“อาร์มว่ามิวเตรียมตัวกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวตรงนี้อาร์มจัดการเอง”
“ได้ยังไงล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย มิวไม่อยากเอาเปรียบอาร์มหรอกนะ”
หญิงสาวยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างเขา เธอเห็นแล้วว่าใครเดินเข้ามาในผับบ้าง เพราะจำหน้าบางคนได้ตอนที่ให้ปากคำไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ดูท่าแล้วตำรวจน่าจะรู้อะไรบางอย่างถึงได้ย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ทอดทิ้งให้อาร์มต้องอยู่เพียงลำพังแน่ เธอต้องอยู่ช่วยเขา เพราะมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่ลงมือฆ่าผู้หญิงคนนั้นแน่นอน เธอรู้ดี!
เมื่อได้เวลาผับเลิก นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็กลับออกไปแล้ว แต่บางกลุ่มก็ยังนั่งกันอยู่ที่เดิมเนื่องจากยังติดลมไม่อยากลุกไปไหน อาจจะเพราะด้วยน้ำสีอำพันที่ยังเหลืออยู่แค่ก้นขวด จึงหวังจะจัดการให้หมดแล้วค่อยแยกย้าย อีกทั้งในผับก็ยังคงเปิดเพลงช้าคลอไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเปิดไฟให้สว่างไสวขึ้นแล้วก็ตาม ทว่าเหล่าผีเสื้อราตรีก็ยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ไม่เลิกรา
จุมพลเดินเข้าไปที่บูธดีเจ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในนั้นด้วยความเป็นกันเอง ทว่าสายตาที่มองกลับคาดคั้นกึ่งบังคับอยู่ในที
“สวัสดีครับ ผมอยากสอบถามอะไรคุณเพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหม”
สารวัตรหนุ่มยืนเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ อาร์มจึงปลดหูฟังแบบครอบลงจากหูแล้วเอาคล้องคอไว้ พลางส่งยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า
“ได้สิครับคุณตำรวจ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
อาร์มเดินออกจากบูธดีเจที่ตนยืนอยู่ ก่อนไปเขายังส่งสายตาบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่เพียงลำพังในนั้นว่าไม่มีอะไร แล้วเดินตามนายตำรวจคนนั้นไป โดยทิ้งสายตาของความเป็นห่วงเป็นใยของหญิงสาวไว้เบื้องหลัง
จุมพลพาดีเจหนุ่มเดินเข้ามาในส่วนของพนักงาน ซึ่งระหว่างที่เปิดประตูเข้าไปนั้น ทั้งคู่ก็สวนกับแนนนี่ที่กำลังเดินออกมาพอดี อาร์มหันไปมองส่งสายตาอะไรบางอย่างให้หญิงสาว ซึ่งเจ้าหล่อนก็ทำเพียงยักไหล่ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก สารวัตรหนุ่มจึงรู้ทันทีว่าพชรคงกำลังหาข้อมูลในแบบที่ถนัดอยู่เป็นแน่
เสียงออดดังขึ้นหน้าประตู ทำให้พชรที่กำลังจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางถึงกับขมวดคิ้วมุ่น เพราะเมื่อครู่หญิงสาวที่มาให้ข้อมูลกับเขาแบบถึงลูกถึงคนก็เพิ่งจะโซซัดโซเซออกไปไม่น่าจะกลับเข้ามาอีกรอบ...หรือจะเป็นผู้จัดการมารายงานเรื่องเร่งด่วนอะไร คิดได้ดังนั้นเขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูทั้งที่ยังติดกระดุมเสื้อไม่เรียบร้อยเลยด้วยซ้ำ
“อ้าวพี่พล สวัสดีครับ”
พชรแปลกใจไม่น้อยที่เห็นพี่ชายของเพื่อนรักมายืนอยู่หน้าห้องพร้อมกับลูกน้องของเขา แต่พอเห็นนายตำรวจหนุ่มยืนกอดอกมองสภาพของตนที่ยังคงหลุดลุ่ย เขาจึงเปิดประตูออกกว้างให้คนทั้งคู่เข้ามา
“เอ่อ...เมื่อกี้แนนนี่เพิ่งลงไป” พชรพูดเพียงแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาปิดประตูเสร็จจึงติดกระดุมเสื้อไปด้วยระหว่างที่เดินไปนั่งบนโซฟา
“พี่ขอยืมห้องทำงานแกสอบปากคำเพิ่มเติมอะไรนิดหน่อย ข้างล่างแขกยังเยอะอยู่ ไม่ค่อยสะดวก”
“แล้วผมต้องออกไปข้างนอกด้วยรึเปล่าครับ”
เจ้าของห้องเอ่ยถามอย่างรู้มารยาท แม้จะอยากอยู่ร่วมฟังด้วยแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากก้าวก่ายงานของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“ก็ฟังได้ ไม่ใช่ความลับอะไร เพราะพี่คิดว่าแกก็น่าจะพอรู้เรื่องอยู่แล้ว เอาล่ะ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกันนะครับคุณอาณัติ บังเอิญผมเพิ่งรู้ว่าคุณเคยคบหากับผู้ตายมาก่อน แต่เมื่อตอนเย็นที่ผมมาสอบถาม คุณกลับไม่ได้บอกผม” จุมพลเปิดประเด็นถามทันที เพราะไม่ต้องการให้เสียเวลา
