นกับคำถามง่าย ๆ แค่นั้น
“คุณช่อ คุณไม่คิดจะถอดแว่นแล้วเปลี่ยนไปใส่คอนแท็กเลนส์บ้างหรือ”
ช่อมาลีสะดุ้งโหยงที่จู่ ๆ เขาก็ถามออกมาโต้ง ๆ หญิงสาวทำหน้าเหลอหลามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้างุดจนคางแทบชิดกับคอ
“มะ...ไม่ดีกว่าค่ะ ดิฉันไม่ชอบใส่คอนแท็กเลนส์ ดิฉันถนัดใส่แว่นมากกว่า” ความรู้สึกของคนที่ทำผิดแล้วกลัวถูกจับได้เป็นอย่างไร เธอเพิ่งรู้สึกได้วันนี้นี่เอง ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตกลงเขาจำเธอได้หรือไม่
“สะ...เสื้อผ้าของท่านประธานที่เลอะกาแฟเมื่อครู่ ดิ...ดิฉันเอาไปซักให้ก็ได้นะคะ เพราะดิฉันเป็นคนทำเลอะ”
“หืม...คุณจะเอาไปซักให้ผมหรือ แน่ใจนะ” พชรเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบคางตนเองเล่นไปมา
“ค่ะ ดิฉันซักให้ได้ค่ะ ดิฉันอยากรับผิดชอบที่ทำซุ่มซ่ามขนาดนั้น”
หญิงสาวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะต้องการทำอย่างที่พูดจริง ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะมีแม่บ้านคอยจัดการเรื่องพวกนี้ให้อยู่แล้ว
“ก็ตามใจ แต่มันมีกางเกงในของผมด้วยนะ กาแฟเมื่อกี้มันหกรดไปจนถึง...กางเกงในของผมเลย”
พชรแกล้งพูดเสียงยานคางเว้นวรรคเพื่อจงใจยั่วหญิงสาวให้ได้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกรอบ สองตาของเขาระยิบระยับขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของคนตรงหน้า ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้
“หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับคุณช่อ ผมมีแม่บ้านมาจัดการให้อยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ส่งผลให้ใบหน้านวลยิ่งแดงเถือกขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้
“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวออกไปนั่งที่โต๊ะทำงานด้านนอกนะคะ ถ้าท่านประธานมีอะไรจะเรียกใช้ดิฉันก็เรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนหันหลังกลับแล้วเดินไปที่ประตู แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อเธอไว้
“คุณช่อ”
“ค...คะท่านประธาน มีอะไรรึเปล่าคะ”
ช่อมาลีหันไปมองหน้าเจ้านายอีกรอบ เห็นเขายกแก้วกาแฟขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี
“เปล่า...ผมแค่อยากจะบอกว่า ขอบคุณสำหรับกาแฟ รสชาติเริ่มใกล้เคียงแล้วล่ะ”
เขายักคิ้วให้อย่างหยอกเย้าจนหญิงสาวต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วพยายามปั้นหน้ายิ้มส่งไปให้คนช่างแกล้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว”
ช่อมาลีพูดจบก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากห้อง ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งหัวเราะแบบไม่มีเสียงอยู่เพียงลำพังหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ นัยน์ตาระยิบระยับพริบพราวเมื่อเห็นสีหน้าของเลขานุการคนใหม่
“สนุกดีแฮะ”
เขาไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งช่อมาลีนัก ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งนี้ครั้งที่สอง กับเลขาฯ คนเก่าเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่กับช่อมาลี เขากลับรู้สึกอยากเห็นสีหน้าของเธอเวลาเปลี่ยนอารมณ์ไปมา เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง เดี๋ยวทำหน้าเหวอ เดี๋ยวทำหน้างอ ดูแล้วมีสีสันไม่น่าเบื่อ จะเหลือก็แต่สีหน้าตอนมีอารมณ์อย่างว่า เขาอยากจะเห็นนักว่าเธอจะทำหน้าแบบไหนกัน ตอนที่ต้องนอนบิดกายอยู่ใต้ร่างของเขา
ช่อมาลีเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่โต๊ะ มาทำงานได้แค่สองวันยังเจอเขาแกล้งขนาดนี้ ถ้าอยู่ต่อไปนาน ๆ มีหวังได้เละเป็นโจ๊กแน่ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่ให้เงินเดือนสูงกว่าที่อื่นละก็ เธอไม่มีทางเอาตนเองมาเสี่ยงกับตัวอันตรายอย่างนายพชรคนนี้เด็ดขาด
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าสะพาย หญิงสาวล้วงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสายทันทีเมื่อเห็นรายชื่อคนที่โทร. เข้า
“จ้ะแม่” ปกติช่อฟ้า มารดาของเธอจะไม่ค่อยโทรศัพท์มาเวลานี้นัก แต่ถ้าโทร. เข้ามาหา นั่นหมายความว่ามีเรื่องให้เธอต้องกลับไปสะสางแทบทุกครั้ง
“มาลี! ช่วยน้องด้วยลูก เอ็งต้องช่วยน้องมันนะ”
เสียงสั่นพร่ากระท่อนกระแท่นที่ส่งมาตามสาย ทำให้หญิงสาวต้องหลับตาลงอย่างอดกลั้นต่อสิ่งที่กำลังจะได้รับฟังจากผู้เป็นมารดาทันที น้องชายของเธอคงก่อเรื่องให้แม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว
ตลอดช่วงบ่าย ช่อมาลีเข้าประชุมกับพชรด้วยใจที่กังวลไปสารพัด ชายหนุ่มแนะนำเธอให้รู้จักกับผู้บริหารอีกหลายคนที่เข้าประชุมด้วยกันในฐานะของเลขานุการคนใหม่ หญิงสาวสังเกตสายตาหลายคนที่มองตรงมายังเธอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนก็เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่บางคนก็ส่งสายตาชื่นชมมาให้เมื่อเห็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบของเธอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ทว่าก็ยังมีสายตาปรามาสดูแคลนหลายคู่ที่มองมาอย่างเปิดเผย เพราะเธอนั้นอายุยังน้อย น่าจะอ่อนด้อยประสบการณ์ถ้าเทียบกับเลขานุการคนเก่า
แต่พชรก็แสนดี เขาพูดแก้ต่างให้จนดูเหมือนปกป้องเธอจากผู้บริหารรุ่นลายครามทั้งหลายอย่างนุ่มนวล และมีชั้นเชิง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวันเลยก็ว่าได้ที่หญิงสาวรู้สึกเทิดทูนเจ้านายของตนเองขึ้นมา
หลังจากเลิกประชุมแล้ว พชรดูนาฬิกาเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมาเกือบครึ่งชั่วโมง เขาเหลือบมองไปยังเลขาฯ ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกเหมือนเจ้าตัวจะมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เขาสังเกตได้ตั้งแต่ตอนเข้าประชุมแล้ว จะว่าเพราะประหม่าที่ต้องเจอผู้บริหารพร้อมหน้าพร้อมตาก็ไม่น่าจะใช่ และเขาก็ไม่คิดจะเก็บความสงสัยเอาไว้นานเสียด้วย
“คุณช่อ เลิกงานคุณแล้วจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปกินมื้อเย็นกับผมหน่อยสิ” พชรถอดเสื้อสูทเอามาพาดไว้กับท่อนแขน ปลดเนกไทออกจากคอ จากนั้นก็ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดขณะหันไปพูดกับหญิงสาวที่เดินข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่ภายในใจนั้นกลับลุ้นอยู่ว่าเธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ“เย็นนี้คงจะไม่ได้ค่ะท่านประธาน ดิฉันต้องกลับบ้านแม่น่ะค่ะ”ช่อมาลีหันมายิ้มแกน ๆ ให้เขา พชรจับความรู้สึกไม่สบายใจได้ในน้ำเสียงจึงไม่อยากตอแยคาดคั้นอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรก้าวก่าย“งั้นหรือ...อืม ไม่เป็นไร วันหน้ายังมี เดินทางปลอดภัยนะ”“ไม่ได้ไกลอะไรหรอกค่ะท่านประธาน แค่ปทุมธานีนี่เอง นั่งรถตู้ไปแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ ถ้ารถไม่ติด” ช่อมาลีหันไปพูดกับเขา พชรจึงพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะพูดลาหญิงสาว“ถ้างั้นก็เจอกันพรุ่งนี้ครับ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงลานจอดรถที่ตนเองต้องลง ช่อมาลีจึงยกมือขึ้นไหว้ เธอมองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เดินห่างออกไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกช่อมาลีกลับไปห้อง
ผัวะ!ช่อมาลีฟาดกระเป๋าสะพายใส่หลังน้องชายไม่แรงนักเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บ แต่แค่อยากให้รู้ว่าเธอเหลืออดแล้วจริง ๆ และเขตไทก็คงรู้ว่าพี่สาวกำลังโกรธมากจึงไม่คิดโต้เถียง หรือหลบเลี่ยงเวลาที่อีกฝ่ายฟาดลงมา“ไอ้เขต! แกจะทำตัวให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ไม่สงสารตัวเองก็สงสารแม่บ้าง วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่องเดือดร้อนไม่ได้หยุดได้หย่อน อีกไม่กี่เดือนก็จะจบปวช. อยู่แล้ว หัดคิดเสียบ้างว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อ ไม่ใช่เอาแต่หาเรื่องมาให้”เธอทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนแรง ในขณะที่ช่อฟ้าตบที่แขนของบุตรชายเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้รีบเข้าห้องนอนไป“ผมรู้น่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ พี่อย่าบ่นนักได้ไหม”นอกจากจะไม่ทำตามที่มารดาบอกแล้ว เด็กหนุ่มยังเปิดปากเถียงพี่สาวพร้อมกับชักสีหน้ารำคาญเต็มทน“จะไม่ให้ฉันบ่นได้ยังไง ฉันหมดกับแกไปตั้งเท่าไรแล้วหา! ไอ้เขต แกเคยคิดบ้างไหมว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำงานงก ๆ เพื่อหาเงินมาเป็นค่าปรับ ค่าประกันตัวให้แกเนี่ย เดือนนี้ก็สามหมื่นเข้าไปแล้วนะ”ช่อมาลีแหวขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสี
ชายหนุ่มพยักหน้าให้ หญิงสาวจึงเดินออกไปจากห้อง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีแต่ชามของเขาแค่คนเดียว แต่ไม่มีของช่อมาลี เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องแล้วตรงไปที่โต๊ะทำงานของเลขาฯ ส่วนตัวแล้วก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นชามเปล่าวางไว้คู่กันกับถุงโจ๊กบนโต๊ะ พชรหยิบมันติดมือเดินกลับเข้าห้องไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ก็ในเมื่อวันนี้เขาตั้งใจจะมากินมื้อเช้ากับเธอ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมานั่งกินอยู่คนเดียวในห้องกันเล่า“กาแฟได้แล้วค่ะ”ช่อมาลีเดินถือถาดใส่แก้วกาแฟเข้ามาในห้อง พอวางลงบนโต๊ะตรงหน้าพชรแล้วถึงได้เห็นชามของตนเองวางอยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของเขา“ผมแค่ไม่อยากนั่งกินคนเดียว อุตส่าห์ให้คุณไปซื้อมาให้ก็เพื่อจะมานั่งกินด้วยกัน คุณจะแยกไปกินคนเดียวหน้าห้องทำไมล่ะ รังเกียจผมหรือไงคุณช่อ” พชรแกล้งพูดเย้าหญิงสาว ทำเอาช่อมาลีส่ายหน้าหวือ“เปล่านะคะ ไม่ได้รังเกียจ ดิฉันก็แค่เกรงใจ นึกว่าท่านประธานอยากจะนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ”“ถ้าผมอยากนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ คงไม่มานั่งกินที่ออฟฟิศหรอกครับคุณช่อ”พชรผายมือเชื้อเชิญให้คนตรงหน้านั่ง ช่อมาลีจำต้องนั
“ทำไมคุณถึงไม่แจ้งตำรวจตั้งแต่ตอนแรกที่เจอศพ” สารวัตรหนุ่มถามพลางจ้องหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่งอย่างค้นหา“คุณตำรวจน่าจะรู้ดีนะครับว่าพวกผมหรือไม่ว่าใครก็ตามไม่มีใครอยากยุ่งกับตำรวจเท่าไรนักหรอก โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ปิดเงียบกันทั้งนั้นแหละ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าคนตายเป็นใคร คนฆ่าเป็นใคร แถมพวกผมยังมาร้องเพลงให้ที่นั่นเป็นวันแรก แต่ก็ต้องมายุ่งเกี่ยวกับตำรวจแล้ว ผมว่าสู้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเลยน่าจะดีกว่า”คริสตอบตามจริง คนทำงานกลางคืนอย่างพวกเขาทุกคน แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการข้องเกี่ยวกับตำรวจทั้งนั้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามสารวัตรหนุ่มลอบถอนหายใจ ข้อนี้เขารู้ดี บางคนถ้าไม่ใช่เรื่องของตน ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครอยากยุ่งทั้งนั้น ยิ่งเรื่องฆาตกรรม หรือเรื่องที่มีคนตายยิ่งแล้วใหญ่ กว่าจะง้างปากแต่ละคนได้ เล่นเอาเหนื่อยหลังจากนั้นก็ทำการซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ และสภาพศพที่ทั้งสองคนพบเจอตอนแรกว่าจะตรงกันกับตอนที่ตำรวจไปเจอหรือไม่ ซึ่งคำตอบโดยส่วนใหญ่ คริสจะเป็นผู้ตอบเกือบทั้งหมดหลังจากที่ทั้งสี่คนทิ้งที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์เอาไว้แล้วก็เดิ
“พวกเธอไปเที่ยวที่คลับบ่อยหรือ”ช่อมาลีแกล้งทำหน้าซื่อถามออกไป หนึ่งในนั้นทำหน้าเยาะราวกับว่าสิ่งที่เธอถามนั้นช่างโง่เง่าสิ้นดี แต่เธอก็ต้องทำเป็นไม่เห็น และไม่ใส่ใจกับคนพวกนี้“พวกเราไปกันทุกอาทิตย์นั่นแหละ เธอคงยังไม่เคยไปสินะมาลี คลับซุสของคุณโอมน่ะมีแต่คนมีระดับ หรือพวกกระเป๋าหนัก เงินหนาเท่านั้นนะถึงจะเข้าไปได้”เฉิ่มเชยอย่างช่อมาลีนี่น่ะหรือจะสะเออะเข้าไป ไม่รู้ว่าคุณโอมเมาหรือว่ามึนกันแน่ที่รับแม่นี่เข้ามาทำงานเป็นเลขาฯ ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะสมสักนิด!พลอยต่อประโยคหลังในใจ สายตามองเหยียดไปยังเลขาฯ คนใหม่ของประธานบริษัทอย่างไม่ปิดบังก่อนจะเสหลุบตาลงดูดน้ำในแก้ว“ฉันไม่เคยไปเที่ยวหรอกที่แบบนั้น ฉันไม่ค่อยสันทัดเท่าไร”ช่อมาลีตอบออกไป ก่อนจะทำทีเป็นมองไปที่หน้าร้านเพื่อดูว่าข้าวกล่องของตนได้หรือยังเพราะขี้เกียจจะเสวนากับสาว ๆ กลุ่มนี้เต็มทีแล้ว“นี่มาลี ฉันถามอะไรหน่อยสิ คุณโอมเขาชอบผู้หญิงแบบไหนน่ะ เธอรู้บ้างรึเปล่า” เก๋ถามแทรกขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย ส่วนคนถูกถามก็ได้แต่ลอบยิ้มอยู่ในหน้า แล้วตอบออกไปด้วยความมั่นใจเต็มที่“ท
หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ในยามที่เธอไม่ใช่ช่อมาลี เลขาฯ ส่วนตัวของเขา แต่กลับเป็นใครอีกคนหนึ่งที่เขาอาจจะกำลังคิดเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน ดูแค่สายตาก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไร ไหนจะฝ่ามือแสนร้ายกาจที่เริ่มเลื้อยต่ำลงไปยังสะโพกกลมกลึง แล้วหมุนวนเอื่อย ๆ เนิบช้าอย่างมีชั้นเชิง“ได้ค่ะ เรียกม็อทเฉย ๆ ก็ได้ แต่เรื่องไปส่งนั้นคงไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เพราะม็อทกลับกับเพื่อนในวงอยู่แล้ว”ช่อมาลีรีบพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ส่งผลให้มือกาวคู่นั้นหลุดออกจากสะโพกเธอไปด้วย หญิงสาวรีบยกมือขึ้นไหว้เขาเพื่อขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำเอาคนได้รับหัวใจกระตุกวูบตาคมกริบไม่อาจละไปจากดวงหน้าสวยบาดใจนั้นได้ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงลอยเด่นอยู่ตรงหน้า มันทำให้เขาเผลอมองจนตาปรอย ยิ่งเห็นสายตากึ่งท้าทายกึ่งเชิญชวนที่เจ้าหล่อนมองมา พชรก็แทบอยากเอาตาข่ายมาดักจับผีเสื้อราตรีตัวนี้เอาไปไว้ดูเล่นบนเตียงเสียเดี๋ยวนั้นเธอมองเหมือนเขาไม่มีวันได้แอ้มเธอแน่ ๆ!“ไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือครับ กลับกับเพื่อนในวงคงไม่สนุกเหมือนกลับกับผมหรอกนะ”พชรยิ้มกริ่มมอง
“ยังมืดแปดด้านอยู่ พี่ให้คนคอยจับตาดูดีเจที่ชื่ออาร์มอยู่ตลอด แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสงสัย แถมยังระวังตัวมากกว่าเดิมด้วย”จุมพลนิ่งคิด เพราะดีเจหนุ่มคนนั้นระวังตัวแจ คนของเขาจึงไม่ได้จังหวะหาทางรวบตัวตอนขายยาแบบคาหนังคาเขาได้สักที คิดแล้วก็น่าเจ็บใจที่เจ้าตัวแสบนั่นรอดตัวไปได้ทุกครั้งราวกับมีคนคอยช่วยเหลืออยู่“ผมว่าบางทีอาร์มมันไม่น่าจะเกี่ยวกับการตายของผู้หญิงคนนั้นนะครับ” ภีมพลออกความเห็นบ้าง“พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ แต่เราก็ยังวางใจไม่ได้ อีกอย่างสภาพศพมันโหดเหี้ยมเกินไป จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการฆ่าเพราะเรื่องยาเสพติด แต่น่าจะเป็นการฆ่าเพราะแรงแค้น แรงโกรธเกลียดอะไรแบบนั้นมากกว่า”สารวัตรหนุ่มออกความเห็นอย่างคนที่เจอคดีมามากมาย การเขียนประจานลงบนตัวศพว่า “ร่าน” นั้นก็เครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าฆาตกรมีความแค้นกับผู้ตายอยู่มากพลันนั้นความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นมาในหัว จุมพลเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงแล้วยื่นหน้ามาถามทันที“อาร์มมันมีแฟนไหม หรือคนที่กำลังคบกันอยู่น่ะ”พชรกับภีมพลหันมองหน้ากันทันที ข้อนี้พวกเขาก็ไม่รู้
เพื่อนสาวอีกคนชี้ไปยังโต๊ะของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่ภีมพลเดินเข้าไปทักทายแล้วดูท่าว่าจะปักหลักอยู่ที่โต๊ะนั้นไม่ยอมไปไหน ทำเอาแนนนี่หน้าร้อนวูบด้วยความอับอายที่ถูกเพื่อนสาวทำท่าทางหัวเราะใส่ราวกับเยาะเย้ยตนไม่ใช่แค่สาว ๆ สองกลุ่มนี้เท่านั้นที่จับจ้องไปยังพชรกับสาวสวยไฮโซ แต่ร่างระหงที่กำลังพลิ้วไหวอยู่บนเวทีก็แอบชำเลืองมองไปยังสองร่างที่พะเน้าพะนอคลอเคลียกันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขอให้เป็นผู้หญิงสวย เขาก็สามารถสานสัมพันธ์กับพวกหล่อนได้ทุกคนเลยใช่ไหม เจ้านายของเธอช่างเป็นผู้ชายอันตรายของแท้เลยจริง ๆช่อมาลีไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าดวงตาคมปลาบของคนที่ตนเพิ่งปรามาสไปว่าเป็นผู้ชายอันตรายนั้น ตอนนี้เอาแต่จับจ้องอยู่แต่เรือนร่างเย้ายวนที่เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีแทบไม่วางตา ถึงแม้ในอ้อมกอดของเขาจะมีสาวสวยอยู่แนบอก แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากความงดงามที่เริงร่าอยู่บนเวทีได้ ม็อทสามารถสะกดคนดูได้อยู่หมัด ยิ่งพวกหนุ่ม ๆ ที่เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาโดยรอบนั้นต่างจับจ้องกันตาแทบถลนไม่ต่างจากเขา นับว่าภีมพลคิดถูกจริง ๆ ที่ได้วงนี้มาเล่นให้คลับซุส“โอมคะ...อินเวียนหัวจังเล
“ตอนนี้ที่คลับลูกค้าเยอะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะระบบรักษาความปลอดภัย และการคัดกรองพนักงานที่เข้มงวดมากขึ้น ผู้จัดการคลับก็มีสองคน คนหนึ่งดูแล และแก้ปัญหาเกี่ยวกับลูกค้า อีกคนหนึ่งดูแลพนักงานทั้งหมด ฝ่ายบัญชี และจัดซื้อก็ยังใช้พนักงานชุดเก่า มีวงดนตรีที่มาเล่นประจำให้ที่คลับสามวงต่อสัปดาห์ ซึ่งวงบัตเตอร์ฟลายจะเล่นศุกร์เสาร์อาทิตย์เหมือนเดิม แต่เล่นแค่รอบเดียวคือรอบปิดท้าย ส่วนอีกรอบเราจะใช้นักดนตรีจากอีกวงหนึ่งมาเล่นให้ เท่ากับว่าในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์จะมีวงดนตรีมาเล่นให้วันละสองวง”“ผมคิดว่าเราน่าจะเพิ่มบาร์ค็อกเทลนะพี่ จัดสักมุมหนึ่งของฮอลล์ มีบาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อสาวสวยเป็นคนผสมเครื่องดื่มให้ตามแต่ที่ลูกค้าต้องการเหมือนตามโรงแรมน่ะ”รชตเสนอความเห็นให้พี่ชาย เขาเคยไปที่คลับหลายครั้งแล้ว และเขาคิดว่าที่คลับควรจะต้องมีบาร์ค็อกเทลเหมือนเมืองนอก หรือตามโรงแรมใหญ่ ๆ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้า“อืม...ก็น่าสนใจนะ พี่ก็เคยคุยเรื่องการขยายพื้นที่ของซุสกับภีมมันเหมือนกัน เพราะได้ข่าวมาว่าผับที่อยู่ถัดไปจากซุสกำชังจะหมดสัญญาเช่าที่ พี่กับเจ้าภีมเลยคิดว่าจะไปเทก
สองปีต่อมาพชรนั่งคิ้วขมวดเป็นปมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมกับนิ้วมือที่กำลังคีย์ข้อความลงไปอย่างรัวเร็ว สลับกับการรื้อกองเอกสารที่ไร้ระเบียบตรงหน้าอย่างวุ่นวาย เขาจำไม่ได้แล้วว่านั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรแล้ว รู้แต่ว่าเขาต้องจัดการเอกสารกองนี้ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วสรุปทุกอย่างใส่ลงในเอ็กเซล เพื่อที่จะได้เอากลับไปทำต่อที่บ้านเขาไม่อยากแบกเอกสารหนาหนักพวกนี้กลับไปด้วย เพราะนอกจากเสี่ยงที่จะสูญหายแล้ว ช่อมาลีก็อาจทนไม่ได้จนต้องลงมือเข้ามาช่วยเขาจัดการกับพวกมันทั้งหมด ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เธอเพิ่งคลอดบุตรชายคนแรกให้เขาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาอยากให้หญิงสาวพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย มากกว่าที่จะต้องมาทำงานให้เขาทั้งคู่เข้าพิธีแต่งงานด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว และเลิกคุมกำเนิดด้วยการกินยาแต่หันมาใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมชาติแทน ตอนที่คุยกัน ช่อมาลียังไม่พร้อมจะตั้งครรภ์ เพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กันสองคนแบบนี้ไปก่อน ซึ่งเขาเองก็เห็นด้วย ทั้งที่ตอนแรกเขาอยากมีลูกเร็ว ๆ ให้พ่อกับแม่ได้อุ้มหลานทว่าไม่นานนักความต้องการของเขาก็สัมฤทธิ์
“ต้องยังงี้สิ ไปกันเถอะ” พชรโอบไหล่พาช่อมาลีเข้าไปในงาน ซึ่งการจัดงานนั้นเป็นแบบเปิดโล่งริมชายหาด รถสปอร์ต และยนตรกรรมสุดหรูจอดเรียงรายกันบนหาดทราย โดยมีพริตตี้สาวสวยในชุดบิกินีคาดช่วงล่างด้วยผ้าบาติกมัดย้อมคลุมจนถึงเข่าโดยมัดปมไว้ที่สะโพกอีกข้างหนึ่งเพื่ออวดเรียวขาวับแวมยืนให้คำอธิบายเกี่ยวกับสมรรถนะต่าง ๆ อยู่ข้างรถตลอดทั้งวันจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติแห่กันเข้ามาดูรถหรูไม่ขาดสาย บ้างก็มาเพื่อถ่ายรูปสาวสวยที่ยืนข้างตัวรถ บ้างก็มาเพื่อขอทดลองนั่งด้านใน และก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจบงานในวันสุดท้าย หรือวันที่สามของการจัดงาน ซึ่งสิ่งที่ทำให้ท่านประธานยิ้มไม่หุบเลยนั่นก็คือยอดจองรถที่ทะลุเป้าหมายจากที่วางเอาไว้ถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก“ผมขอดื่มให้กับทุกคนสำหรับงานมินิมอเตอร์โชว์ในครั้งนี้ และขอขอบคุณพวกคุณทุก ๆ คนที่ทำให้งานในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แทบจะเรียกว่าดีมากจนเกินเป้าหมายที่ผมวางไว้ด้วยซ้ำ ขอบคุณมากครับ”พชรลุกขึ้นยืนตอนที่พูด คนอื่น ๆ จึงลุกขึ้นตามไปด้วยพร้อมกับยกแก้
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย แปลว่าที่พูดไปเมื่อกี้นี่ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหมคุณ”ช่อมาลีวางช้อนและส้อมลงทันที สองตาตวัดมองไปยังคนหน้าไม่อายตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่คนถูกมองหาได้เกรงกลัวไม่ เขากลับหัวเราะคิกคักพลางจ้องคนสวยหน้าบึ้งด้วยแววตาเป็นประกายราวกับถูกอกถูกใจนักหนา“โอเค...ไม่ลุกใช่ไหม...ได้”ช่อมาลีคลี่ยิ้มเยือกเย็นส่งให้พร้อมกับทำท่าจะคว้าเอาแก้วน้ำส้มที่วางอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าไม่ไวพอเท่าชายหนุ่มที่เอื้อมมาคว้าไปได้ก่อนพร้อมกับดื่มน้ำส้มแก้วนั้นเสียเองจนหมดแก้วไปต่อหน้าต่อตาช่อมาลีลุกพรวดขึ้นทันที ตั้งใจไว้ว่าจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมให้มาลากเขาออกไป พอดีกับที่พชรรีบเดินเร็ว ๆ กลับมาที่โต๊ะด้วยท่าทางเอาเรื่องเพราะเห็นแฟนสาวกำลังถูกคุกคาม“มีอะไรรึเปล่าม็อท” พชรถามหญิงสาวแต่สายตาจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่มาก้อร่อก้อติกแฟนสาว จนเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ และได้มองหน้าของผู้ชายคนนั้นชัด ๆ จากสายตากรุ่นโกรธก็เปลี่ยนเป็นเบิกกว้างขึ้นทันที“อ้าวเฮ้ย! เจ้าอาร์ต นี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”พชรพูดเสียงไม่เบานักเพราะความประหลาดใจที่เห็นน
ช่อมาลีค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาทีละนิด แล้วก็ปิดตาลงไปเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏเป็นแผงอกหนั่นแน่นของใครบางคน เธอตั้งสติแล้วลืมตาขึ้นมามองใหม่อย่างไม่ค่อยแน่ใจในสายตาของตนเองเท่าไรนัก ตาคู่สวยเบิกกว้าง ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ เมื่อความทรงจำแสนวาบหวามเมื่อคืนย้อนกลับเข้ามาสู่ความทรงจำอีกครั้งช่อมาลีค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ วางท่อนแขนหนัก ๆ พาดไว้ที่เอวของเธอพร้อมกับเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมองใบหน้าของเขาให้เต็มสองตา เพราะในเวลาปกติ เธอไม่อาจมองเขานาน ๆ ได้ตั้งแต่รู้ตัวว่าคิดกับเขาไม่เหมือนเดิมใบหน้ายามหลับของพชรแลดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัย เครื่องหน้าลงตัว อย่างผู้ชายที่จัดว่าหน้าตาดี เขาไม่ใช่คนหล่อชนิดที่ว่าเห็นครั้งแรกแล้วต้องตะลึงมองเหมือนคริส เพื่อนในวงดนตรี แต่เขาก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับได้ยาก โดยเฉพาะนัยน์ตาเจ้าเล่ห์คู่นี้ที่ตวัดมองมาแต่ละครั้งก็สามารถทำให้ใจแทบละลายได้ แล้วไหนจะรอยยิ้มมุมปากแสนกระชากใจนั่นอีกเล่าที่สะกดสาว ๆ มานักต่อนักแล้ว ไม่เว้นแม้กระท
ชายหนุ่มรัดร่างหญิงสาวไว้จากด้านหลัง แล้วดันให้เธอเดินหน้าไปยังเตียงนอนหลังใหญ่ที่อยู่กลางห้อง แต่เจ้าหล่อนกลับพยศรั้งตัวเองไว้ไม่ยอมเดินไปตามเขา พชรจึงตัดสินใจช้อนตัวขึ้นอุ้มเสียเลย“คุณโอมขา ม็อทขอโทษที่โกหก ก็ม็อทอยากว่ายน้ำนี่นา”หญิงสาวกระถดตัวหนีเมื่อพชรวางเธอลงบนเตียง จนเสื้อคลุมหลุดลุ่ยอวดผิวขาวนวลเนียนตัดกับสีแดงของบิกินี่ตัวจิ๋ว“อยากว่ายก็ว่ายไปสิครับ ผมไม่ได้หวงสักหน่อยนี่นา สระว่ายน้ำที่นี่จะคุณหรือผมใช้ได้ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อมองเห็นหยดน้ำจากเส้นผมที่เปียกลู่ของเธอกำลังไหลผ่านซอกแคบระหว่างภูเขาย่อม ๆ สองลูกให้ตายเถอะ! เขาอยากใช้ปากและลิ้นเช็ดตัวเธอให้แห้งจริง ๆ“ถ้าม็อทว่ายตอนคุณโอมอยู่ อย่างกับว่าม็อทจะได้ว่ายสบาย ๆ งั้นแหละ ก็คุณน่ะชอบมาหาเศษหาเลยกับม็อทเรื่อยเลย”ช่อมาลีบ่นงอดแงดพลางเอาหมอนมากอดไว้เพื่อบังร่างเกือบเปลือยของตนเองเมื่อเห็นสายตาราวกับจะกลืนกินของเขาพชรหลุดขำหัวเราะร่า ก่อนจะอาศัยจังหวะที่เธอเผลอกระโดดเข้าตะครุบตัวหญิงสาวแล้วกอดเอาไว้แน่น ช่อมาลีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอ
พชรพูดพลางโอบหญิงสาวไว้หลวม ๆ มือเขาแตะอยู่บริเวณแผลที่เริ่มตกสะเก็ดหลายรอยนั่นอย่างทะนุถนอม“ม็อทก็ไม่รู้ค่ะว่าต้องนานแค่ไหน แต่คุณโอมเบื่อง่าย ม็อทก็แค่กลัวโดนหลอกฟันแล้วทิ้งน่ะ” หญิงสาวแกล้งพูดติดตลก แต่ในใจคิดอย่างนั้นจริง ๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่กองอยู่ที่พื้นขึ้นมาสวมใส่“นี่แน่ะ คิดมากไปได้ เห็นผมเลวร้ายขนาดนั้นเชียว”ชายหนุ่มแจกมะเหงกลงที่กลางกระหม่อมของหญิงสาวไม่แรงนัก ก่อนจะหอมแก้มหนัก ๆ แล้วรั้งตัวเธอให้นอนราบลงมาก่ายเกยกับร่างเขาบนเก้าอี้อาบแดดตัวเดียวกัน“อ้าว...นี่คุณโอมไม่รู้ตัวเลยหรือคะว่าตัวเองน่ะดูเพลย์บอยมากแค่ไหน” ช่อมาลีนอนเอาแก้มแนบกับแผงอกเขา ฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ข้างในนั้นอย่างปลื้มปริ่ม“คุณรักม็อทตรงไหนคะ เมื่อก่อนตอนที่คุณเจอม็อทแรก ๆ คุณก็ทำท่าจะลากม็อทขึ้นเตียงอย่างเดียวเลย ตอนเป็นเลขาฯ คุณก็ชอบมาหยอกนั่นหยอกนี่เหมือนหมาหยอกไก่”“คุณรู้รึเปล่าว่าผมกับไอ้ภีมจะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งนั่นก็คือ ไม่กินไก่วัด แต่คุณทำให้ผมต้องแหกกฎครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนไหน ผมไม่อยากยอมรับตัวเองด้วยซ้ำว่าผม
สัปดาห์หน้าต้องไปภูเก็ตกับเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดจากเขาได้สักแค่ไหนกัน เห็นเขาชอบหาเศษหาเลยกับเธอบ่อย ๆ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเขาหวังเพียงแค่อยากเชยชมเรือนร่างของเธอรึเปล่า และถ้าถึงวันที่เธอเพลี่ยงพล้ำไปกับเขาจริง ๆ เขาจะยังปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิมไหม หรือว่าได้แล้วก็เลิกใส่ใจเพราะหมดความตื่นเต้น หมดความน่าค้นหา ระยะเวลาที่คบกันก็น้อยนิดเหลือเกินจนไม่สามารถสร้างความมั่นใจอะไรได้เลยตั้งแต่ลงจากเครื่องมา พชรก็เอาแต่เกาะกุมมือของช่อมาลีไว้ตลอดเวลาจนหญิงสาวคร้านจะขัดขืนกับเขา เพราะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางฟังแน่นอน ทว่าพอมาเห็นสายตากึ่งล้อเลียนของผู้จัดการสุชาติที่มารอรับที่สนามบินแล้วก็อดเขินขึ้นมาไม่ได้“สวัสดีครับคุณโอม คุณช่อมาลี เชิญทางนี้เลยครับ”สุชาติยิ้มแย้มแจ่มใส แกล้งทำเป็นไม่เห็นมือที่สอดประสานกันของสองหนุ่มสาว และใบหน้าแดงระเรื่อของช่อมาลี ก่อนจะเดินนำไปที่รถของตน“ตกลงเรื่องที่ผมให้ทำได้เรื่องว่ายังไงบ้างคุณสุชาติ”พชรถามขึ้นเมื่อเดินมาถึงรถแล้วเปิดประตูให้ช่อมาลีขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ส่วนตนก็ย้ายไปนั่งด้านหน้าค
“ที่รัก เข้ามาหาผมหน่อยสิ”เสียงจากอินเตอร์คอมที่ดังขึ้นบนโต๊ะ ทำให้ช่อมาลีกระวีกระวาดออกจากห้องแคนทีนโดยด่วน หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ไม่มีใครขึ้นมาจนได้ยินประโยคเมื่อครู่ มิเช่นนั้นเธอได้ดังกระฉ่อนไปทั่วบริษัทในเรื่องการใช้เต้าไต่แน่ ๆ ซึ่งแหล่งปล่อยข่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกสาว ๆ แฟนคลับของท่านประธานสุดหล่อนั่นเอง“ท่านประธานคะ อย่าเรียกอย่างนี้ในที่ทำงานได้ไหม เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไงคะ” ช่อมาลีเปิดประตูเข้าไปถึงก็ยืนเท้าสะเอวบ่นให้เขาทันทีเธอบอกเขาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรแล้ว แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจจะทำตามเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเขาไม่สนใจสายตาของพนักงานทั้งบริษัทอีกด้วย เพราะไม่ว่าเขาจะไปไหนมักจะหนีบเธอไปด้วยเสมอ อย่างเช่นเวลาออกมากินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารแถวบริษัท เขาก็มักจะคว้ามือของเธอไปจับจูงต่อหน้าต่อตาคนอื่นเป็นประจำ บางคราวก็โอบเอวโอบไหล่แม้ว่าเธอจะปรามเขาไปหลายครั้งแล้วก็ตาม“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็คุณเป็นที่รักของผมนี่ ผมอยากเรียกคุณอย่างนี้นี่นา...มานี่เลย มาส่งส่วยซะดี ๆ”