“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”
ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน
“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม
“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”
ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว
“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”
พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย
“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”
พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”
ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
“คุณหิวรึยัง ผมว่าเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย” พอพูดถึงเรื่องอาหาร ช่อมาลีก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหิวเหมือนกัน เพราะเมื่อเช้ายังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกเขาลากมาขึ้นรถเสียก่อน
“ก็เริ่มหิวแล้วค่ะเพราะตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน”
ช่อมาลีเอามือลูบท้องตนเองเบา ๆ พชรจึงชวนให้เดินต่อ แต่ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยุดเดินเอาเสียดื้อ ๆ
“จริงสิ ผมว่าเราไปจองตั๋วหนังกันก่อนดีกว่า ไปดูด้วยว่ามีเรื่องไหนน่าสนใจ ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็ออกเดินนำโดยมีช่อมาลีเดินตามหลังไปติด ๆ หญิงสาวค้อนใส่แผ่นหลังของเขาอย่างอดไม่ได้ คนอะไรคิดเอง เออเอง ตัดสินใจเองไปเสียทุกอย่าง ไม่ถามเธอสักคำว่าอยากดูภาพยนตร์กับเขารึเปล่า
ระหว่างที่เดินผ่านแผนกชุดว่ายน้ำสตรี พชรอมยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ มะรืนนี้ช่อมาลีต้องไปภูเก็ตกับเขา กลับมาอีกทีก็วันศุกร์ ซึ่งความจริงแล้วเรื่องงานที่จะทำนั้นแค่วันเดียวก็เสร็จ ส่วนที่เหลืออีกสองวัน เขากะจะเที่ยวพักผ่อนให้ฉ่ำปอดโดยหนีบเลขาฯ คู่ใจไปด้วยนี่แหละ อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าช่อมาลีใส่บิกินี่ตัวจิ๋วจะน่ามองสักแค่ไหนกัน
ทั้งคู่มาหยุดอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์สำหรับซื้อตั๋วภาพยนตร์ พชรแหงนหน้ามองโปรแกรมภาพยนตร์ที่ปรากฏขึ้นบนจอพร้อมกับรอบฉายสักครู่แล้วก็ก้มลงมาถามคนข้างกาย
“เอาเรื่องนี้ดีไหมคุณช่อ รอบแรกตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้เราจะได้ไปกินข้าวกันก่อน”
ชายหนุ่มพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ช่อมาลีเองก็หันไปทำหน้างง ๆ ยังไม่ได้ทันได้ตอบรับอะไร พชรก็เดินเข้าไปที่ช่องซื้อตั๋วแล้วเรียบร้อย
ช่อมาลีหันมองไปรอบ ๆ เวลานี้ยังไม่ค่อยมีคนมาดูภาพยนตร์เท่าไรนัก เพราะห้างเพิ่งเปิดทำการได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ภาวนาในใจให้มีคนใจตรงกันมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันเยอะ ๆ เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเก้อเขินเกินไปนักเวลาที่ต้องนั่งอยู่กับเขาในนั้นเพียงลำพังโดยที่รอบข้างไม่มีคนอื่นอยู่เลย