“เรียกผมว่าอาร์มก็ได้ครับ...ใช่ครับ ผมเคยคบกับออย แต่ก็เลิกกันไปตั้งนานแล้วนะเกือบสองปีได้แล้วมั้ง ทุกวันนี้เจอกันก็คุยกันอย่างเพื่อนธรรมดา ๆ มากกว่าไม่ได้คิดอะไร เอาตรง ๆ เลยก็ได้ว่าถ้าไม่มีคนพูดขึ้นมาว่าผมเคยคบกับออย ผมก็แทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนออยมาก่อน” ดีเจหนุ่มหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของคนฟังก่อนจะเปิดปากเล่าต่อไป
“เมื่อก่อนเธอไม่ใช่คนแบบนี้หรอกครับ ผมคบกับเธอตอนนั้นก็คบแบบจริงจังเลยนะ แต่พอออยเริ่มเที่ยวกลางคืน เริ่มหัดดื่มเหล้า เริ่มคบเพื่อนฝูงที่ชอบเที่ยวเหมือนกัน เขาก็เริ่มเปลี่ยนไป ผมมารู้ทีหลังว่าเขานิยมฟรีเซ็กซ์เพื่อล่าแต้มแข่งกับเพื่อนในกลุ่ม ผมก็รับไม่ได้จึงขอเลิกกับเธอ”
“แล้วหลังจากเลิกกัน คุณกับผู้ตายได้เจอกันบ่อยไหม ผมหมายถึงตามที่เที่ยวน่ะ”
จุมพลรุกถามต่อไปเพื่อหวังผลบางอย่าง เพราะจากรายงานที่ได้รับมา เหล่าผีเสื้อราตรีคนไหนที่อยากอัปยาจะต้องมาหาดีเจหนุ่มคนนี้
“ก็ต้องเจอสิครับ บ่อยเลยด้วย ออยเขาเด็กเที่ยว ที่ไหนเริ่ดที่ไหนหรูที่ไหนมีหนุ่มหล่อ ๆ รวย ๆ เยอะเขาก็ไปมันทุกที่แหละ ก่อนหน้านี้ผมก็เคยทำงานที่ซีควินซ์มาก่อน ที่นั่นก็มีระดับเหมือนกัน ออยเขาก็ไปที่นั่นอยู่บ่อย ๆ ไม่แปลกหรอกที่จะเจอผม พอที่นี่เปิดใหม่ ใหญ่กว่า หรูกว่า มีระดับกว่า เขาก็ย้ายมาเที่ยวที่นี่แทน”
“แล้วตั้งแต่เลิกกัน คุณกับเขาเคยนอนด้วยกันอีกไหม ผมขอโทษที่ต้องถาม แต่มันก็สำคัญ”
สารวัตรหนุ่มจ้องนิ่งไปที่ชายหนุ่มที่นั่งถูมือตนเองไปมา ราวกับกำลังใช้ความคิดว่าควรจะตอบหรือไม่ตอบดี ดีเจหนุ่มหันไปมองเจ้านายตนเองเล็กน้อยเหมือนเกรงใจ พชรจึงต้องยอมเสียมารยาทพูดแทรกขึ้นมา
“เฮ้ย...ตอบไปตามความจริงเลยอาร์ม ผมไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร”
“เคยครับ บ่อยเหมือนกัน ครั้งล่าสุดก็ก่อนที่เธอตายหนึ่งวันนั่นแหละ” ชายหนุ่มไม่ได้พูดต่อ ว่าที่หญิงสาวมาร่วมหลับนอนด้วยก็เพราะต้องการแลกกับยา นายตำรวจที่ฟังอยู่ก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไรแต่ก็ยังคงแกล้งถาม
“ทำไมเป็นอย่างนั้น”
อาร์มเห็นสารวัตรขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ดีเจหน้าอ่อนก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“แหมคุณตำรวจครับ วัวเคยขาม้าเคยขี่ เจอหน้ากันบางทีมันก็มีบ้างที่อยากหาอะไรสนุก ๆ ทำ และผมจะบอกอะไรให้นะ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่เคยมีอะไรกับเขาน่ะ พวกนักเที่ยวกระเป๋าหนัก ดีเจคนอื่น หรือพวกนักดนตรีหล่อ ๆ ส่วนใหญ่ก็ฟาดเธอมาแล้วทั้งนั้นแหละ...จริงไหมครับคุณโอม” ดีเจหนุ่มหันไปยิ้มใส่ตาเจ้านาย พชรทำเพียงแค่นยิ้มออกไปเท่านั้น
นายตำรวจหนุ่มครุ่นคิดตามสิ่งที่ดีเจอาร์มพูด ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้ชายคนนี้เล่ามาจริง ๆ เหตุจูงใจที่ก่อให้เกิดการฆาตกรรมก็น่าจะเปลี่ยนไป นี่กระมังที่เป็นต้นเหตุของคำว่า “ร่าน” ที่ถูกเขียนอยู่บนตัวศพ
“วันนี้ผมคงรบกวนแค่นี้แหละ ขอบคุณมากครับที่ให้ความร่วมมือ” สารวัตรจุมพลพูดกับดีเจหนุ่ม
หลังจากที่อาร์มเดินออกจากห้องไปแล้ว จุมพลจึงหันมาคุยกับพชรถึงเรื่องที่ขอไว้เมื่อตอนกลางวัน
“ตกลงนักดนตรีพวกนั้นมาได้รึเปล่า”
“เห็นคุณแมทบอกว่าพวกนั้นเขาขอเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ครับ เพราะวันนี้เขามีแสดงสดอีกที่หนึ่ง ปลีกตัวมาไม่ได้” พชรบอกออกไปตามที่ผู้จัดการหนุ่มมารายงานเมื่อช่วงหัวค่ำ
“โอเค พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ ถามพวกนั้นด้วยก็แล้วกันว่าถ้าเป็นตอนกลางวัน หรือช่วงเย็นได้รึเปล่า”
