ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดี
และถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตามความจริงอาจจะถูกมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัยได้
อะไรก็ไม่น่าสลดใจเท่ากับว่าเสียงที่เธอได้ยินนั้น ไม่ใช่เสียงของคนกำลังประกอบกามกิจกัน แต่น่าจะเป็นเสียงดิ้นรนขอความช่วยเหลือจนเฮือกสุดท้ายมากกว่า นั่นก็แปลว่าตอนที่เธอได้ยินเสียงครั้งแรก ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตาย ซึ่งหากเธอรู้สักนิดว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจจะช่วยเหลือผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นได้ทันเวลา
ประตูห้องส่วนตัวของท่านประธานเปิดพรวดออกมาจนช่อมาลีสะดุ้งเฮือก เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วก็อยากถามเหลือเกินว่าเรื่องเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากสถานะตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถซักถามอะไรเขาได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบ เหลือบมองคนที่เดินงุ่นง่านไปมาด้วยความร้อนรนจนกระทั่งเขามาหยุดอยู่ตรงหน้า
“คุณช่อมาลี เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอกคงไม่เข้ามาแล้วล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรคุณโทร. หาคุณมุกได้นะ ผมจะแจ้งเขาไว้ว่าผมรับคุณเข้าทำงานแล้ว”
เขาพูดจบก็พรวดพราดเดินออกจากห้องไป ทิ้งเลขาฯ คนใหม่ไว้ในห้องเพียงลำพัง โดยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และความอยากรู้เต็มเปี่ยมของเธอมองตามหลัง
“ไม่ได้การแล้ว ต้องโทร. ไปเล่าให้คริสฟัง”
หญิงสาวกดโทรศัพท์หาเพื่อนในวง เล่าเรื่องที่ตนบังเอิญได้งานใหม่เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของพชร นำมาซึ่งความแปลกใจในทฤษฎีโลกกลมอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งมาถึงเรื่องเมื่อครู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้มีคนพบศพแล้วถึงได้มีคนโทร. ตามให้พชรไปที่คลับโดยด่วน
ร่างสูงโปร่งของพชรก้าวลงจากรถด้วยความร้อนรน เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในอาคารทันที ไฟตรงทางเดินถูกเปิดไว้สว่างไสว รวมกับไฟจากสปอร์ตไลต์อันใหญ่ที่ภีมพลสั่งให้คนมาวางตั้งไว้เพื่ออำนวยความสะดวกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาเก็บหลักฐาน งานนี้โชคดีที่ตำรวจในท้องที่ที่เข้ามาจัดการทำคดีเป็นญาติสนิทกับภีมพล เขาจึงสามารถปิดข่าวไม่ให้ล่วงรู้ถึงหูนักข่าวทั้งหลายได้
“สวัสดีครับพี่พล” พชรยกมือไหว้นายตำรวจที่ยืนอยู่ข้างภีมพล ก่อนจะหันไปหาเพื่อนรัก
“ตกลงเป็นน้องออยจริง ๆ หรือวะ”
ชายหนุ่มพูดกับภีมพล อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้แทนคำตอบ ภีมพลชวนพชรกับจุมพลให้ขึ้นไปคุยกันบนออฟฟิศ ทั้งสามคนจึงพากันเดินขึ้นบันไดไป และปิดประตูห้องคุยกันอยู่ในนั้น
“เห็นไอ้ภีมมันบอกว่าเมื่อคืนแกอยู่กับน้องคนที่ตายเมื่อคืนนี้ใช่ไหม”
ร้อยตำรวจเอกจุมพลเปิดปากสอบถามเพื่อนสนิทของลูกพี่ลูกน้องทันที เขาไม่ได้สงสัยพชร เพียงแต่เขาต้องรู้เรื่องทุกอย่างว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม
“ครับ! ผมสนุกกับเธอประมาณสองชั่วโมงได้...ที่ห้องนี้นี่แหละ เสร็จแล้วเธอก็แต่งตัวเดินออกจากห้องไปเอง ส่วนผมก็ขับรถกลับบ้านเพราะน้องเขาบอกว่าจะอยู่สนุกกับเพื่อนจนถึงเวลาผับปิด” พชรตอบไปตามความจริง
“มีใครรู้เรื่องที่เธอขึ้นมาเล่นจ้ำจี้กับแกบนนี้รึเปล่า” สารวัตรหนุ่มยังคงถามต่อ
“ก็น่าจะมีเพื่อน ๆ ของเธอที่โต๊ะนั่นแหละครับ แล้วก็คุณแมท ผู้จัดการของที่นี่ เพราะไอ้ภีมมันเป็นคนให้คุณแมทพาสาว ๆ ขึ้นมาหาพวกผมข้างบน”
“อืม...ดูจากสภาพศพแล้วเหมือนคนร้ายกับผู้ตายมีเรื่องแค้นเคืองอะไรกันอยู่แน่ ๆ เพราะนอกจากปาดคอแล้วเนี่ย ยังแทงพรุนไปทั้งร่างอีกด้วย เหมือนเป็นเรื่องหึงหวง ไม่ใช่ว่าคนตายมีสามีอยู่แล้วเรอะ พอจับได้ว่าแอบมามีกิ๊กที่นี่เลยบันดาลโทสะ”
สารวัตรหนุ่มตั้งข้อสันนิษฐาน ภีมพลเองก็ส่ายหน้าไปมาเหมือนคนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“อันนี้ผมก็ไม่รู้นะพี่ แต่สาว ๆ กลุ่มนี้มากันทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์เลยนะ ถ้าให้พูดกันตามตรงก็เหมือนกับว่า...พวกเธอค่อนข้างฟรีเซ็กซ์กันเลยมากกว่า ประมาณว่าถูกใจใคร หรือคุยถูกคอกับใครก็สามารถหิ้วขึ้นเตียงได้ทันที กลุ่มนั้นมีกันสี่คน ทั้งสี่คนนั้นผมก็ลองมาหมดแล้ว ผมเลยเลือกเอาจานที่แซ่บที่สุดส่งให้ไอ้โอมมันลองบ้าง แล้วก็มาเกิดเรื่องนี่แหละ”
ภีมพลยืนเอาสะโพกพิงกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บอกเล่าเรื่องที่ตนรู้ให้พี่ชายฟังอย่างหมดเปลือก
“คืนนี้พี่อยากให้แกเรียกพวกนักดนตรีมาหน่อยได้รึเปล่า พี่อยากสอบปากคำพวกเขาหน่อย พวกนั้นมีเล่นให้ที่อื่นอีกไหม เพราะเมื่อครู่พี่คุยกับเจ้าภีม เห็นมันบอกว่าพนักงานกลุ่มสุดท้ายที่เดินออกจากอาคารน่าจะเป็นพวกนักดนตรี ซึ่งมันตรงกันกับรายงานการตรวจสถานที่เกิดเหตุเมื่อสักครู่ว่าพบรอยรองเท้าบูตของผู้หญิงอยู่ใกล้กับบริเวณที่พบศพ”
สารวัตรจุมพลรู้มาว่านักร้องนำของวงดนตรีวงใหม่เป็นผู้หญิง จึงคาดเดาได้ว่าคนพบศพคนแรกไม่น่าจะเป็นแม่บ้านทำความสะอาด แต่น่าจะเป็นนักร้องนำสาวคนนั้น
“พี่พลหมายความว่าม็อทน่าสงสัยหรือครับ” พชรอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นสารวัตรหนุ่มพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่พี่อยากรู้มากกว่าว่าถ้าเธอเป็นคนพบศพคนแรก แล้วทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจ เขารออะไร ซึ่งถ้าเป็นคนปกติทั่วไป ถ้าเจอศพปุ๊บก็ต้องแจ้งตำรวจทันที แต่นี่นอกจากทิ้งรอยเท้าเอาไว้แล้ว ยังปิดเงียบอีกต่างหาก” จุมพลตั้งข้อสงสัย
“ผมว่าบางทีเขาอาจจะไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้ก็ได้นะครับ เพราะมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่น่ะ ไหนจะต้องโดนสอบปากคำ ไหนจะต้องเป็นจุดสนใจของคนอื่น เขาก็เลยทำเฉยไว้”
พชรพูดอย่างที่ใจคิด แต่ภีมพลกลับหันมองหน้าเพื่อนอย่างแปลกใจที่จู่ ๆ ก็เห็นเพื่อนรักออกโรงปกป้อง และแก้ตัวแทนนักร้องนำสาวสวย
เสียงจากวิทยุสื่อสารของสารวัตรหนุ่มดังขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปจดจ่อกับเสียงนั้น
“สารวัตรครับ รบกวนลงมาข้างล่างหน่อยครับ พวกผมเจออะไรบางอย่าง”
เสียงผู้ใต้บังคับบัญชาพูดผ่านลำโพงออกมา ทำให้ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน สารวัตรหนุ่มจึงพยักหน้าให้ชายหนุ่มอีกสองคนเพื่อชักชวนกันลงไปข้างล่าง เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานเจอนั้นคืออะไร
“มีอะไร” สารวัตรจุมพลถามผู้ใต้บังคับบัญชา นายตำรวจคนนั้นจึงเดินนำไปที่ศพของหญิงสาวที่นอนราบอยู่กับเปลหาม พชรแทบไม่กล้ามองร่างเหยียดยาวตรงหน้า ไม่อยากเชื่อว่าร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นเพิ่งจะสร้างความสุขสุดยอดให้กับเขาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
มือที่สวมถุงมือยางของเจ้าหน้าที่เลิกผ้าขาวที่คลุมศพไว้ออกจากร่างนั้น เผยให้เห็นชุดเกาะอกสีแดงเพลิงของเจ้าตัวที่ขาดวิ่นเป็นทางราวกับถูกมีดกรีดลงไปซ้ำแล้วซ้ำแล้ว จนพชรกับภีมพลต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
เจ้าหน้าที่คนเดิมจับร่างนั้นพลิกให้นอนคว่ำลง แล้วแหวกชุดที่ขาดให้แยกออก เผยให้เห็นข้อความจากปากกาเคมีสีน้ำเงินที่เขียนไว้กลางหลังของศพคำเดียวสั้น ๆ
“ร่าน”
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”
“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้าเสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเ
รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชาย
“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น
พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศพอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้นจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะส
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป