รอไม่นานนัก ออดในห้องก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างสะโอดสะองของหญิงสาวสองคนเดินนวยนาดเข้ามา โดยมีผู้จัดการหนุ่มหล่อปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่
“คุยธุระกันเสร็จแล้วหรือคะ ถึงเรียกหาแนนนี่ได้น่ะ”
หญิงสาวคนเดิมที่พชรเห็นนัวเนียกับภีมพลเมื่อตอนเปิดประตูเข้ามาเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เจ้าหล่อนพาร่างอันอวบอัดเข้าไปเบียดกระแซะกับภีมพลจนแทบจะนั่งเกยกัน
“แหม...ไม่กล้าคุยนานหรอกจ้ะ กลัวว่าถ้าคุยนานแล้วจะมีหนุ่ม ๆ มาโฉบสาวสวยของผมไปก่อนน่ะสิ ขืนมีใครโฉบไปคืนนี้ได้นอนแห้งเหี่ยวหัวโตแน่เลย” ภีมพลออเซาะหญิงสาว มือก็ลูบไล้ไปตามต้นขาขาวเนียนของแนนนี่ไปด้วย ก่อนจะค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น จนผลุบหายเข้าไปในเดรสสีดำ
“น้องออยครับ เพื่อนพี่เขาอยากรู้จักน้องออยม้ากมาก พี่วานน้องออยนั่งคุยเป็นเพื่อนไอ้โอมเพื่อนพี่หน่อยนะครับ พี่กลัวมันจะเหงาน่ะ เวลาที่พี่ไป...”
ไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้มือทำอะไรภายใต้เดรสสีดำตัวนั้น แต่ฟังจากเสียงครางที่ไม่เบานักของหญิงสาวที่เบียดอยู่ก็พอจะเดาได้ไม่ยาก ส่วนหญิงสาวที่ถูกฝากฝังถึงกับยิ้มยั่วใส่อีกฝ่ายทันที
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ภีม เดี๋ยวน้องออยจัดให้”
สาวสวยหันไปขยิบตาให้พชร ก่อนจะเข้าไปนั่งเบียดกับชายหนุ่ม
ไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอดีใจมากแค่ไหนที่ถูกเรียกให้ขึ้นมาบนนี้ ยิ่งคนที่เธอจงใจใช้หน้าอกอวบ ๆ เบียดไปกับต้นแขนของเขานั้น เธอรู้ดีเชียวละว่าเขาเป็นถึงเจ้าของบริษัทนำเข้ารถยุโรปยี่ห้อดัง ถ้าเธอจับเขาได้ มีหวังสบายไปทั้งชาติ และคืนนี้เธอจะปรนเปรอเขาให้สำลักความสุขไปตลอดคืน ไม่ติดอกติดใจก็ให้มันรู้ไป!
ภีมพลยิ้มกว้าง หันไปขยิบตาให้คู่ขาของตนลุกขึ้นเพื่อพาเจ้าหล่อนไปตักตวงความสุขกันบนห้องพักที่อยู่ชั้นสาม โดยทิ้งให้พชรอยู่กับหญิงสาวชุดแดงเพลิงเพียงลำพังในห้อง ก่อนออกไป เขายังหวังดีหันมาบอกเพื่อนว่า
“อย่าลืมล็อกประตูดี ๆ ด้วยล่ะเพื่อน”
ลับร่างของคนสองคนที่เกี่ยวก้อยกันออกไปจากห้อง หญิงสาวจึงเดินไปกดล็อกประตูอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นเดินนวยนาดขึ้นมานั่งอยู่บนตักของพชรโดยไม่ต้องให้เชื้อเชิญ
ด้านหน้าห้องสำหรับผู้บริหารที่พชรกำลังสนุกสุดเหวี่ยงอยู่กับแม่สาวไฟแรงสูง ปรากฏร่างของใครคนหนึ่งในมุมสลัวของทางเดิน ร่างนั้นสั่นเทิ้ม มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา นัยน์ตาแดงก่ำดุกร้าวมองไปยังบานประตูห้องนั้นอย่างเดือดดาล ราวกับต้องการแผดเผาคนที่อยู่ในห้องนั้นให้มอดไหม้กลายเป็นจุณ
ตีหนึ่งเป็นเวลาที่การแสดงดนตรีสดหมดลง จากนั้นทางคลับจะเปิดเพลงจากแผ่นโดยมีทีมดีเจรับหน้าที่เป็นคนดูแลตรงนี้ต่อ
หลังจากที่ได้เวลากลับบ้าน สมาชิกในวงจึงเตรียมเก็บข้าวของของตนเพื่อขนขึ้นรถตู้ประจำวง
“ฉันว่าที่นี่ก็ไม่เลวนะเพื่อน เงินดีกว่าที่เก่า สาวสวยมีระดับ แถมคลับก็ดูหรูกว่าด้วย” ว่านพูดขึ้นพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจ้านายก็ดูไม่หน้าหม้อด้วยใช่ไหมไอ้ม็อท” จิลหันไปมองนักร้องนำสาว ที่กำลังพับเสื้อหนังของตนเองใส่กระเป๋า
“แล้วคริสมันหายไปไหนของมันวะ จะตีหนึ่งครึ่งอยู่แล้วเนี่ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้านะเว้ย”
ว่านหันไปบ่นกับเพื่อนร่วมวง เมื่อมองไปรอบ ๆ แล้วไม่เห็นหัวหน้าวงอยู่ในสายตา
“ไม่ใช่ไปรอที่รถแล้วหรือ”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวพูดขึ้น เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ใกล้ตีหนึ่งครึ่งอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะพรุ่งนี้เธอมีธุระแต่เช้า
“เออว่ะ มันอาจจะไปยืนสูบบุหรี่รออยู่ที่รถแล้วก็ได้ แกเก็บของเสร็จรึยังม็อท”
ว่านหันไปมองเพื่อน พอเห็นหญิงสาวพยักหน้าให้ จึงพากันเดินออกจากห้องพักพนักงานไปตามทางเดินสลัวที่มีเพียงแสงไฟสีน้ำเงินเข้มส่องสว่างให้พอเห็นพื้นที่กำลังเหยียบย่ำอยู่เท่านั้น
ทั้งหมดเดินไปถึงลานจอดรถฝั่งพนักงานและผู้บริหาร ตรงไปยังรถตู้สีขาวซึ่งเป็นรถประจำวงในการขนเครื่องดนตรีเวลามาทำการแสดง ทว่าเมื่อเดินไปถึงรถ กลับไม่เห็นหัวหน้าวงที่ควรจะยืนอยู่ที่รถอย่างที่คิดกันไว้
“อ้าว...คริสมันไม่อยู่ที่นี่ว่ะ แล้วมันไปอยู่ไหนวะเนี่ย”
จิลบ่นไม่จริงจังนัก หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงอาสาเข้าไปดูในผับให้อีกครั้ง เพราะตอนนี้เธอต้องการกลับบ้านเพื่อพักผ่อนเต็มทีแล้ว เนื่องจากพรุ่งนี้มีนัดสัมภาษณ์งาน
“เดี๋ยวเราไปดูเอง จะไปเข้าห้องน้ำด้วย”
หญิงสาวพูดจบก็เดินออกจากลานจอดรถกลับเข้าไปในผับอีกรอบ เธอเดินผ่านทางเดินสลัวสีน้ำเงินเข้มนั้นอีกครั้ง เมื่อผ่านซอกมุมหนึ่งของทางเดิน ซึ่งจำได้ว่าซอกหลืบเล็ก ๆ มืด ๆ ตรงนี้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดของแม่บ้าน
แต่ตอนนี้มันกลับมีเสียงแปลก ๆ คล้ายเสียงครางของผู้หญิง รวมถึงมีเสียงเหมือนเนื้อผ้าเสียดสีกันดังมาจากในซอกหลืบนั้น เธอรีบสาวเท้าก้าวเร็ว ๆ ให้พ้นจากบริเวณนั้นทันทีเพื่อไปห้องน้ำของพนักงานที่อยู่ด้านใน
“บ้าจริง แทนที่จะไปหาโรงแรมกันก็หมดเรื่องแล้ว มาทำอะไรประเจิดประเจ้อแถวนี้ก็ไม่รู้”
ช่อมาลีบ่นพึมพำกับตนเอง ก่อนจะทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเสร็จสิ้นแล้วออกมายืนอยู่เพียงลำพังหน้าเคาน์เตอร์กระจกบานใหญ่ เวลาใกล้ตีสองอย่างนี้ส่วนใหญ่บรรดาพนักงานเสิร์ฟมักจะอยู่ในฮอลล์กันหมดเพราะหวังทิปจากนักเที่ยวทั้งหลายที่มักจะนิยมตบรางวัลให้พนักงานที่คอยดูแลเอาใจใส่ระหว่างที่นั่งดื่มกินกันที่นี่ ยิ่งคลับหรูระดับนี้ทิปหนักอย่างไม่ต้องสงสัย
และที่สำคัญคือ จะไม่มีใครกลับเข้ามาในอาคารพนักงานอีก เพราะทุกคนอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุดหลังจากเก็บโต๊ะด้านนอกเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็จะสแกนนิ้วหน้าประตูทางเข้าออฟฟิศส่วนที่เชื่อมกับฮอลล์แล้วกลับบ้านกันทันทีโดยออกที่ประตูเดียวกันกับลูกค้าเพราะใกล้กว่าประตูทางด้านหลัง
หญิงสาวออกมาจากห้องน้ำ หยุดยืนถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจำเป็นที่จะต้องผ่านซอกหลืบมืด ๆ นั่นอีกแล้ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึก เชิดหน้าขึ้นแล้วก้าวเท้าเร็ว ๆ พยายามไม่มองอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงมุมที่ไม่อยากเยื้องย่างเข้าไปใกล้
พลันนั้นอยู่ดี ๆ เธอก็ต้องสะดุดไถลลื่นจนเผลอหวีดร้องออกมาเสียงดังลั่น โชคดีที่ตั้งหลักได้ทันจึงไม่ล้มก้นกระแทกพื้น ใจหล่นวูบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อบริเวณที่ยืนอยู่ตรงนี้คือทางเข้าตรอกแคบ ๆ ที่ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังประกอบกามกิจกันเมื่อครู่
“ขะ...ขะ...ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วรีบวิ่งออกไปยังลานจอดรถทันที
“ใครมาทำน้ำหกอยู่ตรงนั้นนะ บ้าชะมัด ตอนขาไปยังไม่เห็นมีเลย เกือบหกล้มแล้วไหมล่ะ”
เธอบ่นไปก็เดินเอามือกุมหัวใจที่เต้นกระหน่ำของตนเองไปด้วยจนมาถึงลานจอดรถ เห็นร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าวงยืนสูบบุหรี่พิงตัวรถอยู่จึงเดินเข้าไปหา
“นายหายไปไหนมาน่ะคริส”
ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่กลับจ้องไปที่รองเท้าของเธออย่างสนใจ
“ม็อท! แกไปเหยียบน้ำอะไรมาน่ะ”
คริสย่อตัวลงนั่งยองแล้วเพ่งมองรอยรองเท้าของช่อมาลี หญิงสาวจึงก้มลงมองบ้าง ครั้นพอเห็นของเหลวหนืด ๆ สีเข้มที่ตนเองเหยียบจนเกือบลื่นล้มเมื่อครู่แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย พลางยกเท้าขึ้นมาดูพื้นรองเท้าของตนเอง
“ไม่รู้สิ ไม่ได้สนใจ น้ำอะไรก็ไม่รู้ตรงซอกเก็บของน่ะ แต่ตอนขาไปยังไม่มีเลยนะ เพิ่งจะเห็นตอนขากลับออกมาเนี่ยแหละ”
หญิงสาวตอบข้อสงสัยให้เพื่อน คริสจึงเอากระดาษทิชชูจากในรถมาซับรอยรองเท้าที่ประทับอยู่บนพื้น จากนั้นก็ใช้ไฟฉายที่พกติดไว้ในรถมาส่องไปที่กระดาษนั้นเพื่อต้องการดูให้คลายความสงสัย ครั้นเมื่อเห็นว่าของเหลวที่เพื่อนสาวเหยียบมานั้นคืออะไร ชายหนุ่มก็ตาเบิกโพลง
“เฮ้ย!...นี่มัน...เลือดนี่หว่า!”