พูดจบเขาก็เดินไปยืนที่กระจกบานใหญ่เพื่อมองลงไปยังฮอลล์ด้านล่าง เห็นนักเที่ยวหลายคนที่มาหาความสุขสำราญกันแล้วเขาก็ได้แต่ทอดถอนใจ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่างนั่นเป็นเหยื่อรายต่อไปอีกเลย
ช่อมาลีจัดเตรียมเอกสารสำหรับเข้าประชุมในช่วงบ่ายโดยเตรียมไว้ให้ครบตามจำนวนของผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมด้วย เธอถือโอกาสศึกษาระบบงานของบริษัทไม่ว่าจะเป็นรุ่น และแบบของรถอย่างละเอียดถี่ถ้วนจากข้อมูลที่เขาวางกองไว้ให้เมื่อวานระหว่างที่เขาไม่อยู่ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากสำหรับการเริ่มต้นทำงานวันแรกประตูหน้าห้องถูกเปิดออกมาอย่างเร็วพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กำลังย่ำมาทางที่หญิงสาวกำลังยืนเรียงเอกสารอยู่ ช่อมาลีหันหน้าไปมองผู้เข้ามาใหม่แล้วยกมือไหว้ ส่งยิ้มทักทายเจ้านายคนใหม่ของตนเองทันที“สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันเตรียมเอกสารสำหรับเข้าประชุมตอนบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ ท่านประธานมีอะไรจะใช้ให้ดิฉันไปทำอีกรึเปล่าคะ”ช่อมาลียืนตัวตรงประสานมือกันไว้ที่ด้านหน้า แล้วยิ้มนิด ๆ ขณะมองไปยังคนที่กำลังเดินมาที่โต๊ะสำหรับวางแฟ้มและเอกสารไว้บนนั้น“ขอกาแฟให้ผมแก้วหนึ่งแล้วกันครับคุณช่อ” พชรตอบพลางหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาเปิดดูคร่าว ๆ“ช่อมาลีค่ะ ท่านประธานจะเรียกดิฉันว่ามาลีเฉย ๆ ก็ได้นะคะ”เธอแก้ไขชื่อเล่นของตนเองให้ถูกต้องเพื่อให
พชรยืนกอดอกเอาสะโพกพิงไว้กับโต๊ะทำงาน มองท่าทีประหม่าลนลานเดินออกจากห้องของเลขาฯ แล้วก็ให้นึกขำ ยิ่งเห็นใบหน้านั้นขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู เขาก็นึกอยากแกล้งจับมือเธอให้มาสัมผัสที่เนื้อแท้ตัวเป็น ๆ ของเขาเสียเลย อยากรู้นักว่าจะทำหน้าอย่างไรถ้าเจอเหตุการณ์นั้นสงสัยคงขอลาออกแทบไม่ทันเป็นแน่!ช่อมาลีเดินเข้ามาในแคนทีน เธอเหลียวซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงกำมือไว้แน่นทั้งสองข้าง ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงด้วยความอัดอั้น“อี๊...อีตาบ้า...หน้าไม่อาย หนอย...รู้จักช่อมาลีน้อยไปซะแล้ว”บ่นเขาลับหลังเสร็จก็หันมองหน้าหลังอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งชั้นนี้จะมีแค่เธออยู่เพียงคนเดียวก็ตาม โต๊ะของเธอตั้งอยู่ด้านนอกหน้าห้องของท่านประธานหนุ่ม โชคดีที่ผนังห้องของเขาเป็นแบบทึบ ไม่ใช่กระจกที่สามารถมองออกมาเห็นภายนอกได้ มิเช่นนั้นเขาคงได้เห็นท่าทางประหลาดของเธอแน่เธอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของพชร เขาจงใจยั่วให้เธอได้อาย ทำแบบนี้ถือเป็นการแกล้งกันชัด ๆ เห็นทีคงต้องประเมินผู้ชายคนนี้เสียใหม่ เขาไม่ใช่เจ้านายมาดนิ่งอย่างที่เข้าใจตั้งแต่แรก แต่เขาเป็นพรานล่าเนื้อ เป
“คุณช่อ เลิกงานคุณแล้วจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปกินมื้อเย็นกับผมหน่อยสิ” พชรถอดเสื้อสูทเอามาพาดไว้กับท่อนแขน ปลดเนกไทออกจากคอ จากนั้นก็ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดขณะหันไปพูดกับหญิงสาวที่เดินข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากแต่ภายในใจนั้นกลับลุ้นอยู่ว่าเธอจะตอบรับหรือปฏิเสธ“เย็นนี้คงจะไม่ได้ค่ะท่านประธาน ดิฉันต้องกลับบ้านแม่น่ะค่ะ”ช่อมาลีหันมายิ้มแกน ๆ ให้เขา พชรจับความรู้สึกไม่สบายใจได้ในน้ำเสียงจึงไม่อยากตอแยคาดคั้นอะไรให้มากความ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรก้าวก่าย“งั้นหรือ...อืม ไม่เป็นไร วันหน้ายังมี เดินทางปลอดภัยนะ”“ไม่ได้ไกลอะไรหรอกค่ะท่านประธาน แค่ปทุมธานีนี่เอง นั่งรถตู้ไปแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ ถ้ารถไม่ติด” ช่อมาลีหันไปพูดกับเขา พชรจึงพยักหน้าขึ้นลงเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะพูดลาหญิงสาว“ถ้างั้นก็เจอกันพรุ่งนี้ครับ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ก่อนเดินออกจากลิฟต์เมื่อถึงลานจอดรถที่ตนเองต้องลง ช่อมาลีจึงยกมือขึ้นไหว้ เธอมองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เดินห่างออกไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกช่อมาลีกลับไปห้อง
