พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศ
พอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้น
จะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก
“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”
พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะสวมวิญญาณตีนผีให้ดู
“เยส! พ้นแล้วโว้ย”
พชรร้องออกมาอย่างสะใจ ส่องกระจกมองหลังก็เห็นรถประจำทางคันเมื่อครู่ยังคงติดไฟแดงต่อไป คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจกับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ เหลือเกิน เพราะเหตุนี้บริษัทของเขาจึงไม่มีนโยบายหักเงินเดือนพนักงานในกรณีที่มาทำงานสาย ก็ในเมื่อท้องถนนมันไม่พอให้รถวิ่งอย่างนี้จะไม่ติดก็เกินไปแล้ว
พชรเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถประจำตัว ลงจากรถได้ก็เดินลิ่วเข้าไปในตึกโดยมีพนักงานในอาณัติทำความเคารพเขาเป็นระยะ ๆ ตลอดทางเดิน เมื่อถึงห้องทำงานของตนเอง เขาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน เห็นโน้ตสั้น ๆ จากแผนกบุคคลแปะเอาไว้ที่โต๊ะจึงหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อสายภายใน
“คุณมุกครับ คนที่จะมาสัมภาษณ์เขาจะมากี่โมง”
พอได้คำตอบจากปลายสายเขาก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะต้องสัมภาษณ์เลขาฯ คนใหม่ พชรจึงเดินออกจากห้องทำงานแล้วลงไปยังร้านอาหารด้านล่างของตัวตึก
“คุณคะ...คุณ...ตื่นได้แล้วค่ะ รถเมล์สุดสายแล้วนะคะ”
เสียงแหลมบาดแก้วหูจากกระเป๋ารถประจำทางวัยสี่สิบกว่าดังทะลุเข้ามาในความฝันของหญิงสาวจนถึงกับสะดุ้งเฮือก ช่อมาลีขยับแว่นสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะหันไปมองเลิ่กลั่กรอบตัวแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันที จนกระทั่งได้ยินเสียงเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้ง จึงดึงสติกลับมาอยู่กับตัวได้
“รถเมล์สุดสายแล้วนะคะคุณ คุณจะลงที่ไหนคะ”
“สุดสาย! สุดสายแล้วหรือคะ ตายแล้ว ตาย ๆ ตายแน่ ๆ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ขอบคุณนะคะพี่”
ช่อมาลีหน้าตื่น ละล่ำละลักขอบคุณอีกฝ่ายแล้วพรวดพราดลงจากรถ พอลงมาได้ก็วิ่งหน้าตั้งออกจากอู่รถประจำทาง พลางสอดส่ายสายตามองหาวินรถจักรยานยนต์รับจ้างทันที
“นังมาลีเอ๊ย...มาสัมภาษณ์งานวันแรกก็สายเสียแล้ว บริษัทไหนเขาจะรับแกเข้าทำงานล่ะเนี่ย”
ช่อมาลีบ่นพึมพำกับตนเองขณะกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่วินรถจักรยานยนต์รับจ้างที่อยู่ไม่ไกล
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสี่ เพราะหลังจากที่ได้รู้ว่าน้ำเหนียว ๆ ที่ไปเหยียบมาเมื่อคืนนั้นคือเลือด ก็ทำให้เธอแทบนอนไม่หลับเลยทีเดียว อีกทั้งเมื่อคืนได้ตกลงกับเพื่อนร่วมวงเอาไว้ด้วยว่าจะรูดซิปปากกันให้สนิท ไม่พูดถึงเรื่องนั้นจนกว่าตำรวจจะเรียกไปสอบปากคำ ซึ่งคริสคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องถูกเรียกตัวไปทุกคน
ส่วนรองเท้าคู่นั้นน่ะหรือ เธอเอาไปทิ้งที่ถังขยะรวมข้างแฟลตไปแล้วเรียบร้อย
“พี่คะพี่ ไปอาคารยูซีทาวเวอร์ค่ะ ขอแบบด่วน ๆ เลยนะพี่ ซิ่งได้ยิ่งดีเพราะหนูสายแล้ว”
หญิงสาวกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ รับเอาหมวกกันน็อกจากคนขับมาใส่ เธอดูเวลาแล้วก็อยากจะร้องไห้เพราะเลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว
สิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวร่างสูงโปร่งใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เครื่องสำอาง ผมยาวสีดำสนิทมัดเป็นหางม้ารวบตึงในชุดกระโปรงสอบเข้ารูปสีดำเสมอเข่า เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้วก็มานั่งใจเต้นเป็นรัวกลองอยู่ที่แผนกบุคคล ระหว่างที่รอพนักงานเอาเอกสารการสมัครงานมาให้กรอก
สายตาตำหนิอย่างไม่ปิดบังของพนักงานที่เอาเอกสารมาให้ ทำเอาช่อมาลีรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ราวกับจะจับไข้ จนต้องรีบก้มหน้าก้มตากรอกข้อมูลลงไปในเอกสาร ทำทีเป็นมองไม่เห็นสายตาเชือดเฉือนจากคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“กรอกเสร็จแล้วเรียกได้เลยนะคะ”
พนักงานคนเดิมบอก หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นรับคำ แล้วก้มหน้ากรอกประวัติของตนเองต่อไป ทั้งที่ในใจเริ่มรู้ชะตากรรมแล้วว่าคงไม่ได้งานนี้แน่นอน
หลังจากยื่นเอกสารที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่อมาลีจึงนั่งรอ ไม่นานนัก พนักงานคนเดิมก็เดินมาเรียกช่อมาลีให้เดินตามเข้าไปด้านใน
พนักงานคนนั้นพาหญิงสาวมาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งซึ่งพอเห็นป้ายเหล็กสีทองที่ประกาศตำแหน่งของคนที่นั่งอยู่ในห้อง ช่อมาลีถึงกับเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
พนักงานคนนั้นเคาะประตูห้องสามทีก่อนเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปข้างใน ช่อมาลีจึงก้าวเดินตาม มือขยับแว่นตาให้เข้าที่ตามความเคยชินแล้วลอบมองสำรวจด้านในห้องของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานกรรมการของบริษัทแห่งนี้
“ท่านประธานคะ คนที่จะสัมภาษณ์มาถึงแล้วค่ะ”
มุกรวี หัวหน้าฝ่ายบุคคลแจ้งกับผู้ที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ตอนนั้นเองที่ช่อมาลีหันหน้ามามองผู้ที่มีอำนาจตัดสินชะตาว่าเธอจะได้งานที่นี่หรือไม่ด้วยท่าทีที่สำรวมที่สุด ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น หญิงสาวก็แทบผงะจนเผลอตัวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ กระเป๋าสะพายที่เอามาถือไว้ในมือร่วงหล่นลงสู่พื้นพรม แถมพ่วงมาด้วยสายตาดุ ๆ จากหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ตวัดหันมามองแทบจะทันที
“นี่คุณ...กระเป๋าหล่นแล้ว” สิ้นเสียงของมุกรวี ช่อมาลีก็รีบก้มลงเก็บกระเป๋าสะพายของตนขึ้นมาถือในมืออีกครั้ง
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่านประธาน”
ร่างผอมของผู้จัดการแผนกวัยสามสิบปลายหันไปพูดกับชายหนุ่มเจ้าของห้องก่อนจะเดินออกไป ก่อนไปไม่วายหันมาทำตาดุใส่ช่อมาลีราวกับคุณครูดุเด็กนักเรียน
“เชิญนั่งครับ”
ช่อมาลีที่กำลังมองตามหลังของคนที่พามาส่งสะดุ้งโหยงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มจากหลังโต๊ะทำงาน หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเขา ในใจนึกหวั่นว่าเจ้านายภาคกลางคืนของเธอจะจำเธอได้หรือไม่ ยิ่งเห็นเขามองมา ทั้งยังขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนทำท่านึกอะไรบางอย่าง ช่อมาลีก็ยิ่งหน้าซีดลงเรื่อย ๆ
“เอ๊ะ! นี่คุณ...”
พชรพูดเพียงแค่นั้นก็ไม่ได้พูดต่อ เขาจำเธอได้ เธอคือผู้หญิงที่นอนหลับบนรถประจำทางในแบบที่เรียกว่าหมดสภาพ ไม่ต้องเดาเลยว่าที่เธอมาสัมภาษณ์งานสายคงเพราะนอนหลับเพลินจนลืมลงป้ายรถเมล์หน้าตึกเป็นแน่
“อืม...ช่างเถอะ คุณมาสายไปสี่สิบนาทีนะ ไม่ทราบว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่าครับ” เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอมาสายเพราะอะไร แต่เขาอยากฟังว่าเธอจะแก้ตัวอย่างไรมากกว่า
“ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ คือว่า...ดิฉันนั่งรถเลยป้ายเพราะไม่ค่อยรู้เส้นทาง กว่าจะรู้ว่าเลยมาไกลแล้วก็ตอนที่รถเมล์เข้าไปจอดที่อู่นั่นแหละค่ะ” หญิงสาวยอมตอบออกไปตามความจริง แต่ละเว้นเรื่องที่หลับบนรถเอาไว้
พชรพยักหน้าช้า ๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นับว่ายังดีที่เธอไม่ได้โกหก เธอแค่บอกความจริงไม่หมดเท่านั้น ชายหนุ่มจึงเริ่มเปิดแฟ้มประวัติของหญิงสาวแล้วเริ่มต้นทำการสัมภาษณ์ ท่ามกลางความโล่งใจของช่อมาลีที่เริ่มมั่นใจแล้วว่าเขาจำไม่ได้แน่นอน
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
พชรมองผ่านกระจกลงไปยังฟลอร์เต้นรำด้านล่าง นักเที่ยวแต่ละคนช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์น่าสยดสยองแค่ไหน นับว่าการใช้เงินปิดปากตำรวจบางนาย และนักข่าวจมูกไวทั้งหลายได้ผลดีเกินคาดโชคดีที่คลับแห่งนี้ค่อนข้างมีระดับ จำกัดเฉพาะลูกค้าบางกลุ่มเท่านั้นถึงจะเข้ามาเที่ยวหาความสำราญได้เพราะราคาค่าเมมเบอร์ที่แพงระยับต่อหัว คนที่มาใช้บริการส่วนใหญ่จึงเป็นพวกกระเป๋าหนัก หรือพวกมีอันจะกินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดานักธุรกิจดัง ๆ ไฮโซ เซเลบ หรือแม้แต่พวกคนในวงการบันเทิงก็มักยินดีจ่ายเพื่อยกระดับความโก้หรูให้ตัวเองคืนนี้เขาต้องมาอยู่ดูแลคลับแทนภีมพล เพราะรายนั้นมีปัญหาเรื่องธุรกิจอีกอย่างที่ต้องรีบไปจัดการ ใครจะเชื่อว่าหนุ่มเจ้าสำราญอย่างภีมพล เพื่อนรักของเขาคนนี้จะเป็นถึงเจ้าของบริษัทเครื่องบินให้เช่าเหมาลำ ทั้งยังมีโกดัง และคลังสินค้าขนาดใหญ่ให้เช่าอีกด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานจนมาถึงรุ่นของภีมพลพชรหันไปมองที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงคนกดออดอยู่ด้านนอก เขาตะโกนอนุญาตคนที่ยืนรออยู่นอกห้อง จากนั้นจึงเดิ
“ออยมีแฟนไหม หรือสามี หรือมีศัตรูอะไรที่ไหนรึเปล่า เช่นว่าไปแย่งแฟนใครเข้าจนแฟนเขาตามมาทำร้ายน่ะ”“แฟนหรือสามีน่ะไม่มีหรอกค่ะ แต่ถ้าอาจจะไปแย่งของใครเขามา อันนี้ก็คงมีบ้าง ก็แหม...คุณโอมก็น่าจะเข้าใจพวกเรานะคะ พวกเราไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนั้นอยู่แล้ว ถูกใจใครก็จูงมือกันไปหาความสุขข้างนอก เอาเสร็จก็จบกัน เจอกันอีกครั้งก็เป็นเพื่อนเป็นคนรู้จักกันไป เว้นเสียแต่ว่าผู้ชายคนนั้นเซ็กซ์เจ๋งจริงก็อาจจะมีรอบสองรอบสาม หรือทุกครั้งที่เจอหน้า แต่เสร็จแล้วก็คือจบ ไม่ได้คบกันจริง ๆ จัง ๆ” น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูไม่ยี่หระกับเรื่องแบบนี้แม้แต่น้อย“แล้วมีใครที่เคยตามมาหึงหวงจนทะเลาะตบตีกันบ้างไหม”ชายหนุ่มถามโดยพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุให้คนหนึ่งคนแค้นเคืองกันจนสามารถลุกขึ้นมาคร่าชีวิตของคนอื่นได้“แทบไม่มีเลยค่ะคุณโอม อย่างที่บอกไปว่าพวกเราก็แค่สนุกกันบนเตียง แต่พอออกมาข้างนอกเราก็คุยกันเรื่องทั่วไป ถ้าคนไหนมากับแฟนเราก็ไม่ยุ่งด้วยอยู่แล้ว แต่ถ้าแฟนของพวกเขากลับไปก่อนก็ว่าไปอย่าง” หญิงสาวตอบเขาอย่างไม่แยแส ราวกับว่าเรื่องที่พวกเธอทำนั้
“อาร์มว่ามิวเตรียมตัวกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวตรงนี้อาร์มจัดการเอง”“ได้ยังไงล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย มิวไม่อยากเอาเปรียบอาร์มหรอกนะ”หญิงสาวยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างเขา เธอเห็นแล้วว่าใครเดินเข้ามาในผับบ้าง เพราะจำหน้าบางคนได้ตอนที่ให้ปากคำไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ดูท่าแล้วตำรวจน่าจะรู้อะไรบางอย่างถึงได้ย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ทอดทิ้งให้อาร์มต้องอยู่เพียงลำพังแน่ เธอต้องอยู่ช่วยเขา เพราะมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่ลงมือฆ่าผู้หญิงคนนั้นแน่นอน เธอรู้ดี!เมื่อได้เวลาผับเลิก นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็กลับออกไปแล้ว แต่บางกลุ่มก็ยังนั่งกันอยู่ที่เดิมเนื่องจากยังติดลมไม่อยากลุกไปไหน อาจจะเพราะด้วยน้ำสีอำพันที่ยังเหลืออยู่แค่ก้นขวด จึงหวังจะจัดการให้หมดแล้วค่อยแยกย้าย อีกทั้งในผับก็ยังคงเปิดเพลงช้าคลอไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเปิดไฟให้สว่างไสวขึ้นแล้วก็ตาม ทว่าเหล่าผีเสื้อราตรีก็ยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ไม่เลิกราจุมพลเดินเข้าไปที่บูธดีเจ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในนั้นด้วยความเป็นกันเอง ทว่าสายตาที่มองกลับคาดคั้น
ช่อมาลีจัดเตรียมเอกสารสำหรับเข้าประชุมในช่วงบ่ายโดยเตรียมไว้ให้ครบตามจำนวนของผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมด้วย เธอถือโอกาสศึกษาระบบงานของบริษัทไม่ว่าจะเป็นรุ่น และแบบของรถอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากข้อมูลที่เขาวางกองไว้ให้เมื่อวานระหว่างที่เขาไม่อยู่ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากสำหรับการเริ่มต้นทำงานวันแรกประตูหน้าห้องถูกเปิดออกมาอย่างเร็วพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กำลังย่ำมาทางที่หญิงสาวกำลังยืนเรียงเอกสารอยู่ ช่อมาลีหันหน้าไปมองผู้เข้ามาใหม่แล้วยกมือไหว้ ส่งยิ้มทักทายเจ้านายคนใหม่ของตนเองทันที“สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันเตรียมเอกสารสำหรับเข้าประชุมตอนบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ท่านประธานมีอะไรจะใช้ให้ดิฉันไปทำอีกรึเปล่าคะ”ช่อมาลียืนตัวตรงประสานมือกันไว้ที่ด้านหน้า แล้วยิ้มนิด ๆ ขณะมองไปยังคนที่กำลังเดินมาที่โต๊ะสำหรับวางแฟ้มและเอกสารไว้บนนั้น“ขอกาแฟให้ผมแก้วหนึ่งแล้วกันครับคุณช่อ” พชรตอบพลางหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาเปิดดูคร่าว ๆ“ช่อมาลีค่ะ ท่านประธานจะเรียกดิฉันว่ามาลีเฉย ๆ ก็ได้นะคะ”เธอแก้ไขชื่อเล่นของตนเองให้ถูกต้องเพื่อให
พชรยืนกอดอกเอาสะโพกพิงไว้กับโต๊ะทำงาน มองท่าทีประหม่าลนลานเดินออกจากห้องของเลขาฯ แล้วก็ให้นึกขำ ยิ่งเห็นใบหน้านั้นขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู เขาก็นึกอยากแกล้งจับมือเธอให้มาสัมผัสที่เนื้อแท้ตัวเป็น ๆ ของเขาเสียเลย อยากรู้นักว่าจะทำหน้าอย่างไรถ้าเจอเหตุการณ์นั้นสงสัยคงขอลาออกแทบไม่ทันเป็นแน่!ช่อมาลีเดินเข้ามาในแคนทีน เธอเหลียวซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงกำมือไว้แน่นทั้งสองข้าง ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงด้วยความอัดอั้น“อี๊...อีตาบ้า...หน้าไม่อาย หนอย...รู้จักช่อมาลีน้อยไปซะแล้ว”บ่นเขาลับหลังเสร็จก็หันมองหน้าหลังอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งชั้นนี้จะมีแค่เธออยู่เพียงคนเดียวก็ตาม โต๊ะของเธอตั้งอยู่ด้านนอกหน้าห้องของท่านประธานหนุ่ม โชคดีที่ผนังห้องของเขาเป็นแบบทึบ ไม่ใช่กระจกที่สามารถมองออกมาเห็นภายนอกได้ มิเช่นนั้นเขาคงได้เห็นท่าทางประหลาดของเธอแน่เธอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของพชร เขาจงใจยั่วให้เธอได้อาย ทำแบบนี้ถือเป็นการแกล้งกันชัด ๆ เห็นทีคงต้องประเมินผู้ชายคนนี้เสียใหม่ เขาไม่ใช่เจ้านายมาดนิ่งอย่างที่เข้าใจตั้งแต่แรก แต่เขาเป็นพรานล่าเนื้อ เป