“อุ๊ย! ที่ไหนคะเนี่ย”ช่อมาลีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของพชรอยู่ไม่ห่างจากเธอเท่าไร หญิงสาวดันตัวเองไปข้างหลังจนแทบจะจมไปกับเบาะ มองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำอย่างคนเพิ่งตื่นนอน“พารากอน” พชรตอบ ก่อนจะขยับตัวกลับไปพิงเบาะตามเดิม“หืม...พารากอน ท่านประธานมาที่นี่ทำไมคะ หรือว่าหิวข้าว”ช่อมาลีพยายามหันเหความสนใจของเขาให้ละไปจากการมองสำรวจใบหน้าของเธอ แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยคู่นั้นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแล้ว“ก็...เดินเล่น กินข้าว แล้วก็...หาหนังสนุก ๆ ดูสักเรื่อง ไปกันเถอะ!”พูดจบเขาก็ปลดล็อกรถแล้วก้าวขาออกไปทันที ทำให้ช่อมาลีต้องรีบปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วก้าวตามลงไป ทว่ามือก็ยังไม่วายหยิบแฟ้มงานติดมาด้วย“จะเอามาทำไมเล่าคุณช่อ เอาไว้ในรถนั่นแหละ จะถือทำไมให้เมื่อย”พชรเดินมาดึงแฟ้มไปจากมือของหญิงสาวแล้วเปิดประตูรถด้านหลังโยนแฟ้มงานเข้าไปวางแหมะอยู่บนเบาะ จากนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเธอเข้าไปในห้างสรรพสินค้า“เอ่อ...ท่านประธานคะ ไม่ต้องจูงก็ได้ค่ะ ดิฉันเดินเองได้”ช่อมาลีละล่ำละลักบอกเขาพลางออกแรงยื้อข้อมือของตนเองไม่แรงนัก ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธอแล้วเลิกคิ้วขึ้น
พชรนั่งมองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางเบื่อหน่าย มือจับพวงมาลัย นิ้วก็เคาะไปตามจังหวะเพลงที่เปิดอยู่ ชายหนุ่มกวาดตามองไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่รถเข็นขายอาหารริมทางเท้าไปจนถึงคนกวาดขยะ เขาเบื่อสี่แยกนี้ที่สุด จะไม่ผ่านก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ถึงออฟฟิศพอรถเคลื่อนไปได้ประมาณสองช่วงตัวก็ติดแหงกอีกเหมือนเดิม พชรเอนหลังพิงเบาะ ละมือจากการจับพวงมาลัย ตาเหลือบไปเห็นรถประจำทางปรับอากาศที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่พอเขามองขึ้นไป มุมปากหยักก็ยกยิ้มขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นสภาพงีบหลับแบบไม่สนใจใครของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนนั้นจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อเธอเล่นเอาแก้มของตนเองข้างหนึ่งแนบไปกับกระจกรถ หนำซ้ำยังหลับอ้าปากอีกต่างหาก ส่วนแว่นตาหนาเตอะก็ตกร่นมาอยู่ที่ปลายจมูก“เป็นสาวเป็นแส้ ทำไปได้นะคนเรา สงสัยแอร์บนรถเมล์คงจะเย็นจนน่านอน”พูดเสร็จตนเองก็หาวบ้าง พอดีกับที่รถเริ่มเคลื่อนตัวไปได้ ชายหนุ่มขับรถไปก็ลุ้นจนตัวโก่งไปด้วยว่าตนจะสามารถพ้นสี่แยกนรกนี่ไปได้หรือไม่ พชรเหลือบมองสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะ ๆ กะเอาไว้ว่าถ้ามันเปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อไร เขาจะส
ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง การสัมภาษณ์ ซักถามประวัติการทำงาน และรายละเอียดขอบข่ายความรับผิดชอบก็ถูกถ่ายทอดให้ช่อมาลีฟังจนหมด เขาหยิบหนังสือแนะนำบริษัทยื่นส่งไปให้หญิงสาว ช่อมาลีรับมาแล้วลองเปิดดูเนื้อหาข้างในคร่าว ๆ ระหว่างนั้นพชรจึงลอบมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ๆใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ปาก คอ คิ้ว คางจัดว่าพอเหมาะพอเจาะหากไม่มีแว่นสายตาหนาเตอะบดบังความสวยงาม ผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งหน้า ใบหน้าไร้สีสันแต่กลับไม่ได้ดูจืดชืดจนไม่น่ามองครั้งแรกที่เขาเห็นเธอ ช่อมาลีเหมือนพวกคงแก่เรียนทั่วไป แต่พอได้มองใกล้ ๆ เขายอมรับเลยว่าผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวยใช้ได้ รูปร่างก็สูงโปร่งได้สัดส่วน ถ้าจับมาแต่งตัวแต่งหน้าสักหน่อยรับรองได้เลยว่าหนุ่ม ๆ ที่บริษัทนี้คงได้มองตามกันเป็นแถวว่าแต่...เขาเหมือนจะเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนกันนะพลันนั้นใบหน้าสวยสะดุดใจของนักร้องนำสาวสวยที่ทำให้เขาแทบหมดลมหายใจไปดื้อ ๆ ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขารู้สึกว่าผู้หญิงสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกันสายตาของชายหนุ่มมองจ้องอยู่อย่างนั้นจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ช่อมาลียกมือขึ้นดันกรอบแว่นแล้วเสมองไป
ช่อมาลีไม่กล้ามองภาพที่เกิดเหตุเต็มตานัก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง และร่างนั้นหมดลมหายใจไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนัยน์ตาของหล่อนเบิกโพลงเหลือกขึ้นไปด้านบน ที่คอมีรอยปาดเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดล้นทะลักออกมาจากบาดแผลจนไหลออกมายังบริเวณทางเดินด้านนอก เธอไม่รู้ว่าศพมีบาดแผลที่อื่นอีกหรือไม่ เพราะไม่กล้ามองอีกต่อไป แค่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ติดตาเสียจนทำเอาเธอไม่สามารถข่มตาหลับลงได้มีแต่คริสที่ใช้ไฟฉายส่องกราดไปทั่วบริเวณราวกับต้องการหาอะไรบางอย่าง ทั้งยังทำท่าเหมือนจะเข้าไปดูที่ศพใกล้ ๆ ดีที่เธอดึงเสื้อเขาไว้ไม่ให้เข้าไปข้างใน จากนั้นจึงพากันเดินออกมาที่ลานจอดรถเหมือนเดิม โดยตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้าหากวันรุ่งขึ้นยังไม่มีใครเจอศพ คริสจะเป็นคนแจ้งตำรวจด้วยตนเอง และจะเป็นคนบอกกับตำรวจว่าเขากับเธอเป็นคนพบศพโดยทำทีเป็นว่าเขาเข้ามาหากุญแจบ้านที่ทำหล่นหายซึ่งเธอก็เข้ามาเป็นเพื่อน แล้วบังเอิญมาพบศพเข้าพอดีและถ้าตำรวจเรียกตัวไปสอบถาม หรือสอบปากคำก็ให้บอกทุกอย่างไปตามความจริง เพราะเธอดันไปเหยียบรอยเลือดเข้า ซึ่งถ้าหากตรวจสอบขึ้นมา ตำรวจต้องรู้อยู่แล้วว่าเป็นรอยรองเท้าของเธอ หากเธอไม่พูดไปตา
เสียงดนตรีร็อกที่ดังกระหึ่มอยู่ด้านในทำให้นักเที่ยวหลายคนที่เพิ่งก้าวขาลงจากรถรู้ทันทีว่าชั่วโมงแห่งความบันเทิงได้เริ่มขึ้นแล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผละจากรถของตนไปยังประตูอีกด้านของคลับซึ่งเป็นประตูเฉพาะสำหรับพนักงาน และผู้บริหารเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าประตูบานนี้ได้แสงไฟตามทางเดินในส่วนนี้ไม่สว่างมากนัก แต่ก็ยังสว่างกว่าบริเวณด้านนอกที่เป็นส่วนของแขกผู้มาหาความบันเทิง พนักงานทั้งชายหญิงต่างยกมือไหว้ทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใหม่ เขาเพียงพยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของผู้บริหารตั้งแต่เปิดคลับนี้มา พชรยอมรับว่าไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนัก หน้าที่การบริหารส่วนใหญ่เขายกให้ภีมพล ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและหุ้นส่วนเป็นคนดูแลทั้งหมด ส่วนเขาเองนั้น อาทิตย์หนึ่งถึงจะเข้ามาดูแลสักครั้งชายหนุ่มผลักบานประตูกระจกทึบเข้าไปด้านใน เห็นร่างสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ในสภาพที่ฝ่ายหญิงเสื้อผ้าจะหลุดมิหลุดแหล่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับแค่นยิ้มใส่เพื่อนรักที่มัวแต่คลุกวงในแม่สาวเนื้อนุ่มจนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา“อะแฮ่ม!”
“ไงวะเพื่อน ถึงกับนะจังงังไปเลยหรือ จะบอกอะไรให้นะ ดูบนเวทีว่าสวยแล้วดูใกล้ ๆ ยิ่งกว่านี้อีก ความรู้สึกแกจะเหมือนกับว่าโดนเล่นของใส่เลยล่ะ นี่ถ้ามาบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์นะ ฉันจะไม่แปลกใจเลย”ภีมพลพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่คนฟังอย่างพชรถึงกับส่ายหน้าให้กับความช่างคิดของเพื่อน“น้อย ๆ หน่อย เวอร์ไปแล้ว” ชายหนุ่มปรามเพื่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่ภีมพลพูดเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเต็มประดา ทั้งที่ในใจเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนเสียแล้ว...ใช่ ผู้หญิงคนนี้มีเวทมนตร์ไม่ต่างอะไรกับแม่มดเลย ร้ายชะมัด!พชรกำลังบังคับตนเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมขาของเขาต้องกระดิกตลอดเวลา เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะนั่งนิ่ง ๆ ให้สมกับเป็นผู้บริหารของที่นี่ ที่ผับชื่อดังแห่งนี้ แต่พอเผลอตัวทีไรขาของเขาก็จะกระดิกไปเองโดยอัตโนมัติภีมพลต้องแอบกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนรัก แต่ก็ไม่อยากล้อเลียนให้อีกฝ่ายว้ากใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพชรกำลังตื่นเต้นที่จะได้พูดคุยใกล้ชิดกับวงดนตรีวงใหม่ของที่นี่ แต่ดันทำปากแข็งว่าไม่สนใจ...เอาเถอะ แล้วเขาจะคอยดูตอนเผชิญหน้าเสียงออดจากหน้าประตูทำให้พชรหลุดอาการยิ่งกว่าเดิมเพราะเ