ผัวะ!ช่อมาลีฟาดกระเป๋าสะพายใส่หลังน้องชายไม่แรงนักเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บ แต่แค่อยากให้รู้ว่าเธอเหลืออดแล้วจริง ๆ และเขตไทก็คงรู้ว่าพี่สาวกำลังโกรธมากจึงไม่คิดโต้เถียง หรือหลบเลี่ยงเวลาที่อีกฝ่ายฟาดลงมา“ไอ้เขต! แกจะทำตัวให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ไม่สงสารตัวเองก็สงสารแม่บ้าง วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่องเดือดร้อนไม่ได้หยุดได้หย่อน อีกไม่กี่เดือนก็จะจบปวช. อยู่แล้ว หัดคิดเสียบ้างว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อ ไม่ใช่เอาแต่หาเรื่องมาให้”เธอทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนแรง ในขณะที่ช่อฟ้าตบที่แขนของบุตรชายเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้รีบเข้าห้องนอนไป“ผมรู้น่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ พี่อย่าบ่นนักได้ไหม”นอกจากจะไม่ทำตามที่มารดาบอกแล้ว เด็กหนุ่มยังเปิดปากเถียงพี่สาวพร้อมกับชักสีหน้ารำคาญเต็มทน“จะไม่ให้ฉันบ่นได้ยังไง ฉันหมดกับแกไปตั้งเท่าไรแล้วหา! ไอ้เขต แกเคยคิดบ้างไหมว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำงานงก ๆ เพื่อหาเงินมาเป็นค่าปรับ ค่าประกันตัวให้แกเนี่ย เดือนนี้ก็สามหมื่นเข้าไปแล้วนะ”ช่อมาลีแหวขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสี
ชายหนุ่มพยักหน้าให้ หญิงสาวจึงเดินออกไปจากห้อง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีแต่ชามของเขาแค่คนเดียว แต่ไม่มีของช่อมาลี เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องแล้วตรงไปที่โต๊ะทำงานของเลขาฯ ส่วนตัวแล้วก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นชามเปล่าวางไว้คู่กันกับถุงโจ๊กบนโต๊ะ พชรหยิบมันติดมือเดินกลับเข้าห้องไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ก็ในเมื่อวันนี้เขาตั้งใจจะมากินมื้อเช้ากับเธอ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมานั่งกินอยู่คนเดียวในห้องกันเล่า“กาแฟได้แล้วค่ะ”ช่อมาลีเดินถือถาดใส่แก้วกาแฟเข้ามาในห้อง พอวางลงบนโต๊ะตรงหน้าพชรแล้วถึงได้เห็นชามของตนเองวางอยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของเขา“ผมแค่ไม่อยากนั่งกินคนเดียว อุตส่าห์ให้คุณไปซื้อมาให้ก็เพื่อจะมานั่งกินด้วยกัน คุณจะแยกไปกินคนเดียวหน้าห้องทำไมล่ะ รังเกียจผมหรือไงคุณช่อ” พชรแกล้งพูดเย้าหญิงสาว ทำเอาช่อมาลีส่ายหน้าหวือ“เปล่านะคะ ไม่ได้รังเกียจ ดิฉันก็แค่เกรงใจ นึกว่าท่านประธานอยากจะนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ”“ถ้าผมอยากนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ คงไม่มานั่งกินที่ออฟฟิศหรอกครับคุณช่อ”พชรผายมือเชื้อเชิญให้คนตรงหน้านั่ง ช่อมาลีจำต้องนั
“ทำไมคุณถึงไม่แจ้งตำรวจตั้งแต่ตอนแรกที่เจอศพ” สารวัตรหนุ่มถามพลางจ้องหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่งอย่างค้นหา“คุณตำรวจน่าจะรู้ดีนะครับว่าพวกผมหรือไม่ว่าใครก็ตามไม่มีใครอยากยุ่งกับตำรวจเท่าไรนักหรอก โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ปิดเงียบกันทั้งนั้นแหละ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าคนตายเป็นใคร คนฆ่าเป็นใคร แถมพวกผมยังมาร้องเพลงให้ที่นั่นเป็นวันแรก แต่ก็ต้องมายุ่งเกี่ยวกับตำรวจแล้ว ผมว่าสู้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเลยน่าจะดีกว่า”คริสตอบตามจริง คนทำงานกลางคืนอย่างพวกเขาทุกคน แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการข้องเกี่ยวกับตำรวจทั้งนั้นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามสารวัตรหนุ่มลอบถอนหายใจ ข้อนี้เขารู้ดี บางคนถ้าไม่ใช่เรื่องของตน ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครอยากยุ่งทั้งนั้น ยิ่งเรื่องฆาตกรรม หรือเรื่องที่มีคนตายยิ่งแล้วใหญ่ กว่าจะง้างปากแต่ละคนได้ เล่นเอาเหนื่อยหลังจากนั้นก็ทำการซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ และสภาพศพที่ทั้งสองคนพบเจอตอนแรกว่าจะตรงกันกับตอนที่ตำรวจไปเจอหรือไม่ ซึ่งคำตอบโดยส่วนใหญ่ คริสจะเป็นผู้ตอบเกือบทั้งหมดหลังจากที่ทั้งสี่คนทิ้งที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์เอาไว้แล้วก็เดิ
“พวกเธอไปเที่ยวที่คลับบ่อยหรือ”ช่อมาลีแกล้งทำหน้าซื่อถามออกไป หนึ่งในนั้นทำหน้าเยาะราวกับว่าสิ่งที่เธอถามนั้นช่างโง่เง่าสิ้นดี แต่เธอก็ต้องทำเป็นไม่เห็น และไม่ใส่ใจกับคนพวกนี้“พวกเราไปกันทุกอาทิตย์นั่นแหละ เธอคงยังไม่เคยไปสินะมาลี คลับซุสของคุณโอมน่ะมีแต่คนมีระดับ หรือพวกกระเป๋าหนัก เงินหนาเท่านั้นนะถึงจะเข้าไปได้”เฉิ่มเชยอย่างช่อมาลีนี่น่ะหรือจะสะเออะเข้าไป ไม่รู้ว่าคุณโอมเมาหรือว่ามึนกันแน่ที่รับแม่นี่เข้ามาทำงานเป็นเลขาฯ ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะสมสักนิด!พลอยต่อประโยคหลังในใจ สายตามองเหยียดไปยังเลขาฯ คนใหม่ของประธานบริษัทอย่างไม่ปิดบังก่อนจะเสหลุบตาลงดูดน้ำในแก้ว“ฉันไม่เคยไปเที่ยวหรอกที่แบบนั้น ฉันไม่ค่อยสันทัดเท่าไร”ช่อมาลีตอบออกไป ก่อนจะทำทีเป็นมองไปที่หน้าร้านเพื่อดูว่าข้าวกล่องของตนได้หรือยังเพราะขี้เกียจจะเสวนากับสาว ๆ กลุ่มนี้เต็มทีแล้ว“นี่มาลี ฉันถามอะไรหน่อยสิ คุณโอมเขาชอบผู้หญิงแบบไหนน่ะ เธอรู้บ้างรึเปล่า” เก๋ถามแทรกขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย ส่วนคนถูกถามก็ได้แต่ลอบยิ้มอยู่ในหน้า แล้วตอบออกไปด้วยความมั่นใจเต็มที่“ท
หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ในยามที่เธอไม่ใช่ช่อมาลี เลขาฯ ส่วนตัวของเขา แต่กลับเป็นใครอีกคนหนึ่งที่เขาอาจจะกำลังคิดเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน ดูแค่สายตาก็รู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไร ไหนจะฝ่ามือแสนร้ายกาจที่เริ่มเลื้อยต่ำลงไปยังสะโพกกลมกลึง แล้วหมุนวนเอื่อย ๆ เนิบช้าอย่างมีชั้นเชิง“ได้ค่ะ เรียกม็อทเฉย ๆ ก็ได้ แต่เรื่องไปส่งนั้นคงไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เพราะม็อทกลับกับเพื่อนในวงอยู่แล้ว”ช่อมาลีรีบพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ส่งผลให้มือกาวคู่นั้นหลุดออกจากสะโพกเธอไปด้วย หญิงสาวรีบยกมือขึ้นไหว้เขาเพื่อขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทำเอาคนได้รับหัวใจกระตุกวูบตาคมกริบไม่อาจละไปจากดวงหน้าสวยบาดใจนั้นได้ ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงลอยเด่นอยู่ตรงหน้า มันทำให้เขาเผลอมองจนตาปรอย ยิ่งเห็นสายตากึ่งท้าทายกึ่งเชิญชวนที่เจ้าหล่อนมองมา พชรก็แทบอยากเอาตาข่ายมาดักจับผีเสื้อราตรีตัวนี้เอาไปไว้ดูเล่นบนเตียงเสียเดี๋ยวนั้นเธอมองเหมือนเขาไม่มีวันได้แอ้มเธอแน่ ๆ!“ไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือครับ กลับกับเพื่อนในวงคงไม่สนุกเหมือนกลับกับผมหรอกนะ”พชรยิ้มกริ่มมอง
“วันนี้คุณต้องตื่นนะคนสวย ถ้าคุณไม่ตื่นผมก็จะนั่งเฝ้าคุณอยู่อย่างนี้จนกว่าคุณจะตื่นนั่นแหละ”พชรพูดกับคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ลากเก้าอี้ที่วางชิดกำแพงอีกด้านมานั่งอยู่ข้างเตียง เขาถือวิสาสะเลิกเสื้อของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อยพอให้มองเห็นบริเวณที่เป็นแผล สายตาทอประกายเจ็บปวดเมื่อเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผ้าพชรคว้ามือของช่อมาลีขึ้นมาแตะริมฝีปากของตนเองลงไปเบา ๆ จากนั้นก็ประสานนิ้วมือของเขากับเธอเข้าไว้ด้วยกัน มีเพียงแรงกระเพื่อมจากอกเท่านั้นที่บอกเขาว่าเธอยังมีลมหายใจอยู่ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นแทบไม่ขยับ จนกระทั่งร่างกายเริ่มฝืนความอ่อนล้าต่อไปไม่ไหว สุดท้ายใบหน้าเขาก็เอนซบลงไปบนเตียงของหญิงสาวแรงสะกิดที่ไหล่จากเบา ๆ ก็เริ่มจะหนักขึ้นมาเรื่อย ๆ จนพชรต้องสะดุ้งตื่น เขาไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของผู้กองชินกฤตกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างจงใจ ข้างกันกับนายตำรวจหนุ่มคือช่อฟ้า มารดาของช่อมาลีที่มองมาทางเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน จนกระทั่งพชรก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตนเอง ถึงเพิ่งรู
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ โชคดีที่พามาส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เนื่องจากว่าคนไข้เสียเลือดไปมาก ทางโรงพยาบาลก็เพิ่งให้เลือดไป ตอนนี้คงต้องให้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูไปก่อนเพราะต้องคอยดูอาการเป็นระยะ ๆ และยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ”แพทย์ผู้ทำการรักษากล่าวจบก็เดินจากไป คนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกโล่งใจไปตาม ๆ กันโดยเฉพาะเขตไทที่พอฟังจบก็เดินเข้ามาหาพชรแล้วยกมือไหว้อย่างขอบคุณ“พี่ครับ ผมต้องขอบคุณพี่มากที่ตอนนั้นพี่รีบพาพี่มาลีขึ้นรถมาโรงพยาบาล เพราะผมก็มัวแต่...” เขตไทพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเงียบเสียงลงไปเพราะก้อนสะอื้นเริ่มขึ้นมาจุกที่คอ ตอนนั้นเขามัวแต่เล่นงานคนที่แทงพี่สาวจนลืมนึกไปว่าต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล กลับกลายเป็นพชรที่มาถึงก็รีบช้อนตัวพี่สาวเขาอุ้มขึ้นรถมาทันที“ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง ขอแค่ให้ช่อมาลีเขาปลอดภัยก็พอแล้ว”พชรหันไปยิ้มให้พร้อมกับตบบ่าเด็กหนุ่มเบา ๆ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้อนหินหนัก ๆ ที่ถ่วงใจเขาก่อนหน้านี้ละลายหายไปหมดแล้ว“ขอบคุณมากครับคุณ...” ผู้กองชินกฤตเอ่ยขอบคุณพชร พลางยื่นมือออกมา พชรจึงยื่นมื
ทันทีที่ส่งตัวช่อมาลีถึงมือแพทย์ พชรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดเรี่ยวแรง ในใจได้แต่ปลอบตนเองซ้ำไปซ้ำมาว่าถึงมือหมอแล้วเธอต้องปลอดภัย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนักชายหนุ่มเหลือบมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องที่ช่อมาลีกำลังเข้ารับการรักษา เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากแขนขวาแล้วหยดลงพื้นแต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจมันเท่าไร พชรจึงเดินไปจับไหล่อีกข้างแล้วบีบเบา ๆ“ชื่อเขตใช่ไหมเรา พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เลือดไหลใหญ่แล้วนะ” พชรมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่มีส่วนละม้ายกับพี่สาวอยู่มากอย่างเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เขารู้มาจากช่อมาลีว่ายังตามตัวของเขตไทไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็กลับโผล่มาเสียเอง ใจนึกอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราวแต่ติดที่ว่าตัวเขายังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวนี้อยู่ จึงไม่สมควรไปก้าวก่าย“แต่ผมเป็นห่วงพี่มาลี พี่ผมจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมไปทำแผลแล้วเกิดหมอเขาต้องการเลือดด่วนล่ะ” เขตไทบอกกับพชรด้วยสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงพี่สาวจนลืมอาการปวดที่บาดแผลของตนเองไปเสียสิ้น“ถึงมือหมอแล้วยังไงพี่สาวนายก็ต้องปลอดภัยแน่นอน ไม่ต้
“จะเป็นสายจากโรงพักรึเปล่านะ” หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รู้สึกใจกระตุกแปลก ๆ กับสายที่โทร. เข้ามาเมื่อครู่ แล้วก็ให้เสียดายที่ไม่ได้กดรับ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสายเมื่อครู่น่าจะเป็นเขตไท น้องชายของเธอที่โทร. เข้ามา หรืออาจเป็นสายจากตำรวจที่ทำคดีของน้องชายเธออยู่หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำ กะเอาไว้ว่าจะไปเอนหลังนอนบนเก้าอี้ยาวในห้องล็อกเกอร์สักหน่อย ก็พอดีกับที่มีเสียงเรียกมาจากด้านหลังพอดีจึงหันไปตามเสียงเรียก“ม็อท คุณโอมให้ไปหาที่รถแน่ะ เห็นบอกว่าอยากไปกินบะหมี่อะไรเนี่ยแหละ เขารออยู่”“อ้าวงั้นหรือ ขอบคุณนะคะ” คราวแรกช่อมาลีนึกระแวงไม่น้อย แต่พออีกฝ่ายพูดถึงบะหมี่ที่เคยพาพชรไปกินด้วยกันแล้วจึงคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเรียกหาอยู่จริง ๆ เพราะเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้หญิงสาวรีบเดินออกไปทางประตูด้านหลังที่จะออกไปสู่ลานจอดรถสำหรับพนักงาน สายตาระแวดระวังสอดส่ายไปทั่วบริเวณ พอไม่เห็นว่ามีใครเดินตามมาจึงค่อยโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นจึงรีบก้าวเร็ว ๆ เพื่อไปให้ถึงรถยุโรปคันหรูที่จำได้ติดตา แสงไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องสว่างในบริเวณลานจอดรถนั้นช่ว
เสียงสั่นพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ของชายหนุ่มขณะกำลังพูดชิดริมฝีปากอิ่ม เขาเอาหน้าผากแนบกับเธอแล้วระดมจูบย้ำ ๆ ที่เรียวปากนุ่มหอมชวนให้เคลิบเคลิ้ม ทว่าหญิงสาวที่เหมือนกำลังอยู่ในห้วงฝันดูเหมือนจะไม่รับรู้ถ้อยคำจากเขาเท่าไร นัยน์ตาหวานฉ่ำหยาดเยิ้มดูล่องลอยกำลังปลุกแรงปรารถนาในกายเขาขึ้นอีกครั้ง“อย่าทำหน้าอย่างนี้ถ้าไม่อยากถูกผมลักพาตัวขึ้นไปข้างบน”เขาพูดไปในขณะที่ปากก็พร่ำจุมพิตไปทั่วหน้า หญิงสาวมองเขาที่เคลื่อนไหววนเวียนอยู่แถว ๆ ใบหน้าและซอกคอไม่ยอมหยุดจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าเขาไว้“คุณโอมก็หยุดสิคะ อย่าแกล้งม็อท เดี๋ยวม็อทต้องขึ้นแสดงแล้ว”ให้ตายเถอะ เสียงของเธอหายไปไหนหมดนี่ เมื่อครู่สาบานได้ว่าเธอพยายามที่จะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ทำไมมันถึงได้สั่นพร่าจนฟังเหมือนกระซิบมากกว่าอย่างนี้เล่า“คนที่โดนแกล้งคือผมมากกว่า คุณกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้าเพราะต้องการคุณ รู้บ้างรึเปล่า” เขากดสะโพกเธอให้เข้ามาบดเบียดแก่นกายร้อนผ่าวอีกครั้งราวกับต้องการยืนยันสิ่งที่ตนเองพูด“เดี๋ยวม็อทต้องไปแล้วค่ะคุณโอม” เธอดันอกกว้างของเขาให้ถอยห่างอย่างมีชั้นเชิง ปลายนิ้ว
ช่อมาลีนั่งมองเพื่อนชายที่ยืนกอดอกจ้องไปทางบูธดีเจตาแทบไม่กะพริบด้วยความสงสัย ครั้นพอหันมองตามสายตาของคริสไป หญิงสาวก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงหันไปหาเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน“ไอ้จิล เราตกข่าวอะไรไปรึเปล่าวะ” เวลาอยู่กับเพื่อน เธอมักจะพูดจาแบบนี้เสมอด้วยความเคยชิน เพราะเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมา“อืม...คริสมันกำลังตกอยู่ในห้วงรัก” จิลตอบเพื่อนยิ้ม ๆ พลางพยักพเยิดไปทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ในบูธดีเจช่อมาลีทำตาโตราวกับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะปกติเห็นคริสควงแต่สาวเซ็กซี่ร้อนแรง แล้วนึกอย่างไรถึงได้มาลงเอยกับสาวใส ๆ แบบมิวได้“วู้...ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวได้แต่อุทานเบา ๆ ไม่ใช่ว่าดีเจมิวไม่สวย จากที่เห็นด้วยตา มิวจัดว่าหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาเพราะเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบ นัยน์ตากลมโต จมูกเล็ก ๆ แก้มป่อง ปากอิ่มสีสดจนเธอนึกอิจฉา รูปร่างก็กะทัดรัดดูน่าทะนุถนอม แต่ที่เธอแปลกใจก็เพราะไม่คิดว่าคริสจะมาแพ้ทางสาวสไตล์นี้เข้าจนได้“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ แ
ขาไปกลับระหว่างที่นี่กับที่คลับเขาก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพื่อนในวงของเธอมารับส่งถึงที่อยู่แล้ว เขารู้ดี“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง”ช่อมาลียกมือไหว้ขอบคุณเขาแต่กลับไม่กล้าสบตาด้วย เมื่อครู่ตอนที่นั่งอยู่ในรถ เขาก็ดึงมือเธอไปกุมเอาไว้ตลอดเวลา จะชักออกก็ไม่กล้าเพราะกลัวเขาโกรธ“อืม...ขึ้นห้องเถอะ เดี๋ยวผมกลับแล้ว” ชายหนุ่มยืนเอาหลังพิงตัวรถ มือสอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองอย่าง เพราะกลัวมันจะยืดยาวไปคว้าร่างของเธอมากอดไว้ช่อมาลีหมุนตัวเดินเข้าไปแตะคีย์การ์ดหน้าประตูเพื่อเข้าไปด้านใน อะพาร์ตเมนต์ หญิงสาวหันกลับมามองเขาอีกครั้งก็ยังเห็นเขายืนพิงรถมองอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนกระทั่งลิฟต์มาแล้วจึงก้าวเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มจึงขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไปทันทีเมื่อมาถึงห้อง ช่อมาลีคว้าตุ๊กตาตัวใหญ่ที่วางอยู่บนโซฟามากอดแน่น รอยยิ้มระบายเต็มวงหน้าทั้งปากทั้งตาอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงได้หักห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้สักที แม้ไม่รู้ว่าการกระทำที่เขาแสดงออกมาทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะเอ็นดูเธอในฐานะลูกน้อง หรืออะไรก็ตาม เ
“หิวสิถึงได้รีบกลับมานี่ไง นึกว่าคุณยังไม่กินเสียอีกจะได้กินด้วยกัน” พูดพลางเอื้อมมือไปถือจานกับถุงอาหารเสียเอง แต่ไม่ยอมถือแก้วโกโก้เย็นที่เขาสั่งไว้ก่อนหน้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปในห้องทำงานเพื่อให้เลขาฯ สาวเดินตามเข้าไปแต่โดยดี“ดิฉันนึกว่าท่านประธานจะกินมาจากข้างนอกเสียอีก” ช่อมาลีเดินเข้าไปวางแก้วโกโก้บนโต๊ะตรงหน้าเขา“ไม่ล่ะ อยากกินข้าวกับคุณมากกว่า งานยุ่งไหมวันนี้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่แฝงความนัยในถ้อยประโยค ทำเอาคนฟังรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ หญิงสาวจับกรอบแว่นตาให้เข้าที่ตอนที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะไม่กล้าสบตาเขา ก่อนจะตอบคำถามไปแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง“ก็...ไม่เท่าไรค่ะ ทำไปเรื่อย ๆ”“งั้นก็ดีเลย มานั่งเป็นเพื่อนผมกินข้าวหน่อยสิ” พชรพูดพลางเลื่อนกองเอกสารตรงหน้าหญิงสาวย้ายเอาไปไว้อีกมุมโต๊ะเพื่ออำนวยความสะดวกเต็มที่ ช่อมาลีไม่อยากนั่งเพราะไม่อยากให้ตนเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าขัดจึงหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแต่โดยดีหญิงสาวตวัดตามองเขาแล้วรีบหลุบตาลงต่ำ เพราะกลัวเขารู้ว่าเธอแอบมอง ในขณะที่คนถูกแอบมองกลับเงยหน้าขึ้น
ช่วงปลายสัปดาห์ของการทำงาน ช่อมาลีเริ่มปรับตัวให้คุ้นกับการต้องนั่งรถทางไกลจากบ้านมารดามาที่ทำงานได้แล้ว แต่ขากลับนั้นจะเรียกว่าสะดวกสบายก็คงเรียกได้ไม่เต็มปากสักเท่าไร เพราะพชรอาสาไปส่งทุกวันไม่เคยขาด จะปฏิเสธบ่อย ๆ ก็เกรงใจเขา อีกทั้งลึก ๆ แล้วเธอเองก็อยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเขาบ้าง แม้จะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตามทีช่อมาลีเดินมาถึงโต๊ะทำงานของตัวเอง ทว่าพอนั่งได้ไม่นาน แม่บ้านประจำตึกคนหนึ่งก็เดินเอากล่องพัสดุขนาดไม่ใหญ่นักมายื่นให้ หญิงสาวรับมาโดยไม่ได้คิดอะไร หน้ากล่องมีกระดาษพิมพ์ชื่อของเธอ และที่อยู่ของบริษัทนี้แปะเอาไว้ด้านหน้าแต่ไม่มีชื่อผู้ส่ง พลันนั้นเธอนึกไปถึงเรื่องที่อารยา อดีตเลขาฯ ของพชรมาเล่าให้ฟังทันที ลางสังหรณ์แปลก ๆ เริ่มขึ้นมาในความคิดอย่างรวดเร็ว หญิงสาวนั่งมองกล่องใบนั้นอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้กรรไกรตัดเชือกออกเธอทดลองเขย่ากล่องนั้นดูเบา ๆ เพื่อฟังเสียง ข้างในเหมือนมีวัตถุแข็ง ๆ บางอย่างไม่ใหญ่นักอยู่ในนั้นเพียงอย่างเดียว ช่อมาลีหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาตัดกระดาษกาวที่แปะรอบตัวกล่องออก ช่วงที่กำลังจะเปิดฝากล่อง พชรก็เดินออกจากลิฟต์มาแล