“คุณช่อ เลิกงานคุณแล้วจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปกินมื้อเย็นกับผมหน่อยสิ” พชรถอดเสื้อสูทเอามาพาดไว้กับท่อนแขน ปลดเนกไทออกจากคอ จากนั้นก็ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดขณะหันไปพูดกับหญิงสาวที่เดินข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่ภายในใจนั้นกลับลุ้นอยู่ว่าเธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ“เย็นนี้คงจะไม่ได้ค่ะท่านประธาน ดิฉันต้องกลับบ้านแม่น่ะค่ะ”ช่อมาลีหันมายิ้มแกน ๆ ให้เขา พชรจับความรู้สึกไม่สบายใจได้ในน้ำเสียงจึงไม่อยากตอแยคาดคั้นอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรก้าวก่าย“งั้นหรือ...อืม ไม่เป็นไร วันหน้ายังมี เดินทางปลอดภัยนะ”“ไม่ได้ไกลอะไรหรอกค่ะท่านประธาน แค่ปทุมธานีนี่เอง นั่งรถตู้ไปแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ ถ้ารถไม่ติด” ช่อมาลีหันไปพูดกับเขา พชรจึงพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะพูดลาหญิงสาว“ถ้างั้นก็เจอกันพรุ่งนี้ครับ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงลานจอดรถที่ตนเองต้องลง ช่อมาลีจึงยกมือขึ้นไหว้ เธอมองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เดินห่างออกไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกช่อมาลีกลับไปห้อง
“วันนี้คุณต้องตื่นนะคนสวย ถ้าคุณไม่ตื่นผมก็จะนั่งเฝ้าคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะตื่นนั่นแหละ”พชรพูดกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงอีกด้านมานั่งอยู่ข้างเตียง เขาถือวิสาสะเลิกเสื้อของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยพอให้มองเห็นบริเวณที่เป็นแผล สายตาทอประกายเจ็บปวดเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผ้าพชรคว้ามือของช่อมาลีขึ้นมาแตะริมฝีปากของตนเองลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ประสานนิ้วมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกัน มีเพียงแรงกระเพื่อมจากอกเท่านั้นที่บอกเขาว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับ จนกระทั่งร่างกายเริ่มฝืนความอ่อนล้าต่อไปไม่ไหว สุดท้ายใบหน้าเขาก็เอนซบลงไปบนเตียงของหญิงสาวแรงสะกิดที่ไหล่จากเบา ๆ ก็เริ่มจะหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ จนพชรต้องสะดุ้งตื่น เขาไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของผู้กองชินกฤตกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างจงใจ ข้างกันกับนายตำรวจหนุ่มคือช่อฟ้า มารดาของช่อมาลีที่มองมาทางเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน จนกระทั่งพชรก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ถึงเพิ่งรู
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เนื่องจากว่าคนไข้เสียเลือดไปมาก ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งให้เลือดไป ตอนนี้คงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพราะต้องคอยดูอาการเป็นระยะ ๆ และยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ”แพทย์ผู้ทำการรักษากล่าวจบก็เดินจากไป คนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะเขตไทที่พอฟังจบก็เดินเข้ามาหาพชรแล้วยกมือไหว้อย่างขอบคุณ“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่มากที่ตอนนั้นพี่รีบพาพี่มาลีขึ้นรถมาโรงพยาบาล เพราะผมก็มัวแต่...” เขตไทพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบเสียงลงไปเพราะก้อนสะอื้นเริ่มขึ้นมาจุกที่คอ ตอนนั้นเขามัวแต่เล่นงานคนที่แทงพี่สาวจนลืมนึกไปว่าต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล กลับกลายเป็นพชรที่มาถึงก็รีบช้อนตัวพี่สาวเขาอุ้มขึ้นรถมาทันที“ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง ขอแค่ให้ช่อมาลีเขาปลอดภัยก็พอแล้ว”พชรหันไปยิ้มให้พร้อมกับตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้อนหินหนัก ๆ ที่ถ่วงใจเขาก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้ว“ขอบคุณมากครับคุณ...” ผู้กองชินกฤตเอ่ยขอบคุณพชร พลางยื่นมือออกมา พชรจึงยื่นมื
ทันทีที่ส่งตัวช่อมาลีถึงมือแพทย์ พชรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดเรี่ยวแรง ในใจได้แต่ปลอบตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าถึงมือหมอแล้วเธอต้องปลอดภัย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักชายหนุ่มเหลือบมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องที่ช่อมาลีกำลังเข้ารับการรักษา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนขวาแล้วหยดลงพื้นแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจมันเท่าไร พชรจึงเดินไปจับไหล่อีกข้างแล้วบีบเบา ๆ“ชื่อเขตใช่ไหมเรา พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เลือดไหลใหญ่แล้วนะ” พชรมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่มีส่วนละม้ายกับพี่สาวอยู่มากอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เขารู้มาจากช่อมาลีว่ายังตามตัวของเขตไทไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็กลับโผล่มาเสียเอง ใจนึกอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดที่ว่าตัวเขายังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวนี้อยู่ จึงไม่สมควรไปก้าวก่าย“แต่ผมเป็นห่วงพี่มาลี พี่ผมจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมไปทำแผลแล้วเกิดหมอเขาต้องการเลือดด่วนล่ะ” เขตไทบอกกับพชรด้วยสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงพี่สาวจนลืมอาการปวดที่บาดแผลของตนเองไปเสียสิ้น“ถึงมือหมอแล้วยังไงพี่สาวนายก็ต้องปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้
“จะเป็นสายจากโรงพักรึเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รู้สึกใจกระตุกแปลก ๆ กับสายที่โทร. เข้ามาเมื่อครู่ แล้วก็ให้เสียดายที่ไม่ได้กดรับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสายเมื่อครู่น่าจะเป็นเขตไท น้องชายของเธอที่โทร. เข้ามา หรืออาจเป็นสายจากตำรวจที่ทำคดีของน้องชายเธออยู่หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ กะเอาไว้ว่าจะไปเอนหลังนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องล็อกเกอร์สักหน่อย ก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังพอดีจึงหันไปตามเสียงเรียก“ม็อท คุณโอมให้ไปหาที่รถแน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปกินบะหมี่อะไรเนี่ยแหละ เขารออยู่”“อ้าวงั้นหรือ ขอบคุณนะคะ” คราวแรกช่อมาลีนึกระแวงไม่น้อย แต่พออีกฝ่ายพูดถึงบะหมี่ที่เคยพาพชรไปกินด้วยกันแล้วจึงคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกหาอยู่จริง ๆ เพราะเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้หญิงสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้านหลังที่จะออกไปสู่ลานจอดรถสำหรับพนักงาน สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พอไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาจึงค่อยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบก้าวเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงรถยุโรปคันหรูที่จำได้ติดตา แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องสว่างในบริเวณลานจอดรถนั้นช่ว
เสียงสั่นพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มขณะกำลังพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เขาเอาหน้าผากแนบกับเธอแล้วระดมจูบย้ำ ๆ ที่เรียวปากนุ่มหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสาวที่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝันดูเหมือนจะไม่รับรู้ถ้อยคำจากเขาเท่าไร นัยน์ตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มดูล่องลอยกำลังปลุกแรงปรารถนาในกายเขาขึ้นอีกครั้ง“อย่าทำหน้าอย่างนี้ถ้าไม่อยากถูกผมลักพาตัวขึ้นไปข้างบน”เขาพูดไปในขณะที่ปากก็พร่ำจุมพิตไปทั่วหน้า หญิงสาวมองเขาที่เคลื่อนไหววนเวียนอยู่แถว ๆ ใบหน้าและซอกคอไม่ยอมหยุดจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าเขาไว้“คุณโอมก็หยุดสิคะ อย่าแกล้งม็อท เดี๋ยวม็อทต้องขึ้นแสดงแล้ว”ให้ตายเถอะ เสียงของเธอหายไปไหนหมดนี่ เมื่อครู่สาบานได้ว่าเธอพยายามที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมมันถึงได้สั่นพร่าจนฟังเหมือนกระซิบมากกว่าอย่างนี้เล่า“คนที่โดนแกล้งคือผมมากกว่า คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้าเพราะต้องการคุณ รู้บ้างรึเปล่า” เขากดสะโพกเธอให้เข้ามาบดเบียดแก่นกายร้อนผ่าวอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด“เดี๋ยวม็อทต้องไปแล้วค่ะคุณโอม” เธอดันอกกว้างของเขาให้ถอยห่างอย่างมีชั้นเชิง ปลายนิ้ว
ช่อมาลีนั่งมองเพื่อนชายที่ยืนกอดอกจ้องไปทางบูธดีเจตาแทบไม่กะพริบด้วยความสงสัย ครั้นพอหันมองตามสายตาของคริสไป หญิงสาวก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน“ไอ้จิล เราตกข่าวอะไรไปรึเปล่าวะ” เวลาอยู่กับเพื่อน เธอมักจะพูดจาแบบนี้เสมอด้วยความเคยชิน เพราะเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมา“อืม...คริสมันกำลังตกอยู่ในห้วงรัก” จิลตอบเพื่อนยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในบูธดีเจช่อมาลีทำตาโตราวกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติเห็นคริสควงแต่สาวเซ็กซี่ร้อนแรง แล้วนึกอย่างไรถึงได้มาลงเอยกับสาวใส ๆ แบบมิวได้“วู้...ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวได้แต่อุทานเบา ๆ ไม่ใช่ว่าดีเจมิวไม่สวย จากที่เห็นด้วยตา มิวจัดว่าหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเพราะเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ นัยน์ตากลมโต จมูกเล็ก ๆ แก้มป่อง ปากอิ่มสีสดจนเธอนึกอิจฉา รูปร่างก็กะทัดรัดดูน่าทะนุถนอม แต่ที่เธอแปลกใจก็เพราะไม่คิดว่าคริสจะมาแพ้ทางสาวสไตล์นี้เข้าจนได้“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ แ
ขาไปกลับระหว่างที่นี่กับที่คลับเขาก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนในวงของเธอมารับส่งถึงที่อยู่แล้ว เขารู้ดี“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง”ช่อมาลียกมือไหว้ขอบคุณเขาแต่กลับไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อครู่ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เขาก็ดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ตลอดเวลา จะชักออกก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขาโกรธ“อืม...ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวผมกลับแล้ว” ชายหนุ่มยืนเอาหลังพิงตัวรถ มือสอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองอย่าง เพราะกลัวมันจะยืดยาวไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้ช่อมาลีหมุนตัวเดินเข้าไปแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเพื่อเข้าไปด้านใน อะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขายืนพิงรถมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งลิฟต์มาแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไปทันทีเมื่อมาถึงห้อง ช่อมาลีคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟามากอดแน่น รอยยิ้มระบายเต็มวงหน้าทั้งปากทั้งตาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงได้หักห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้สักที แม้ไม่รู้ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะเอ็นดูเธอในฐานะลูกน้อง หรืออะไรก็ตาม เ
“หิวสิถึงได้รีบกลับมานี่ไง นึกว่าคุณยังไม่กินเสียอีกจะได้กินด้วยกัน” พูดพลางเอื้อมมือไปถือจานกับถุงอาหารเสียเอง แต่ไม่ยอมถือแก้วโกโก้เย็นที่เขาสั่งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในห้องทำงานเพื่อให้เลขาฯ สาวเดินตามเข้าไปแต่โดยดี“ดิฉันนึกว่าท่านประธานจะกินมาจากข้างนอกเสียอีก” ช่อมาลีเดินเข้าไปวางแก้วโกโก้บนโต๊ะตรงหน้าเขา“ไม่ล่ะ อยากกินข้าวกับคุณมากกว่า งานยุ่งไหมวันนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่แฝงความนัยในถ้อยประโยค ทำเอาคนฟังรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ หญิงสาวจับกรอบแว่นตาให้เข้าที่ตอนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตาเขา ก่อนจะตอบคำถามไปแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง“ก็...ไม่เท่าไรค่ะ ทำไปเรื่อย ๆ”“งั้นก็ดีเลย มานั่งเป็นเพื่อนผมกินข้าวหน่อยสิ” พชรพูดพลางเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าหญิงสาวย้ายเอาไปไว้อีกมุมโต๊ะเพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่ ช่อมาลีไม่อยากนั่งเพราะไม่อยากให้ตนเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าขัดจึงหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแต่โดยดีหญิงสาวตวัดตามองเขาแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ เพราะกลัวเขารู้ว่าเธอแอบมอง ในขณะที่คนถูกแอบมองกลับเงยหน้าขึ้น
ช่วงปลายสัปดาห์ของการทำงาน ช่อมาลีเริ่มปรับตัวให้คุ้นกับการต้องนั่งรถทางไกลจากบ้านมารดามาที่ทำงานได้แล้ว แต่ขากลับนั้นจะเรียกว่าสะดวกสบายก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากสักเท่าไร เพราะพชรอาสาไปส่งทุกวันไม่เคยขาด จะปฏิเสธบ่อย ๆ ก็เกรงใจเขา อีกทั้งลึก ๆ แล้วเธอเองก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเขาบ้าง แม้จะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตามทีช่อมาลีเดินมาถึงโต๊ะทำงานของตัวเอง ทว่าพอนั่งได้ไม่นาน แม่บ้านประจำตึกคนหนึ่งก็เดินเอากล่องพัสดุขนาดไม่ใหญ่นักมายื่นให้ หญิงสาวรับมาโดยไม่ได้คิดอะไร หน้ากล่องมีกระดาษพิมพ์ชื่อของเธอ และที่อยู่ของบริษัทนี้แปะเอาไว้ด้านหน้าแต่ไม่มีชื่อผู้ส่ง พลันนั้นเธอนึกไปถึงเรื่องที่อารยา อดีตเลขาฯ ของพชรมาเล่าให้ฟังทันที ลางสังหรณ์แปลก ๆ เริ่มขึ้นมาในความคิดอย่างรวดเร็ว หญิงสาวนั่งมองกล่องใบนั้นอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้กรรไกรตัดเชือกออกเธอทดลองเขย่ากล่องนั้นดูเบา ๆ เพื่อฟังเสียง ข้างในเหมือนมีวัตถุแข็ง ๆ บางอย่างไม่ใหญ่นักอยู่ในนั้นเพียงอย่างเดียว ช่อมาลีหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาตัดกระดาษกาวที่แปะรอบตัวกล่องออก ช่วงที่กำลังจะเปิดฝากล่อง พชรก็เดินออกจากลิฟต์มาแล