พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศ
พอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้น
จะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก
“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”
พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะสวมวิญญาณตีนผีให้ดู
“เยส! พ้นแล้วโว้ย”
พชรร้องออกมาอย่างสะใจ ส่องกระจกมองหลังก็เห็นรถประจำทางคันเมื่อครู่ยังคงติดไฟแดงต่อไป คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจกับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ เหลือเกิน เพราะเหตุนี้บริษัทของเขาจึงไม่มีนโยบายหักเงินเดือนพนักงานในกรณีที่มาทำงานสาย ก็ในเมื่อท้องถนนมันไม่พอให้รถวิ่งอย่างนี้จะไม่ติดก็เกินไปแล้ว
พชรเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถประจำตัว ลงจากรถได้ก็เดินลิ่วเข้าไปในตึกโดยมีพนักงานในอาณัติทำความเคารพเขาเป็นระยะ ๆ ตลอดทางเดิน เมื่อถึงห้องทำงานของตนเอง เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน เห็นโน้ตสั้น ๆ จากแผนกบุคคลแปะเอาไว้ที่โต๊ะจึงหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายภายใน
“คุณมุกครับ คนที่จะมาสัมภาษณ์เขาจะมากี่โมง”
พอได้คำตอบจากปลายสายเขาก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะต้องสัมภาษณ์เลขาฯ คนใหม่ พชรจึงเดินออกจากห้องทำงานแล้วลงไปยังร้านอาหารด้านล่างของตัวตึก
“คุณคะ...คุณ...ตื่นได้แล้วค่ะ รถเมล์สุดสายแล้วนะคะ”
เสียงแหลมบาดแก้วหูจากกระเป๋ารถประจำทางวัยสี่สิบกว่าดังทะลุเข้ามาในความฝันของหญิงสาวจนถึงกับสะดุ้งเฮือก ช่อมาลีขยับแว่นสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะหันไปมองเลิ่กลั่กรอบตัวแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันที จนกระทั่งได้ยินเสียงเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้ง จึงดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้
“รถเมล์สุดสายแล้วนะคะคุณ คุณจะลงที่ไหนคะ”
“สุดสาย! สุดสายแล้วหรือคะ ตายแล้ว ตาย ๆ ตายแน่ ๆ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ขอบคุณนะคะพี่”
ช่อมาลีหน้าตื่น ละล่ำละลักขอบคุณอีกฝ่ายแล้วพรวดพราดลงจากรถ พอลงมาได้ก็วิ่งหน้าตั้งออกจากอู่รถประจำทาง พลางสอดส่ายสายตามองหาวินรถจักรยานยนต์รับจ้างทันที
“นังมาลีเอ๊ย...มาสัมภาษณ์งานวันแรกก็สายเสียแล้ว บริษัทไหนเขาจะรับแกเข้าทำงานล่ะเนี่ย”
ช่อมาลีบ่นพึมพำกับตนเองขณะกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสี่ เพราะหลังจากที่ได้รู้ว่าน้ำเหนียว ๆ ที่ไปเหยียบมาเมื่อคืนนั้นคือเลือด ก็ทำให้เธอแทบนอนไม่หลับเลยทีเดียว อีกทั้งเมื่อคืนได้ตกลงกับเพื่อนร่วมวงเอาไว้ด้วยว่าจะรูดซิปปากกันให้สนิท ไม่พูดถึงเรื่องนั้นจนกว่าตำรวจจะเรียกไปสอบปากคำ ซึ่งคริสคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องถูกเรียกตัวไปทุกคน
ส่วนรองเท้าคู่นั้นน่ะหรือ เธอเอาไปทิ้งที่ถังขยะรวมข้างแฟลตไปแล้วเรียบร้อย
“พี่คะพี่ ไปอาคารยูซีทาวเวอร์ค่ะ ขอแบบด่วน ๆ เลยนะพี่ ซิ่งได้ยิ่งดีเพราะหนูสายแล้ว”
หญิงสาวกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ รับเอาหมวกกันน็อกจากคนขับมาใส่ เธอดูเวลาแล้วก็อยากจะร้องไห้เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว
สิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวร่างสูงโปร่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอาง ผมยาวสีดำสนิทมัดเป็นหางม้ารวบตึงในชุดกระโปรงสอบเข้ารูปสีดำเสมอเข่า เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้วก็มานั่งใจเต้นเป็นรัวกลองอยู่ที่แผนกบุคคล ระหว่างที่รอพนักงานเอาเอกสารการสมัครงานมาให้กรอก
สายตาตำหนิอย่างไม่ปิดบังของพนักงานที่เอาเอกสารมาให้ ทำเอาช่อมาลีรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ราวกับจะจับไข้ จนต้องรีบก้มหน้าก้มตากรอกข้อมูลลงไปในเอกสาร ทำทีเป็นมองไม่เห็นสายตาเชือดเฉือนจากคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“กรอกเสร็จแล้วเรียกได้เลยนะคะ”
พนักงานคนเดิมบอก หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นรับคำ แล้วก้มหน้ากรอกประวัติของตนเองต่อไป ทั้งที่ในใจเริ่มรู้ชะตากรรมแล้วว่าคงไม่ได้งานนี้แน่นอน
หลังจากยื่นเอกสารที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่อมาลีจึงนั่งรอ ไม่นานนัก พนักงานคนเดิมก็เดินมาเรียกช่อมาลีให้เดินตามเข้าไปด้านใน
พนักงานคนนั้นพาหญิงสาวมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งพอเห็นป้ายเหล็กสีทองที่ประกาศตำแหน่งของคนที่นั่งอยู่ในห้อง ช่อมาลีถึงกับเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
พนักงานคนนั้นเคาะประตูห้องสามทีก่อนเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปข้างใน ช่อมาลีจึงก้าวเดินตาม มือขยับแว่นตาให้เข้าที่ตามความเคยชินแล้วลอบมองสำรวจด้านในห้องของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานกรรมการของบริษัทแห่งนี้
“ท่านประธานคะ คนที่จะสัมภาษณ์มาถึงแล้วค่ะ”
มุกรวี หัวหน้าฝ่ายบุคคลแจ้งกับผู้ที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ตอนนั้นเองที่ช่อมาลีหันหน้ามามองผู้ที่มีอำนาจตัดสินชะตาว่าเธอจะได้งานที่นี่หรือไม่ด้วยท่าทีที่สำรวมที่สุด ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น หญิงสาวก็แทบผงะจนเผลอตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ กระเป๋าสะพายที่เอามาถือไว้ในมือร่วงหล่นลงสู่พื้นพรม แถมพ่วงมาด้วยสายตาดุ ๆ จากหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ตวัดหันมามองแทบจะทันที
“นี่คุณ...กระเป๋าหล่นแล้ว” สิ้นเสียงของมุกรวี ช่อมาลีก็รีบก้มลงเก็บกระเป๋าสะพายของตนขึ้นมาถือในมืออีกครั้ง
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่านประธาน”
ร่างผอมของผู้จัดการแผนกวัยสามสิบปลายหันไปพูดกับชายหนุ่มเจ้าของห้องก่อนจะเดินออกไป ก่อนไปไม่วายหันมาทำตาดุใส่ช่อมาลีราวกับคุณครูดุเด็กนักเรียน
“เชิญนั่งครับ”
ช่อมาลีที่กำลังมองตามหลังของคนที่พามาส่งสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มจากหลังโต๊ะทำงาน หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเขา ในใจนึกหวั่นว่าเจ้านายภาคกลางคืนของเธอจะจำเธอได้หรือไม่ ยิ่งเห็นเขามองมา ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนทำท่านึกอะไรบางอย่าง ช่อมาลีก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อย ๆ
“เอ๊ะ! นี่คุณ...”
พชรพูดเพียงแค่นั้นก็ไม่ได้พูดต่อ เขาจำเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่นอนหลับบนรถประจำทางในแบบที่เรียกว่าหมดสภาพ ไม่ต้องเดาเลยว่าที่เธอมาสัมภาษณ์งานสายคงเพราะนอนหลับเพลินจนลืมลงป้ายรถเมล์หน้าตึกเป็นแน่
“อืม...ช่างเถอะ คุณมาสายไปสี่สิบนาทีนะ ไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่าครับ” เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอมาสายเพราะอะไร แต่เขาอยากฟังว่าเธอจะแก้ตัวอย่างไรมากกว่า
“ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ คือว่า...ดิฉันนั่งรถเลยป้ายเพราะไม่ค่อยรู้เส้นทาง กว่าจะรู้ว่าเลยมาไกลแล้วก็ตอนที่รถเมล์เข้าไปจอดที่อู่นั่นแหละค่ะ” หญิงสาวยอมตอบออกไปตามความจริง แต่ละเว้นเรื่องที่หลับบนรถเอาไว้
พชรพยักหน้าช้า ๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นับว่ายังดีที่เธอไม่ได้โกหก เธอแค่บอกความจริงไม่หมดเท่านั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มเปิดแฟ้มประวัติของหญิงสาวแล้วเริ่มต้นทำการสัมภาษณ์ ท่ามกลางความโล่งใจของช่อมาลีที่เริ่มมั่นใจแล้วว่าเขาจำไม่ได้แน่นอน
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”
“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้าเสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเ
รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชาย
“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น