Share

บทที่ 11 เจ้านายจอมเฮี้ยบ - 100%

“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”

ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน

“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม

“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”

ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว

“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”

พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย

“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”

พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า

“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”

ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ

“คุณหิวรึยัง ผมว่าเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย” พอพูดถึงเรื่องอาหาร ช่อมาลีก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหิวเหมือนกัน เพราะเมื่อเช้ายังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกเขาลากมาขึ้นรถเสียก่อน

“ก็เริ่มหิวแล้วค่ะเพราะตั้งแต่เช้าก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน”

ช่อมาลีเอามือลูบท้องตนเองเบา ๆ พชรจึงชวนให้เดินต่อ แต่ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยุดเดินเอาเสียดื้อ ๆ

“จริงสิ ผมว่าเราไปจองตั๋วหนังกันก่อนดีกว่า ไปดูด้วยว่ามีเรื่องไหนน่าสนใจ ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็ออกเดินนำโดยมีช่อมาลีเดินตามหลังไปติด ๆ หญิงสาวค้อนใส่แผ่นหลังของเขาอย่างอดไม่ได้ คนอะไรคิดเอง เออเอง ตัดสินใจเองไปเสียทุกอย่าง ไม่ถามเธอสักคำว่าอยากดูภาพยนตร์กับเขารึเปล่า

ระหว่างที่เดินผ่านแผนกชุดว่ายน้ำสตรี พชรอมยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ มะรืนนี้ช่อมาลีต้องไปภูเก็ตกับเขา กลับมาอีกทีก็วันศุกร์ ซึ่งความจริงแล้วเรื่องงานที่จะทำนั้นแค่วันเดียวก็เสร็จ ส่วนที่เหลืออีกสองวัน เขากะจะเที่ยวพักผ่อนให้ฉ่ำปอดโดยหนีบเลขาฯ คู่ใจไปด้วยนี่แหละ อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าช่อมาลีใส่บิกินี่ตัวจิ๋วจะน่ามองสักแค่ไหนกัน

ทั้งคู่มาหยุดอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์สำหรับซื้อตั๋วภาพยนตร์ พชรแหงนหน้ามองโปรแกรมภาพยนตร์ที่ปรากฏขึ้นบนจอพร้อมกับรอบฉายสักครู่แล้วก็ก้มลงมาถามคนข้างกาย

“เอาเรื่องนี้ดีไหมคุณช่อ รอบแรกตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้เราจะได้ไปกินข้าวกันก่อน”

ชายหนุ่มพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ช่อมาลีเองก็หันไปทำหน้างง ๆ ยังไม่ได้ทันได้ตอบรับอะไร พชรก็เดินเข้าไปที่ช่องซื้อตั๋วแล้วเรียบร้อย

ช่อมาลีหันมองไปรอบ ๆ เวลานี้ยังไม่ค่อยมีคนมาดูภาพยนตร์เท่าไรนัก เพราะห้างเพิ่งเปิดทำการได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ภาวนาในใจให้มีคนใจตรงกันมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้กันเยอะ ๆ เธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเก้อเขินเกินไปนักเวลาที่ต้องนั่งอยู่กับเขาในนั้นเพียงลำพังโดยที่รอบข้างไม่มีคนอื่นอยู่เลย

“เรียบร้อย ไปกันเถอะ” พชรแตะหลังหญิงสาวให้ออกเดินเมื่อจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว เขาพาเธอลงลิฟต์มายังชั้นล่างสุดที่เป็นศูนย์อาหาร และร้านอาหารมากมายที่ตั้งเรียงรายกันเป็นแถว

“เราจะกินอะไรกันดีคุณช่อ”

ชายหนุ่มพูดพลางไล่สายตาไปตามร้านอาหารชื่อดังต่าง ๆ ในขณะที่ช่อมาลีจ้องเขม็งไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่อยู่ในศูนย์อาหาร เพราะเวลานี้เธออยากกินอะไรก็ได้ที่ช่วยทำให้ตาสว่าง หายจากอาการง่วงงุน

“แล้วท่านประธานอยากกินอะไรคะ” หญิงสาวถามเขากลับไป พชรหันหน้ามากะจะตอบเมื่อเล็งร้านที่ต้องการเอาไว้ แต่พอมองตามสายตาของหญิงสาว เขาจึงเปลี่ยนใจ

“กินในศูนย์อาหารนี่ก็ได้เนอะ ง่ายดี ผมว่าราดหน้าร้านนั้นก็น่ากินดีนะ” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ขณะที่เดินเคียงกับช่อมาลีเข้าไปในศูนย์อาหาร จัดแจงแลกเงินซื้อบัตรแล้วยื่นให้เธอไปใบหนึ่ง

“มาออกเดตกับหนุ่มฮอตแบบผมทั้งที กินให้เต็มที่เลยนะคุณช่อ”

แววตาของคนพูดเป็นประกายเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวที่เผลอตัวตวัดค้อนใส่เขาก่อนจะผละจากไป ตาคมมองตามร่างระหงพร้อมกับความสงสัยในใจที่เริ่มก่อตัว

“ช่อมาลี...ม็อท...เหมือนมาก”

สารวัตรจุมพลนั่งอ่านรายงานที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสรุปมาให้ด้วยสีหน้าเครียดขึ้ง กระดาษรายงานตรงหน้าเขามีตัวหนังสือสีน้ำเงิน และสีแดงเขียนแทรกเอาไว้ในแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งลายมือนั้นไม่ใช่ของใครอื่น แต่มันเป็นลายมือของเขาเอง ในกระดาษรายงานเป็นการเรียงลำดับเวลาก่อนหลัง ดังนี้

ห้าทุ่มครึ่ง ดนตรีสดเริ่มการแสดง

ห้าทุ่มสี่สิบนาที แมทเอาเบียร์ขึ้นไปให้สารวัตร ตอนนั้นดนตรีกำลังเล่นเพลงที่สาม

ห้าทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ดีเจมิวอ้างว่าอยู่ในห้องล็อกเกอร์ตลอดเวลา และเดินออกไปที่ฮอลล์ตอนที่บนเวทีกำลังเล่นเพลงเพียงกระซิบ (เทียบเวลาจากกล้องวงจรปิด และลิสต์รายการเพลงจากวงบัตเตอร์ฟลายแล้ว พบว่าเพลงนี้เล่นในช่วงเวลานั้นจริง ๆ)

เที่ยงคืน ดีเจอาร์มเดินเข้ามาในโซนของพนักงาน สวนทางกับดีเจมิวที่หน้าประตู และบอกด้วยว่าบนเวทีกำลังเล่นเพลงเพียงกระซิบ ซึ่งตรงกันกับคำให้การของดีเจมิว

เที่ยงคืนหกนาที แนนนี่เดินออกมาที่ด้านหลัง ตรงที่สูบบุหรี่พนักงาน เป็นเวลาเดียวกับที่ผู้ช่วยพ่อครัวเอาขยะถุงที่สองมาทิ้งตรงหลังแท็งก์น้ำ และพอเดินกลับมาในครัวก็เห็นดีเจอาร์มกำลังหยิบช้อนชาไปยื่นให้แนนนี่

เที่ยงคืนสิบห้านาที ดนตรีสดพักเบรก

เที่ยงคืนครึ่ง ครัวปิด

เที่ยงคืนสามสิบห้านาที จากกล้องวงจรปิดพบว่ามีคนเดินไปที่หลังแท็งก์น้ำ

เที่ยงคืนห้าสิบนาที ผู้ช่วยพ่อครัวที่ชื่อชัย เข็นรถขยะไปทิ้ง

เที่ยงคืนห้าสิบสามนาที ชัยเข็นรถแอบไว้ที่ข้างรถของแมท ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวเพราะได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าในครัวไฟไหม้ จากนั้นไม่นานดูจากกล้องวงจรปิดพบว่ารถเข็นคันนั้นขยับเล็กน้อย

ตีหนึ่งสิบห้านาที ดนตรีสดเริ่มแสดงอีกรอบ จนถึงเวลาตีสอง

สารวัตรหนุ่มนั่งอ่านรายงานซ้ำไปซ้ำมา ตรงไหนที่น่าสงสัยเขาก็ใช้ปากกาแดงขีดเส้นใต้เอาไว้ แล้วก็เขียนกำกับสิ่งที่ตนเองสงสัยลงไป ทว่าหลักฐานการอ้างที่อยู่ของแต่ละคนก็ดูแน่นหนาจนน่าเชื่อถือ

ชายหนุ่มหยิบรายงานอีกฉบับขึ้นมาอ่าน ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับหลักฐานทางด้านวัตถุที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุ

ลูกกุญแจดอกหนึ่งที่เจอใกล้กับแท็งก์น้ำ เป็นกุญแจล็อกเกอร์ของดีเจมิว คำถามต่อมาก็คือ มันไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้อย่างไรในเมื่อดูจากกล้องวงจรปิดแล้วไม่ปรากฏว่าดีเจมิวเข้าไปในบริเวณนั้นเลย และที่สำคัญ เมื่อคืนวันเสาร์เจ้าตัวเพิ่งจะแอบแจ้งข้อมูลลับบางอย่างเกี่ยวกับตัวผู้ต้องสงสัยซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีพอสมควร

ไม่พบช้อนที่ผู้ตายใช้เป็นอุปกรณ์การเสพยาไอซ์ สงสัยว่าอาจจะนำมาล้างเก็บไว้ที่เดิมแล้วก็ได้ แต่เท่าที่ดูจากกล้องวงจรปิดก็ไม่เห็นมีใครเดินเข้าไปในบริเวณนั้นอีก หรือบางทีคนร้ายอาจจะนำติดมือออกไปด้วย

ไม่พบปากกาเคมีในบริเวณนั้น แสดงว่าคนร้ายต้องพกติดตัว หรือไม่ก็เอาไปทิ้งที่ใดที่หนึ่ง เพราะปากกาเคมีที่มีอยู่ในคลับทั้งหมด เมื่อเอามาตรวจสอบดูแล้วไม่พบว่ามีอันไหนที่มีคราบเลือดติดอยู่ตรงส่วนหัวที่ใช้เขียน เพราะตอนที่เขาเลิกผ้าเพื่อดูสภาพศพ เห็นว่ามีการเขียนทับรอยเลือดบางส่วน

ทำไมคนร้ายต้องเขียนคำด่าทอลงบนตัวศพ เพราะถ้าหากอยากจะประจานกันจริง ๆ ทำไมไม่เขียนในที่เด่นสะดุดตา ทำไมเจาะจงเลือกเขียนในร่มผ้า ซึ่งถ้าหากไม่เปิดดูก็จะไม่รู้เลยว่ามีคำบางคำเขียนไว้

นิติเวชแจ้งเวลาเสียชีวิตของเหยื่อว่าเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนสิบห้านาทีจนถึงเที่ยงคืนสี่สิบห้านาที

สารวัตรจุมพลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงในการจัดการเหยื่อตั้งแต่ลงมือฆ่าจนกระทั่งจัดการเอาศพยัดใส่ถุงขยะแล้วเอาไปใส่ไว้ในรถเข็น แสดงว่าผู้ร้ายรายนี้ต้องเป็นคนแข็งแรงพอตัว แล้วไหนจะช่วงเวลาที่ขนศพลงจากรถเข็นแล้วเอาไปเก็บซ่อนไว้ตรงมุมมืดข้างรถนั่นอีกเล่า นับว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ และบ้าบิ่นพอตัวเลยทีเดียว

ดูแค่การจัดฉากให้ศพก็รู้แล้วว่าคนร้ายรายนี้ลงมืออย่างใจเย็น ไม่รีบร้อน ราวกับกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะสักชิ้นหนึ่ง เพียงแต่งานศิลป์ชิ้นนี้มีองค์ประกอบคือเลือดและความตาย!

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status