“เรียบร้อย ไปกันเถอะ” พชรแตะหลังหญิงสาวให้ออกเดินเมื่อจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว เขาพาเธอลงลิฟต์มายังชั้นล่างสุดที่เป็นศูนย์อาหาร และร้านอาหารมากมายที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถว
“เราจะกินอะไรกันดีคุณช่อ”
ชายหนุ่มพูดพลางไล่สายตาไปตามร้านอาหารชื่อดังต่าง ๆ ในขณะที่ช่อมาลีจ้องเขม็งไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่อยู่ในศูนย์อาหาร เพราะเวลานี้เธออยากกินอะไรก็ได้ที่ช่วยทำให้ตาสว่าง หายจากอาการง่วงงุน
“แล้วท่านประธานอยากกินอะไรคะ” หญิงสาวถามเขากลับไป พชรหันหน้ามากะจะตอบเมื่อเล็งร้านที่ต้องการเอาไว้ แต่พอมองตามสายตาของหญิงสาว เขาจึงเปลี่ยนใจ
“กินในศูนย์อาหารนี่ก็ได้เนอะ ง่ายดี ผมว่าราดหน้าร้านนั้นก็น่ากินดีนะ” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ขณะที่เดินเคียงกับช่อมาลีเข้าไปในศูนย์อาหาร จัดแจงแลกเงินซื้อบัตรแล้วยื่นให้เธอไปใบหนึ่ง
“มาออกเดตกับหนุ่มฮอตแบบผมทั้งที กินให้เต็มที่เลยนะคุณช่อ”
แววตาของคนพูดเป็นประกายเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เผลอตัวตวัดค้อนใส่เขาก่อนจะผละจากไป ตาคมมองตามร่างระหงพร้อมกับความสงสัยในใจที่เริ่มก่อตัว
“ช่อมาลี...ม็อท...เหมือนมาก”
สารวัตรจุมพลนั่งอ่านรายงานที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสรุปมาให้ด้วยสีหน้าเครียดขึ้ง กระดาษรายงานตรงหน้าเขามีตัวหนังสือสีน้ำเงิน และสีแดงเขียนแทรกเอาไว้ในแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งลายมือนั้นไม่ใช่ของใครอื่น แต่มันเป็นลายมือของเขาเอง ในกระดาษรายงานเป็นการเรียงลำดับเวลาก่อนหลัง ดังนี้
ห้าทุ่มครึ่ง ดนตรีสดเริ่มการแสดง
ห้าทุ่มสี่สิบนาที แมทเอาเบียร์ขึ้นไปให้สารวัตร ตอนนั้นดนตรีกำลังเล่นเพลงที่สาม
ห้าทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ดีเจมิวอ้างว่าอยู่ในห้องล็อกเกอร์ตลอดเวลา และเดินออกไปที่ฮอลล์ตอนที่บนเวทีกำลังเล่นเพลงเพียงกระซิบ (เทียบเวลาจากกล้องวงจรปิด และลิสต์รายการเพลงจากวงบัตเตอร์ฟลายแล้ว พบว่าเพลงนี้เล่นในช่วงเวลานั้นจริง ๆ)
เที่ยงคืน ดีเจอาร์มเดินเข้ามาในโซนของพนักงาน สวนทางกับดีเจมิวที่หน้าประตู และบอกด้วยว่าบนเวทีกำลังเล่นเพลงเพียงกระซิบ ซึ่งตรงกันกับคำให้การของดีเจมิว
เที่ยงคืนหกนาที แนนนี่เดินออกมาที่ด้านหลัง ตรงที่สูบบุหรี่พนักงาน เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ช่วยพ่อครัวเอาขยะถุงที่สองมาทิ้งตรงหลังแท็งก์น้ำ และพอเดินกลับมาในครัวก็เห็นดีเจอาร์มกำลังหยิบช้อนชาไปยื่นให้แนนนี่
เที่ยงคืนสิบห้านาที ดนตรีสดพักเบรก
เที่ยงคืนครึ่ง ครัวปิด
เที่ยงคืนสามสิบห้านาที จากกล้องวงจรปิดพบว่ามีคนเดินไปที่หลังแท็งก์น้ำ
เที่ยงคืนห้าสิบนาที ผู้ช่วยพ่อครัวที่ชื่อชัย เข็นรถขยะไปทิ้ง
เที่ยงคืนห้าสิบสามนาที ชัยเข็นรถแอบไว้ที่ข้างรถของแมท ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวเพราะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าในครัวไฟไหม้ จากนั้นไม่นานดูจากกล้องวงจรปิดพบว่ารถเข็นคันนั้นขยับเล็กน้อย
ตีหนึ่งสิบห้านาที ดนตรีสดเริ่มแสดงอีกรอบ จนถึงเวลาตีสอง
สารวัตรหนุ่มนั่งอ่านรายงานซ้ำไปซ้ำมา ตรงไหนที่น่าสงสัยเขาก็ใช้ปากกาแดงขีดเส้นใต้เอาไว้ แล้วก็เขียนกำกับสิ่งที่ตนเองสงสัยลงไป ทว่าหลักฐานการอ้างที่อยู่ของแต่ละคนก็ดูแน่นหนาจนน่าเชื่อถือ
ชายหนุ่มหยิบรายงานอีกฉบับขึ้นมาอ่าน ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับหลักฐานทางด้านวัตถุที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุ
ลูกกุญแจดอกหนึ่งที่เจอใกล้กับแท็งก์น้ำ เป็นกุญแจล็อกเกอร์ของดีเจมิว คำถามต่อมาก็คือ มันไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้อย่างไรในเมื่อดูจากกล้องวงจรปิดแล้วไม่ปรากฏว่าดีเจมิวเข้าไปในบริเวณนั้นเลย และที่สำคัญ เมื่อคืนวันเสาร์เจ้าตัวเพิ่งจะแอบแจ้งข้อมูลลับบางอย่างเกี่ยวกับตัวผู้ต้องสงสัยซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีพอสมควร
ไม่พบช้อนที่ผู้ตายใช้เป็นอุปกรณ์การเสพยาไอซ์ สงสัยว่าอาจจะนำมาล้างเก็บไว้ที่เดิมแล้วก็ได้ แต่เท่าที่ดูจากกล้องวงจรปิดก็ไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปในบริเวณนั้นอีก หรือบางทีคนร้ายอาจจะนำติดมือออกไปด้วย
ไม่พบปากกาเคมีในบริเวณนั้น แสดงว่าคนร้ายต้องพกติดตัว หรือไม่ก็เอาไปทิ้งที่ใดที่หนึ่ง เพราะปากกาเคมีที่มีอยู่ในคลับทั้งหมด เมื่อเอามาตรวจสอบดูแล้วไม่พบว่ามีอันไหนที่มีคราบเลือดติดอยู่ตรงส่วนหัวที่ใช้เขียน เพราะตอนที่เขาเลิกผ้าเพื่อดูสภาพศพ เห็นว่ามีการเขียนทับรอยเลือดบางส่วน
ทำไมคนร้ายต้องเขียนคำด่าทอลงบนตัวศพ เพราะถ้าหากอยากจะประจานกันจริง ๆ ทำไมไม่เขียนในที่เด่นสะดุดตา ทำไมเจาะจงเลือกเขียนในร่มผ้า ซึ่งถ้าหากไม่เปิดดูก็จะไม่รู้เลยว่ามีคำบางคำเขียนไว้
นิติเวชแจ้งเวลาเสียชีวิตของเหยื่อว่าเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนสิบห้านาทีจนถึงเที่ยงคืนสี่สิบห้านาที
สารวัตรจุมพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงในการจัดการเหยื่อตั้งแต่ลงมือฆ่าจนกระทั่งจัดการเอาศพยัดใส่ถุงขยะแล้วเอาไปใส่ไว้ในรถเข็น แสดงว่าผู้ร้ายรายนี้ต้องเป็นคนแข็งแรงพอตัว แล้วไหนจะช่วงเวลาที่ขนศพลงจากรถเข็นแล้วเอาไปเก็บซ่อนไว้ตรงมุมมืดข้างรถนั่นอีกเล่า นับว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ และบ้าบิ่นพอตัวเลยทีเดียว
ดูแค่การจัดฉากให้ศพก็รู้แล้วว่าคนร้ายรายนี้ลงมืออย่างใจเย็น ไม่รีบร้อน ราวกับกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะสักชิ้นหนึ่ง เพียงแต่งานศิลป์ชิ้นนี้มีองค์ประกอบคือเลือดและความตาย!
พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศพอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้นจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะส
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”
“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้าเสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเ
รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชาย